LOGINสองพี่น้องจึงออกไปด้านนอกก่อน ลู่เพ่ยไปอาบน้ำ ลู่จื้อนำน้ำออกไปให้บิดาได้ลองใช้ แต่นางยังไม่รู้ว่าจะให้บิดาใช้ยังไง นางเลยรอปรึกษาพี่ชายของนางก่อน
ลู่เพ่ยเดินเข้ามาในบ้านที่ลู่จื้อนั่งรออยู่
“ว้าว บุรุษบ้านไหนหลงเข้ามาในบ้านข้าได้” ลู๋จื้อส่งสายตาหยอกล้อพี่ชาย ลู่เพ่ยได้เค้าโครงใบหน้ามาจากบิดา หากบิดาของนางอยู่ดีกินดีคงจะรูปงามเช่นท่านพี่ของนางแน่
ตอนนี้ลู่เพ่ยผิวพรรณเหมือนคุณชายในตระกูลใหญ่ๆ อาจจะกล่าวได้ว่าตอนนี้พี่ชายของนางท่าทางดีกว่าบัณฑิตทั้งหลายในหมู่บ้านอีกด้วย หรือจะให้พี่ชายไปเข้าเรียนดี ลู่จื้อเหมือนจะมีความคิดดีๆ ขึ้นมา ลู่เพ่ยเห็นสายตาของน้องสาวถึงกับขนลุก ไปทั้งตัว
ทั้งคู่ได้ข้อสรุปจะลองให้บิดาลงไปแช่ในน้ำ เพราะบิดาบาดเจ็บที่ขา หากไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไรแค่ลองดู ทุกอย่างย่อมมีความหวัง
จากนั้นลู่เพ่ยไปหาอ่างน้ำขนาดใหญ่ที่พอให้บิดาลงไปได้เข้ามาในห้องของบิดา จางหมินมองอย่างสงสัย แต่สองพี่น้องยังไม่ยอมบอกเพียงแค่บอกให้บิดาลองแช่น้ำก่อนแล้วจะเล่าให้ฟัง เพราะทั้งคู่กลัวหากไม่ได้ผลบิดาจะเสียใจ
จางหมินถึงจะสงสัยแต่ก็ทำตามความต้องการของลูก เขามองลู่เพ่ยเหมือนมองคนแปลกหน้าจนลู่เพ่ยหน้าแดงด้วยความเขินอาย ในห้องมีเพียงลู่เพ่ยที่คอยดูแลบิดา ลู่จื้อออกมารอด้านนอก
ระหว่างที่รอบิดาแช่น้ำจิตวิญญาณนางก็เข้าครัวทำอาหาร วันนี้มารดาของนางไปช่วยงานในหมู่บ้านจึงไม่ได้อยู่ที่บ้าน หากกลับมาคงได้ตกใจแน่ แค่นางคิดถึงหน้าของมารดาก็หัวเราะแล้ว
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามลู่เพ่ยก็วิ่งออกมาเรียกลู่จื้อ
“จื้อเออร์มาดูท่านพ่อเร็วเข้า” ลู่จื้อลุกพรวดรีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องของบิดาทันที
แต่สิ่งที่นางเห็น บิดาของนางนั้นนั่งอยู่บนเตียงใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่เหลือเค้าโครงคนเจ็บหนักที่ได้แต่นอนอยู่บนเตียงเหมือนก่อนหน้านี้ ใบหน้าที่ดูอายุน้อยลงไปหลายปี
“จื้อเออร์” จางหมินเรียกบุตรีแล้วเดินเข้ามากอดนาง
ลู่จื้อน้ำตาไหลพราก มันคือน้ำตาแห่งความยินดี อาจจะเป็นความรู้สึกของร่างเดิมที่อยากเห็นบิดากลับมาเดินได้อีกครั้ง
“ท่านพ่อ ท่านเดินได้แล้ว ฮึก ฮึก” ลู่เพ่ยก็เช็ดน้ำตาเช่นกัน
“พ่อหายแล้ว ต่อไปนี้จะไม่มีใครกล้ารังแกพวกเจ้าแล้ว” ทั้งสามกอดกัน
“ข้ากลับมาแล้ว อ้าวไปไหนกันหมด เพ่ยเออร์ จื้อเออร์ พวกเจ้าหาข้าวให้ท่านพ่อกินหรือยัง” นางจินหรูที่ไปช่วยงานในหมู่บ้านเพิ่งกลับมาถึง
“น้องหญิง” นางจินหรูที่เห็นจางหมินเดินได้แล้วก็ปิดปากร้องไห้โฮ จางหมินจึงเดินเข้าไปสวมกอดนางเอาไว้แน่น แล้วปลอบประโลมอยู่นาน
กว่าที่นางจินหรูจะสงบลงแล้วรับฟังเรื่องราวต่างๆ จากปากบุตรทั้งก็ได้ลู่จื้อที่บ่นว่าหิวข้าว ทั้งหมดจึงรู้สึกตัว
ทั้งสี่คนกินข้าวไปคุยกันไป ข้าวมื้อนี้นับว่าเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดตั้งแต่จางหมินกับลู่จื้อเกิดเรื่องขึ้น
“น้ำในมิติของเจ้าเช่นนั้นรึ” จางหมินไม่รู้ว่าจะต้องพบเจอเรื่องแปลกใจอีกมากเพียงใด
“เจ้าค่ะ ข้าก็ไม่คิดว่าจะดีเพียงนี้ หากท่านพี่ไม่ไปดื่มเข้า ข้าก็คงไม่รู้ถึงความวิเศษของมัน”
“เจ้าคงดื่มไปไม่น้อยเลยอาเพ่ย” จางหมินมองบุตรชายอย่างหยอกล้อที่รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้
เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วลู่จื้อจึงบอกให้บิดาแสร้งทำเป็นป่วยเช่นเดิม หากหายเร็วเกินไปชาวบ้านจะสงสัยเอาได้ นางบอกบิดามารดาเรื่องที่จะพาลู่เพ่ยเข้าไปในมิติจิตคืนนี้เพื่อเปิดจุดตันเถียน นางอยากให้ทั้งครอบครัวได้เป็นผู้ฝึกตน ทุกคนจึงเห็นดีด้วยและคืนนี้จะเข้าไปด้วยกันทั้งหมดเลย
ทั้งสี่เข้าไปในมิติจิต จางหมินกับจินหรูเข้ามาครั้งแรกก็มีอาการเช่นเดียวกับลู่เพ่ย เพียงแค่ไม่ได้วิ่งไปทั่วเหมือนลู่เพ่ยเท่านั้น
“ท่านพี่ไม่ต้องหัวเราะท่านพ่อกับท่านแม่เลย ตัวท่านวิ่งไปทั่วมิติจำได้หรือไม่” ลู่เพ่ยถูจมูกอย่างเขินอายเมื่อถูกน้องสาวเปิดโปงเรื่องขายหน้าของตน
“ประหลาดนัก มีเรื่องเข่นนี้ด้วยรึ” จางหมินไม่คิดว่าในชีวิตจะได้พบเจอเรื่องมหัศจรรย์เช่นนี้
เมื่อบิดามารดาสำรวจมิติจนพอใจแล้ว ลู่จื้อจึงให้ทั้งสามนั่งสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ริมลำธาร นางบอกวิธีดึงแสงสีขาวให้เข้ามารวมที่จุดตันเถียน
เมื่อเห็นทั้งสามเข้าสมาธิแล้วนางจึงเฝ้าดูอยู่เงียบๆ เวลาผ่านไปสองชั่วยามเป็นบิดาที่ทำสำเร็จก่อน ตามมาด้วยลู่เพ่ยและมารดา
“ลู่จื้อลูกคิดจะทำสิ่งใดกับพื้นที่ว่างพวกนี้” จางหมินเอ่ยถามขึ้นมา
“ข้าจะปลูกผักเจ้าค่ะท่านพ่อ ข้าซื้อเมล็ดผักมาแล้ว คงต้องรบกวนพวกท่านแล้ว”
“แต่วันนี้ยังมิต้องปลูกเจ้าค่ะ ข้าจะให้พวกท่านเข้าไปศึกษาตำรายุทธก่อน ข้าอยากให้พวกเราแข็งแกร่งใครจะมารังแกเราไม่ได้เจ้าค่ะ เพราะข้ารู้มาว่าในแคว้นนี้มีผู้ฝึกตนน้อยนัก อีกอย่างหากเรามีพืชวิญญาณคนรู้เข้าบ้านเราจะมีภัยเจ้าค่ะ”
“ตอนที่พ่อเรียนในสถานศึกษามีคนพูดเรื่องสมุนไพรวิญญาณอยู่บ้างแต่หายากนัก แล้วยังมีราคาสูงชาวบ้านอย่างพวกเราไม่มีใครเคยเห็น หากเจ้าปลูกผักวิญญาณได้คงเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ”
“ทำตามที่เจ้าว่าแล้วกัน ยังไงผักวิญญาณก็ปลูกในมิติของเจ้าชาวบ้านคงไม่สงสัยพวกเรา หากจะนำออกไปขายค่อยหาคนที่ไว้ใจได้แล้วกัน” จางหมินเอ่ยออกมา
ทั้งหมดจึงเข้าไปอยู่ในห้องตำราแล้วเลือกตำราตามที่ตนสนใจ จางหมินเลือกตำราฝึกวรยุทธ์ นางจินหรูเลือกตำราฝึกลมหายใจเพราะเส้นลมปราณของนางไม่ได้ใหญ่อย่างจางหมินหรือลู่เพ่ย
ลู่จื้อจึงอยากให้มารดาค่อยๆ ฝึกไป เรื่องต่อสู้ให้เป็นเรื่องของบุรุษ ลู่เพ่ยเลือกตำราฝึกดาบ ลู่จื้อตอนนี้นางสนใจตำราปรุงยา
จินหรูที่ไม่รู้หนังสือมาก่อน ก็มีบุตรทั้งสองที่ช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง ในตอนแรกนางก็แปลกใจที่ลู่จื้ออ่านออก แต่พอคิดเรื่องวิญญาณที่หลุดออกจากร่างไป ก็เข้าใจในทันที
หากคนภายนอกรู้เรื่องของบ้านรองจางคงจะสะเทือนไปทั้งแคว้นแน่นอน
แต่ละคนจมอยู่ในโลกของตนจนลู่จื้อเอ่ยเตือนให้ออกไปพักผ่อน จึงได้ออกจากมิติกัน แต่ทุกคนต่างก็หยิบตำราติดมือออกไปกันทุกคน
“ท่านแม่ หากท่านอยากไปบ้านท่านตาพรุ่งนี้เราไปกันดีหรือไม่เจ้าคะ ยังไงท่านพ่อก็ดูแลตัวเองได้แล้ว” นางจินหรูลังเลเพราะกลัวมีคนมาที่บ้านแล้วจะรู้เรื่องจางหมินหายดีแล้วเข้า
“น้องหญิงเจ้าไปเถิด ข้าละเลยบ้านท่านพ่อตามานานนัก หากช่วยเหลือสิ่งใดท่านได้เจ้าตัดสินใจได้เลย” นางจินหรูน้ำตาซึมที่ทุกคนไม่ว่านางหากนางจะช่วยเหลือบ้านเดิม
“ขอบคุณท่านพี่เจ้าค่ะ” นางรู้ดีว่าบุตรสาวที่แต่งออกมาแล้วจะกลับไปช่วยเหลือบ้านเดิมบ่อยก็ดูไม่ดี
เวลาด้านนอกผ่านไปเพียงสองชั่วยามเท่านั้น ทั้งหมดจึงเข้านอนเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องเดินทางไปบ้านท่านตาอีก
เมื่อทั้งสองพนันกันว่าหวังเหอรุ่ยจะตามมาหรือไม่ ลู่จื้อนางบอกว่าจะต้องตามมาในวันต่อไปเลย ส่วนโจวหรงเฉิงไม่คิดว่าจะตามมาด้วยคิดว่าคงกลัวคำขู่จองเขาอยู่บ้าง“เหอะ เจ้ามาจ่ายให้ข้าด้วย” โจวหรงเฉิงหันไปถลึงตามองหวังเหอรุ่ยที่รีบตามมาเร็วเกินไปจนเขาต้องเสียเงินให้เมียรักถึงหนึ่งพันตำลึงทอง“ดะ ได้ขอรับ ว่าแต่อาเยว่เล่านางอยู่ที่ใด”“หึ ข้าให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย หากอาเยว่เลิกสนใจในตัวเจ้า เจ้าต้องห้ามยุ่งกับนางอีก แล้วถ้าเจ้าทำให้อาเยว่นางเสียใจอีกครั้ง...” โจวหรงเฉิงมิได้บอกว่าจะจัดการหวังเหอรุ่ยเช่นไร แต่เขาปล่อยพลังปราณใส่ตัวของหวังเหอรุ่ยแม้จะอยู่ในขั้นจักรพรรดิ หวังเหอรุ่ยยังเจ็บจนต้องกลืนเลือดที่เกือบจะกระอักออกมาคืนกลับลงไป โจวหรงเฉิงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนตัวของหวังเหอรุ่ยจะเข้าไปอยู่ภายในมิติ“ท่านเก่งมากท่านพี่ คืนนี้ข้าจะมอบรางวัลให้ท่านดีหรือไม่” ลู่จื้อช้อนสายตามองเขาอย่างยั่วยวน“ตอนนี้เลยมิได้รึ” โจวหรงเฉิงอุ้มเมียรักกลับขึ้นห้องพักทันทีโดยไม่สนใจสายตาตกตะลึงของตนในโรงเตี๊ยมที่มองพวกเขาอย่างตกตะลึง ชาวบ้านเพียงแค่ได้ยินเรื่องผู้ฝึกตน แต่ไม่เคยพบเห็นกับตาเช่นนี้“เย่เยว่”
นางอุตส่าห์ได้ปิ่นที่หวังเหอรุ่ยทำขึ้นด้วยตนเองมาจากมารดาที่เอ่ยขอมาตั้งนาน ทั้งยังปักมาเพื่อให้เขาได้เห็น แต่ไม่คิดว่าจะมาเห็นภาพบาดตาเข้า“อาเยว่เจ้าเอาของมาให้ข้ารึ วางไว้เถิด ประเดี๋ยวจะให้บ่าวยกไปเก็บ” เขาไม่ได้มองใบหน้าที่ตกตะลึงของนางเลย“หลานสาวท่านพี่เคยเอ่ยเล่าใช่หรือไม่เจ้าคะ” สตรีใบหน้างามไม่น้อยหันมาส่งยิ้มหวานให้ฟานเยว่“ใช่ อาเยว่ นี่แม่นางฝูหลิน...”“ท่านจะแต่งนางเป็นภรรยาใช่หรือไม่เจ้าคะ” ฟานเยว่เอ่ยถามหวังเหอรุ่ยเสียงแข็ง“...” เขามิได้เอ่ยตอบนาง“ใช่แล้ว ต่อไปเจ้าก็ต้องเรียกข้าว่าท่านป้าสะใภ้” ฝูหลินยังคงยิ้มแย้มอย่างใจดีให้ฟานเยว่“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเวลาสำราญของท่านแล้ว ท่านลุง” ฟานเยว่ยิ้มอย่างเจ็บปวดให้เขา ก่อนจะหันหลังกลับออกจากจวนตระกูลหวังไป โดยไม่หันมามองหวังเหอรุ่ยอีกเลย“ท่านต้องทำเช่นนี้ด้วยรึใต้เท้าหวัง บุรุษทั่วเมืองหลวงล้วนแต่อยากจะพิชิตนางให้ได้ มีเพียงท่านที่นางปักใจ แต่กลับใจร้ายกับนางเช่นนี้” ฝูหลินเอ่ยตำหนิเขาออกมานางเป็นหญิงขับร้องในหอนางโลม มิใช่หญิงคณิกา รู้จักกับหวังเหอรุ่ยมาหลายปีแล้ว ที่นางไม่ยอมขายคืนแรกให้ผู้ใดก็รอเพียงแค่เขาเท่าน
ลู่จื้อเดินทางมาถึงเมืองหลวง ครอบครัวของนางที่เขียนจดหมายส่งข่าวให้รู้ก่อนหน้า ก็พากันออกมารอต้อนรับอย่างคับคั่ง“นั่น หลานสาวข้าใช่หรือไม่” จินหรูชี้นิ้วที่สั่นเทาไปทางฟานเยว่ที่โบกมืออยู่บนหลังม้าตัวเดียวกับผู้เป็นบิดา"ท่านยาย ท่านตา ฟานเยว่เจ้าค่ะ” นางลงจากหลังม้าได้ก็วิ่งเข้าไปหาจางหมินและจินหรู“รู้จักตากับยายด้วยรึ” จางหมินมองหลานสาวอย่างเอ็นดู“เจ้าค่ะ ท่านแม่เล่าเรื่องท่านตาท่านยายให้ข้าฟังทุกวันเลย โอ๊ะ...ท่านพ่อก็เล่าเรื่องท่านปู่กับท่านย่าด้วยเจ้าค่ะ” ฟานเยว่กลัวเสนาบดีโจวและฮูหยินโจวจะเสียใจจึงได้เอ่ยขึ้นมา“ฉลาดนักหลานสาวข้า” เสนาบดีโจวหัวเราะอย่างชอบใจ“ท่านลุงเพ่ย ท่านลุงหยาง พวกท่านมีน้องให้ข้ารึยัง” ใบหน้าของทุกคนแข็งค้างไป เมื่อฟานเยว่หันไปเอ่ยถามลู่เพ่ยและหลินตงหยางที่ออกมารอรับอยู่ด้วย“ฮ่า ฮ่า อาเยว่ เจ้าช่างปากร้ายเหมือนบิดาไม่มีผิด” เซียวซีซวนที่อุ้มบุตรสาวตัวน้อยของเขามาด้วยก็หัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ“กลับจวนกันก่อนเถิดขอรับ” โจวหรงเฉิงอุ้มฟานเยว่กลับมา เขาปิดปากน้อยๆ ของบุตรสาวไว้ไม่ได้ส่วนลู่จื้อเส้นเลือดที่ข้างขมับของนางเต้นไม่หยุด เจ้าบุตรสาวตัวแสบไม่รู้
โจวหรงเฉิงที่เห็นเช่นนั้นจึงได้ช้อนตัวนางลงมาอยู่ในสระน้ำ ความเจ็บเมื่อครู่ค่อยๆ จางหายไป เขาจึงกดลำทวนเข้าไปจนสุดลำ“ดีแล้วหรือยัง”“อืม...”“ให้ข้าขยับเลยหรือไม่” เขากระซิบถามที่ข้างหู“หากไม่ขยับก็เอาออกไปซะ” ลู่จื้อกัดฟันแน่น นางเริ่มจะหงุดหงิดบุรุษหน้าหนาเสียแล้ว“หึหึ” โจวหรงเฉิงหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ ก่อนจะเริ่มขยับเอวเข้าออกอย่างช้าๆ แล้วเร็วขึ้นจนน้ำในสระกระเพื่อมออกไปนอกสระ“อ๊ะ...อ๊า” ลู่จื้อกัดปากแน่น เมื่อเขาเริ่มขยับเอวหนาเข้าออกอย่างไม่คิดจะผ่อนเลย“จื้อเออร์ ข้ามีความสุขยิ่งนัก” โจวหรงเฉิงเชิดหน้าขึ้นอย่างเสียวซ่าน ก่อนที่น้ำรักจะพุ่งเข้าสู่ช่องทางรักของลู่จื้ออย่างเต็มเปี่ยมแสงหลากหลายสีภายในสระบัวพุ่งวนอยู่รอบตัวของทั้งคู่ยามที่ทั้งคู่เสร็จสมจากการร่วมรักลู่จื้อและโจวหรงเฉิงมองไปรอบๆ อย่างไม่เข้าใจ เพียงครู่เดียวร่างกายของทั้งสองก็ราวกับจะปริแตก เมื่อพลังปราณในร่างกายต่างวิ่งวนอย่างสับสน“อื้อ...” ลู่จื้อร้องออกมาเสียงเบา โจวหรงเฉิงเม้มปากแน่น กอดลู่จื้อที่ร่างยังผสานกันอยู่แน่นขึ้นความเจ็บปวดเกิดไม่นาน สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือดวงตาของทั้งสองเปล่งประกายไปด้วยสีทองอร
หากจะถามว่าเรื่องของลู่เพ่ยและหลินตงหยางเกิดขึ้นเมื่อใด ก็คงตั้งแต่ที่เขาเดินทางมาที่เมืองหลวง ตอนที่หลินตงหยางมักจะเข้ามาอยู่ในมิติเพื่อเดินลมปราณ ลู่เพ่ยที่ได้เข้าไปช่วยดูแล ทำให้ทั้งสองรู้ใจตนเอง หลังจากนั้นก็ลอบนัดพบกันโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้เห็นแม้แต่ลอบเข้ามาในจวนยามค่ำคืนหลินตงหยางก็ทำมาแล้ว และดูเหมือนว่าจะบ่อยครั้งกว่าที่โจวหรงเฉิงได้พบลู่จื้อในมิติเสียอีก“เชื่อข้าพี่เพ่ย ท่านต้องรักตนเอง อย่าสนใจสายตาของผู้ใด หากท่านเลือกแล้วว่าเป็นแม่ทัพหลิน ท่านเป็นถึงผู้ฝึกตนจะมีใครกล้าว่าท่านใด”“อืม...เข้าใจแล้ว” เขายิ้มกว้างออกมา เหมือนว่าเรื่องหนักอกได้ถูกยกออกไปแล้วหลินตงหยางเป็นคนที่ไม่สนสายตาของผู้ใดอยู่แล้ว เขาต้องการจะบอกเรื่องนี้กับสหายหลายครั้ง แต่ก็ถูกลู่เพ่ยขอร้องเอาไว้ตลอดเกี้ยวแปดคนหามเคลื่อนตัวไปที่จวนตระกูลโจวหลังใหม่ ด้านหน้าเกี้ยวมีเสี่ยวเฮยที่คืนร่างเดิม เดินนำหน้าอยู่อย่างน่าเกรงขามเมื่อเกี้ยวหยุดลง โจวหรงเฉิงก็เดินเข้ามาอุ้มตัวเจ้าสาวลงไม่ยอมให้นางได้เดิน ชาวเมืองได้แต่ชะเง้อคอมองด้วยอยากรู้ว่าสตรีที่อยู่ในอ้อมแขนของโจวหรงเฉิงงามมากเพียงใด เขาถึงไม่กล้าให้เท้าของนาง
เสนาบดีโจวตัวเขามีสามภรรยา สี่อนุ เช่นบุรุษส่วนมากในเมืองหลวง ที่โจวหรงเฉิงเอ่ยถามก็เพียงสงสัยว่าเขาสามารถตัดใจจากเมียรักทั้งหมดได้รึ“เหอะ ข้าไม่เป็นแล้วก็ได้” เขาแค่นเสียงออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ภรรยาทุกคนของเขาล้วนแต่มีบุตร หากให้ทิ้งขว้างพวกนางก็ดูจะไร้คุณธรรมเกินไป“ท่านไม่ต้องห่วงว่าจะมีเมียเพิ่มไม่ได้นะเจ้าคะ ข้าจะมอบน้ำพุจิตวิญญาณไว้ให้ท่านสักสองโอ่ง” ลู่จื้อชูนิ้วขึ้นมาด้วยสองพ่อลูกหันมาถลึงตามองลู่จื้อกันใหญ่ พร้อมทั้งเสียงหัวเราะของฮูหยินโจวที่ลู่จื้อพูดได้ถูกใจนางเสียจริงทั้งหมดแยกย้ายกลับไปที่จวนเพื่อจัดการเก็บข้าวของที่นำมาด้วยไม่น้อยเลย ลู่จื้อบอกกล่าวบิดาเรื่องที่นางจะเดินทางเที่ยวไปทั่วแคว้นจางหมินจึงต้องหาซื้อที่ดินในเมืองหลวงเพื่อปลูกผัก โดยมีเซียวซีซวนให้การช่วยเหลือ มันคือผลประโยชน์ของเขาทั้งสิ้นลู่จื้อบอกเรื่องจะทิ้งน้ำพุจิตวิญญาณไว้ที่จวนให้มากเสียหน่อย เพื่อให้เขาผสมน้ำใช้รดผักที่ปลูก ส่วนผลไม้ ก็จะมีวางขายเพียงแค่ไม่กี่อย่างแทนแต่สิ่งที่ลู่จื้อนึกไม่ถึงคือ เสนาบดีโจวหลังจากที่กลับไปวันนั้น เขาก็เรียกภรรยาและบุตรทั้งหมดมาพบ ก่อนจะจัดการแบ่งทรัพย์สินที่มีให้ท







