สองพี่น้องจึงออกไปด้านนอกก่อน ลู่เพ่ยไปอาบน้ำ ลู่จื้อนำน้ำออกไปให้บิดาได้ลองใช้ แต่นางยังไม่รู้ว่าจะให้บิดาใช้ยังไง นางเลยรอปรึกษาพี่ชายของนางก่อน
ลู่เพ่ยเดินเข้ามาในบ้านที่ลู่จื้อนั่งรออยู่
“ว้าว บุรุษบ้านไหนหลงเข้ามาในบ้านข้าได้” ลู๋จื้อส่งสายตาหยอกล้อพี่ชาย ลู่เพ่ยได้เค้าโครงใบหน้ามาจากบิดา หากบิดาของนางอยู่ดีกินดีคงจะรูปงามเช่นท่านพี่ของนางแน่
ตอนนี้ลู่เพ่ยผิวพรรณเหมือนคุณชายในตระกูลใหญ่ๆ อาจจะกล่าวได้ว่าตอนนี้พี่ชายของนางท่าทางดีกว่าบัณฑิตทั้งหลายในหมู่บ้านอีกด้วย หรือจะให้พี่ชายไปเข้าเรียนดี ลู่จื้อเหมือนจะมีความคิดดีๆ ขึ้นมา ลู่เพ่ยเห็นสายตาของน้องสาวถึงกับขนลุก ไปทั้งตัว
ทั้งคู่ได้ข้อสรุปจะลองให้บิดาลงไปแช่ในน้ำ เพราะบิดาบาดเจ็บที่ขา หากไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไรแค่ลองดู ทุกอย่างย่อมมีความหวัง
จากนั้นลู่เพ่ยไปหาอ่างน้ำขนาดใหญ่ที่พอให้บิดาลงไปได้เข้ามาในห้องของบิดา จางหมินมองอย่างสงสัย แต่สองพี่น้องยังไม่ยอมบอกเพียงแค่บอกให้บิดาลองแช่น้ำก่อนแล้วจะเล่าให้ฟัง เพราะทั้งคู่กลัวหากไม่ได้ผลบิดาจะเสียใจ
จางหมินถึงจะสงสัยแต่ก็ทำตามความต้องการของลูก เขามองลู่เพ่ยเหมือนมองคนแปลกหน้าจนลู่เพ่ยหน้าแดงด้วยความเขินอาย ในห้องมีเพียงลู่เพ่ยที่คอยดูแลบิดา ลู่จื้อออกมารอด้านนอก
ระหว่างที่รอบิดาแช่น้ำจิตวิญญาณนางก็เข้าครัวทำอาหาร วันนี้มารดาของนางไปช่วยงานในหมู่บ้านจึงไม่ได้อยู่ที่บ้าน หากกลับมาคงได้ตกใจแน่ แค่นางคิดถึงหน้าของมารดาก็หัวเราะแล้ว
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามลู่เพ่ยก็วิ่งออกมาเรียกลู่จื้อ
“จื้อเออร์มาดูท่านพ่อเร็วเข้า” ลู่จื้อลุกพรวดรีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องของบิดาทันที
แต่สิ่งที่นางเห็น บิดาของนางนั้นนั่งอยู่บนเตียงใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่เหลือเค้าโครงคนเจ็บหนักที่ได้แต่นอนอยู่บนเตียงเหมือนก่อนหน้านี้ ใบหน้าที่ดูอายุน้อยลงไปหลายปี
“จื้อเออร์” จางหมินเรียกบุตรีแล้วเดินเข้ามากอดนาง
ลู่จื้อน้ำตาไหลพราก มันคือน้ำตาแห่งความยินดี อาจจะเป็นความรู้สึกของร่างเดิมที่อยากเห็นบิดากลับมาเดินได้อีกครั้ง
“ท่านพ่อ ท่านเดินได้แล้ว ฮึก ฮึก” ลู่เพ่ยก็เช็ดน้ำตาเช่นกัน
“พ่อหายแล้ว ต่อไปนี้จะไม่มีใครกล้ารังแกพวกเจ้าแล้ว” ทั้งสามกอดกัน
“ข้ากลับมาแล้ว อ้าวไปไหนกันหมด เพ่ยเออร์ จื้อเออร์ พวกเจ้าหาข้าวให้ท่านพ่อกินหรือยัง” นางจินหรูที่ไปช่วยงานในหมู่บ้านเพิ่งกลับมาถึง
“น้องหญิง” นางจินหรูที่เห็นจางหมินเดินได้แล้วก็ปิดปากร้องไห้โฮ จางหมินจึงเดินเข้าไปสวมกอดนางเอาไว้แน่น แล้วปลอบประโลมอยู่นาน
กว่าที่นางจินหรูจะสงบลงแล้วรับฟังเรื่องราวต่างๆ จากปากบุตรทั้งก็ได้ลู่จื้อที่บ่นว่าหิวข้าว ทั้งหมดจึงรู้สึกตัว
ทั้งสี่คนกินข้าวไปคุยกันไป ข้าวมื้อนี้นับว่าเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดตั้งแต่จางหมินกับลู่จื้อเกิดเรื่องขึ้น
“น้ำในมิติของเจ้าเช่นนั้นรึ” จางหมินไม่รู้ว่าจะต้องพบเจอเรื่องแปลกใจอีกมากเพียงใด
“เจ้าค่ะ ข้าก็ไม่คิดว่าจะดีเพียงนี้ หากท่านพี่ไม่ไปดื่มเข้า ข้าก็คงไม่รู้ถึงความวิเศษของมัน”
“เจ้าคงดื่มไปไม่น้อยเลยอาเพ่ย” จางหมินมองบุตรชายอย่างหยอกล้อที่รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้
เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วลู่จื้อจึงบอกให้บิดาแสร้งทำเป็นป่วยเช่นเดิม หากหายเร็วเกินไปชาวบ้านจะสงสัยเอาได้ นางบอกบิดามารดาเรื่องที่จะพาลู่เพ่ยเข้าไปในมิติจิตคืนนี้เพื่อเปิดจุดตันเถียน นางอยากให้ทั้งครอบครัวได้เป็นผู้ฝึกตน ทุกคนจึงเห็นดีด้วยและคืนนี้จะเข้าไปด้วยกันทั้งหมดเลย
ทั้งสี่เข้าไปในมิติจิต จางหมินกับจินหรูเข้ามาครั้งแรกก็มีอาการเช่นเดียวกับลู่เพ่ย เพียงแค่ไม่ได้วิ่งไปทั่วเหมือนลู่เพ่ยเท่านั้น
“ท่านพี่ไม่ต้องหัวเราะท่านพ่อกับท่านแม่เลย ตัวท่านวิ่งไปทั่วมิติจำได้หรือไม่” ลู่เพ่ยถูจมูกอย่างเขินอายเมื่อถูกน้องสาวเปิดโปงเรื่องขายหน้าของตน
“ประหลาดนัก มีเรื่องเข่นนี้ด้วยรึ” จางหมินไม่คิดว่าในชีวิตจะได้พบเจอเรื่องมหัศจรรย์เช่นนี้
เมื่อบิดามารดาสำรวจมิติจนพอใจแล้ว ลู่จื้อจึงให้ทั้งสามนั่งสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ริมลำธาร นางบอกวิธีดึงแสงสีขาวให้เข้ามารวมที่จุดตันเถียน
เมื่อเห็นทั้งสามเข้าสมาธิแล้วนางจึงเฝ้าดูอยู่เงียบๆ เวลาผ่านไปสองชั่วยามเป็นบิดาที่ทำสำเร็จก่อน ตามมาด้วยลู่เพ่ยและมารดา
“ลู่จื้อลูกคิดจะทำสิ่งใดกับพื้นที่ว่างพวกนี้” จางหมินเอ่ยถามขึ้นมา
“ข้าจะปลูกผักเจ้าค่ะท่านพ่อ ข้าซื้อเมล็ดผักมาแล้ว คงต้องรบกวนพวกท่านแล้ว”
“แต่วันนี้ยังมิต้องปลูกเจ้าค่ะ ข้าจะให้พวกท่านเข้าไปศึกษาตำรายุทธก่อน ข้าอยากให้พวกเราแข็งแกร่งใครจะมารังแกเราไม่ได้เจ้าค่ะ เพราะข้ารู้มาว่าในแคว้นนี้มีผู้ฝึกตนน้อยนัก อีกอย่างหากเรามีพืชวิญญาณคนรู้เข้าบ้านเราจะมีภัยเจ้าค่ะ”
“ตอนที่พ่อเรียนในสถานศึกษามีคนพูดเรื่องสมุนไพรวิญญาณอยู่บ้างแต่หายากนัก แล้วยังมีราคาสูงชาวบ้านอย่างพวกเราไม่มีใครเคยเห็น หากเจ้าปลูกผักวิญญาณได้คงเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ”
“ทำตามที่เจ้าว่าแล้วกัน ยังไงผักวิญญาณก็ปลูกในมิติของเจ้าชาวบ้านคงไม่สงสัยพวกเรา หากจะนำออกไปขายค่อยหาคนที่ไว้ใจได้แล้วกัน” จางหมินเอ่ยออกมา
ทั้งหมดจึงเข้าไปอยู่ในห้องตำราแล้วเลือกตำราตามที่ตนสนใจ จางหมินเลือกตำราฝึกวรยุทธ์ นางจินหรูเลือกตำราฝึกลมหายใจเพราะเส้นลมปราณของนางไม่ได้ใหญ่อย่างจางหมินหรือลู่เพ่ย
ลู่จื้อจึงอยากให้มารดาค่อยๆ ฝึกไป เรื่องต่อสู้ให้เป็นเรื่องของบุรุษ ลู่เพ่ยเลือกตำราฝึกดาบ ลู่จื้อตอนนี้นางสนใจตำราปรุงยา
จินหรูที่ไม่รู้หนังสือมาก่อน ก็มีบุตรทั้งสองที่ช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง ในตอนแรกนางก็แปลกใจที่ลู่จื้ออ่านออก แต่พอคิดเรื่องวิญญาณที่หลุดออกจากร่างไป ก็เข้าใจในทันที
หากคนภายนอกรู้เรื่องของบ้านรองจางคงจะสะเทือนไปทั้งแคว้นแน่นอน
แต่ละคนจมอยู่ในโลกของตนจนลู่จื้อเอ่ยเตือนให้ออกไปพักผ่อน จึงได้ออกจากมิติกัน แต่ทุกคนต่างก็หยิบตำราติดมือออกไปกันทุกคน
“ท่านแม่ หากท่านอยากไปบ้านท่านตาพรุ่งนี้เราไปกันดีหรือไม่เจ้าคะ ยังไงท่านพ่อก็ดูแลตัวเองได้แล้ว” นางจินหรูลังเลเพราะกลัวมีคนมาที่บ้านแล้วจะรู้เรื่องจางหมินหายดีแล้วเข้า
“น้องหญิงเจ้าไปเถิด ข้าละเลยบ้านท่านพ่อตามานานนัก หากช่วยเหลือสิ่งใดท่านได้เจ้าตัดสินใจได้เลย” นางจินหรูน้ำตาซึมที่ทุกคนไม่ว่านางหากนางจะช่วยเหลือบ้านเดิม
“ขอบคุณท่านพี่เจ้าค่ะ” นางรู้ดีว่าบุตรสาวที่แต่งออกมาแล้วจะกลับไปช่วยเหลือบ้านเดิมบ่อยก็ดูไม่ดี
เวลาด้านนอกผ่านไปเพียงสองชั่วยามเท่านั้น ทั้งหมดจึงเข้านอนเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องเดินทางไปบ้านท่านตาอีก
จ้าวหยวนเป็นคนที่นำของขวัญจากเมืองหลวงมาส่งให้ลู่จื้อ เพราะเขาต้องมารับผักกับสุราอยู่แล้วตอนนี้ครอบครัวรองจางทั้งสี่นั่งมองกล่องของขวัญตรงหน้า แต่ละคนต่างก็มีความคิดของตนเอง ลู่จื้อไม่ได้คิดมากขนาดนั้นเพราะนางคิดว่าพวกเขารู้ว่าเป็นวันเกิดนางจึงส่งมาให้ นางเริ่มแกะของทั้งหมดออก มีทั้งรอยยิ้มบนใบหน้างามกับคิ้วที่ขมวดจนยุ่งเหยิงส่วนมากจะเป็นผ้าไหมหลายพับที่นิยมกันในเมืองหลวง เป็นหลินตงหยางส่งมาให้ พร้อมกำไลหยกขาวมันแพะอีกสองวงเนื้องามไม่น้อยเลย"จื้อเออร์สองชิ้นนี้ของผู้ใด" นางจินหรูชี้ไปที่กล่องไม้ ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่สองใบข้างหน้าลู่จื้อนางเปิดออกมาพร้อมรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม ทำให้ภายในห้องโถงดูสดใสขึ้นทันตา แต่ลู่เพ่ยที่เห็นเช่นนั้นถึงกับลูบแขนที่ขนกำลังลุกอยู่"เป็นของคุณชายเซียวหนึ่งกล่องกับรองผู้ตรวจการเจ้าค่ะ"ทั้งสามมองอย่างสงสัย เซียวซีซวนส่งมาให้ทุกคนย่อมเข้าใจได้ แต่โจวหรงเฉิงส่งมาให้สร้างความแปลกใจให้ทุกคนยิ่งนัก เพราะเขากับลู่จื้อดูจะไม่ถูกชะตากันอย่างไรก็บอกไม่ถูก"คุณชายเซียวส่งโฉนดจวนที่พักในเมืองหลวงใกล้กับสำนักศึกษามาให้เจ้าค่ะ ส่วนของรองผู้ตรวจการโจวส่งตั๋วเงินห้าพัน
ลู่จื้อนางนั้นยังไม่รู้เรื่องที่บิดาของนางหลุดปากว่านางเป็นคนทำยาทั้งหมดเองสงครามชายแดนเหนือหลังจากที่มีการคัดเลือกชาวบ้านไปเป็นทหารแล้วนั้น ผ่านมาได้นับเดือนข่าวสารที่ได้ยินมาช่วงนี้นับว่าเป็นข่าวดี ทหารแคว้นฉู่ถอยทัพกลับไปตั้งหลักใหม่ห้าร้อยลี้ นับว่าทำให้ทุกคนพอหายใจได้คล่องขึ้นอีกเพียงแค่ไม่ถึงเดือนลู่เพ่ยก็ใกล้จะได้สอบแล้ว ลู่จื้อซื้อเรือนพักใกล้กับสถานศึกษาให้พี่ชายทั้งสองและเด็กในตระกูลอู๋ได้พัก นางให้ภรรยาอู๋กังไปคอยดูแลทุกคนนางอยากให้ทุกคนได้กินของที่ได้มาจากในมิติ เพราะหลังจากที่ลู่เพ่ยกินแต่ของที่ปลูกในมิติมันทำให้ความจำของเขาดีขึ้นมาก จึงเป็นเหตุผลหลักที่ต้องซื้อบ้านพักให้ทุกคนออกมาอยู่ข้างนอกแทนหากจะให้คนทำอาหารไปส่งที่สำนักศึกษาทุกวันก็ดูจะยุ่งยากมากเกินไป และหากสหายของพวกเขาขอกินด้วย คงเก็บเรื่องที่ตระกูลจางสายรองเป็นเจ้าของผลผลิตที่กำลังเป็นที่กล่าวขานอยู่ คงไม่ได้อีกต่อไปแล้ววันสอบก็มาถึงอย่างรวดเร็ว วันนี้ครอบครัวรองจาง ตระกูลจินและตระกูลอู๋ ออกมาส่งทั้งสี่คนที่สนามสอบ“ท่านพี่ ตั้งใจสอบนะเจ้าคะ” ลู่จื้อให้กำลังใจลู่เพ่ย“ไม่ต้องกดดันตนเองกันนัก หากครั้งนี้ไม่ผ่
เมื่อเป็นเซียวซีซวนเจรจาการค้าครั้งนี้ก็นับว่าผ่านไปโดยง่าย ลู่จื้อขายยาแก้ไข้ ยาห้ามเลือด และยาบำรุงร่างกายให้ ที่มียาห้ามเลือดเพิ่มมาเพราะการค้าครั้งนี้ส่งเข้ากองทัพชายแดนเหนือทั้งหมดจากสภาพสงครามที่โจวหรงเฉิงได้ไปพบมา ทหารบางคนไม่อาจทนสภาพอากาศที่หนาวเหน็บของทางเหนือได้ ทำให้ล้มป่วย ยาที่เขาแบ่งไปจากเซียวซีซวน เมื่อให้ทหารที่ล้มป่วยได้ลองกินผลคือเกินคาด ทหารคนนั้นไม่จำเป็นต้องรับยาครั้งที่สองเลย เขาจึงต้องการยาของลู่จื้อส่งไปให้กองทัพตอนนี้ทั้งสองกลับออกไปด้วยอารมณ์ที่ต่างกัน เซียวซีซวนนั้นอารมณ์ย่อมเบิกบานเพราะการค้าครั้งนี้โจวหรงเฉิงต้องนำเงินส่วนตัวของตนมาออกเพิ่มให้กับทางกองทัพเพราะปากที่ดีของเขานั้นเองโจวหรงเฉิงแม้จะได้ยากลับไปแต่อารมณ์ยามที่เดินออกจากเรือนไปก็แทบจะฆ่าคนได้ด้วย"เจ้ามีความสุขมากรึ" โจวหรงเฉิงหันไปถลึงตาใส่เซียวซีซวน"ก่อนมาข้าเตือนเจ้าแล้ว ข้าทำการค้ากับนางมาหลายเดือนย่อมรู้ว่าควรพูดเช่นไร" เซียวซีซวนยิ้มอย่างยียวน"หรือเจ้าอยากรับนางไปเป็นอนุ" เซียวซีซวนรีบกระโดดปิดปากโจวหรงเฉิง พวกตนยังเดินออกมา เจ้าบ้านยังไม่ปิดประตูเลย"เจ้าพูดอันใด หากนางมาได้ยิน เหอะ
โจวหรงเฉิงเดินทางไปชายแดนเหนือแล้ว ทางที่พักผู้อพยพก็จัดการได้อย่างเรียบร้อย ยาที่จางหมินนำไปให้ก็ได้ผลชะงัด จนหมอที่มาตรวจในกระโจมพัก ต่างถามหาไม่เว้นวัน แต่จะให้ไปถามเซียวซีซวนใครจะกล้าเรื่องนี้จึงไม่ส่งผลกระทบต่อครอบครัวรองจาง ข้าวและผักผลไม้ที่เซียวซีซวนรับไปจากลู่จื้อทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ในเมืองหลวง แม้จะสอบถามทางตระกูลเซียวก็มิได้คำตอบผลจากที่กินเข้าไปเป็นประจำทำให้คนในตระกูลเซียวมีสุขภาพที่แข็งแรง ที่เห็นชัดจนคนในเมืองหลวงนั่งไม่ติดก็คือ ท่านผู้นำตระกูลเซียวอายุเกือบเจ็ดสิบหนาวแล้ว เขาล้มป่วยต้องนอนติดเตียงมาเกือบสองปี หลังจากที่กินของที่หลานชายส่งมาได้ห้าเดือนก็ลุกขึ้นมาเดินไปเกือบจะเหมือนตอนที่ยังไม่ล้มป่วยช่วงแรกคนในตระกูลคิดว่าเพราะสวรรค์เมตตาที่ฮองเฮากับฮูหยินผู้เฒ่าเซียวทำบุญค่าธูปเทียนอยู่เป็นประจำ จนเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันกับคุณชายน้อยเซียวที่มักจะเจ็บป่วยบ่อยๆ ก็กลายมาเป็นเด็กแข็งแรงสามารถวิ่งเล่นได้เช่นเด็กคนคนอื่นๆแม้ของที่ส่งมาให้ทางตระกูลเซียวจะได้ไม่มาก ทางตระกูลเซียวยังมีน้ำใจแจกจ่ายให้กับตระกูลใหญ่ที่มีความสัมพันธ์ดีต่อกัน ปากต่อปากทำให้บางตระกูลเริ่ม
เวลาล่วงผ่านมานับเดือน ตระกูลจินเริ่มนำผักดองออกมาวางขาย แล้วก็ไม่ทำให้ผิดหวัง รสชาติที่แปลก ราคาที่จับต้องได้ ทำให้ชื่อเสียงของผักดองตระกูลจินเป็นที่ชื่นชอบในเวลารวดเร็วโรคระบาดทางชายแดนทางชายแดนเหนือก็ควบคุมไว้ได้ ชาวบ้านที่อพยพมาก็เริ่มเดินทางกลับบ้านเกิดของตน ตระกูลอู๋ได้ยินข่าวก็ไม่คิดจะกลับไป ถึงแม้จางหมินจะยินดีให้พวกเขาไถ่ตัว เพราะความเป็นอยู่ของพวกเขาในครอบครัวรองจางนับว่าดีกว่าที่ผ่านมามาก อีกทั้งด้วยสำนึกในพระคุณของผู้เป็นนายจึงยินดีที่จะอยู่ต่อจางหมินก็มิได้เอาเปรียบในเมื่อเห็นถึงความดีที่ทุกคนตั้งใจคนทำงานยังฉีกสัญญาขายตัวทิ้งแล้วเปลี่ยนทั้งหมดให้เป็นลูกจ้างแทน จินเจาก็ได้เริ่มเข้าเรียนในสำนักศึกษาแล้ว ทั้งหมดจึงคิดจะลองเข้าร่วมการสอบถงเซิงในอีก สามเดือนข้างหน้าแต่ข่าวใหม่ที่ทำให้คนทั้งแคว้นเริ่มหวาดกลัวคือข่าวทั้งสองแคว้นที่ทำศึกกันมานาน แม้จะพักรบช่วงพายุหิมะไปแล้ว เพียงไม่นานแคว้นฉู่ก็เริ่มเข้ารุกรานอีกครั้ง ไฟสงครามครั้งนี้ดูจะต่อสู้จนล้มตายไปข้างทหารแคว้นฉีอพยพคนออกจากพื้นที่ จึงทำให้เมืองอื่นเริ่มเตรียมตัวแล้วเช่นกัน ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีการรบเช่นนี้เกิดขึ้น เพียง
ลู่จื้อเดินเข้าไปในห้องโถง นอกจากเซียวซีซวนแล้วนางยังพบบุรุษอีกคนนั่งอยู่กับท่านพ่อท่านแม่ของนางด้วย“จื้อเออร์เจ้ามาแล้ว คุณชายเซียวกับคุณชายหลินมารอพบเจ้า” จางหมินพูดกับบุตรสาว“คารวะคุณชายเซียว คุณชายหลินเจ้าค่ะ” ลู่จื้อมองพิจารณาหลินตงหยาง ด้วยอยากรู้ว่าทำงานอันใดถึงได้ถูกพิษเกือบตายหลินตงหยางมองแม่นางน้อยตรงหน้า เขายอมรับว่านางเป็นสตรีโฉมสะคราญล่มเมืองคนหนึ่ง แต่ที่เขาแปลกใจคือ ท่าทางของนางจะบอกว่าเป็นคุณหนูในตระกูลใหญ่ก็ดูจะไม่เกินจริง ช่างขัดกับนางที่เป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านเมื่อได้ฟังบทสนทนาของสหายกับนางก็พอจะเข้าใจว่าเหตุใดสหายของตนถึงได้มีอาการทำไหน้ำส้มแตกเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าสตรีในเมืองหลวงจะหาที่งามกว่านี้มิได้ ท่าทางของนางคำพูดที่กล่าวออกมาล้วนมั่นใจไม่มีความเขินอายเยี่ยงสตรีในห้องหอแล้วยิ่งพูดเรื่องเงินดวงตาของนางราวกับมีดวงดาวนับพันอยู่ในนั้น นางจะยิ้มแย้มจนเขาอดขนลุกแทนสหายมิได้ เหมือนกับนางสามารถควบคุมทุกสิ่งไว้ในมือได้อย่างนั้น“คุณหนูจาง สหายของข้าอยากขอบคุณเจ้าเรื่องยาถอนพิษ” ลู่จื้อมองหีบใส่ของกำนัลที่เซียวซีซวนนำมาอย่างพอใจ“มิเป็นไรเจ้าค่ะ ข้าบังเอิญเจอหมอเทวดาแ