LOGINซ่งรั่วเจินไม่ได้อธิบาย อวิ๋นหยางทำได้เพียงหอบความสงสัยที่อัดแน่นอยู่เต็มอกกลับวังไปภายในพระราชวังฝ่าบาททอดพระเนตรฉู่จวินถิงที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะตรัสว่า “เจ้าไปจัดการกับบาดแผลของเจ้าให้เรียบร้อยก่อนเถิด”“เสด็จพ่อ ลูกเพียงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น หาใช่เรื่องใหญ่อันใด” ฉู่จวินถิงตอบกลับฝ่าบาททอดถอนใจออกมาอย่างเหลืออด โลหิตสีสดเหล่านี้ย้อมเสื้อด้านหลังของเขาเป็นสีแดงฉานแล้ว ยังบอกว่าบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยอีกหรือ?โอรสตัวดีคนนี้ เหมือนเขาตอนหนุ่มไม่มีผิดเพี้ยน ไม่เหมือนโอรสคนอื่น ที่มัวแต่เสพสุขทั้งวันจนเคยตัว ได้รับบาดแผลเพียงเล็กน้อยก็โอดครวญจะเป็นจะตายให้ได้ ต่างกับคนที่เคยผ่านศึกสงครามกลับมาอย่างสิ้นเชิง“เจ้าทำงานหนักมาหนึ่งคืนเต็ม พอเสร็จเรื่องสิ่งแรกที่ทำมิใช่รักษาบาดแผล แต่สั่งคนให้รีบนำข่าวกลับไปรายงาน ความสัมพันธ์สามีภรรยาของพวกเจ้าดูจะไม่เลวเลยจริง ๆ”ฝ่าบาทกล่าวหยอกเย้าเล็กน้อย แรกเริ่มเดิมทีเขาก็ให้ความสำคัญกับเจ้าสามอยู่แล้ว เพียงนี้ฝีมือการเข่นฆ่าศัตรูในสมรภูมิรบของเจ้าสามก็ปราดเปรื่องเชี่ยวชาญดีอยู่หรอก ทว่าให้เขาสมรสกลับทำเหมือนถูกพรากชีวิตไปเสียอย่างนั้นจ
“เจินเอ๋อร์ เจ้าอยากมัวแต่กังวลใจเกินไปนักเลย มากินมื้อเช้ากันก่อนเถิด”กู้หรูเยียนเห็นบุตรสาวของตนเองท่าทางราวกับมีเรื่องราวมากมายถาโถมเข้ามาในใจ แม้ความจริงตัวนางเองก็กลัดกลุ้มกังวลใจมากไม่ต่างกัน ทว่าจนบัดนี้แล้วก็ยังไม่มีข่าวที่เชื่อถือได้กลับมาเลยซ่งหลินพยักหน้า “เจินเอ๋อร์ อีกเดี๋ยวข้ากับพี่ชายใหญ่ของเจ้าก็ต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทในท้องพระโรงแล้ว เข้าวังคราวนี้คงได้ยินข่าวคราวอะไรมาบ้าง เจ้าวางใจเถิด”ซ่งรั่วเจินเห็นคนในครอบครัวเป็นห่วงตนเองถึงเพียงนี้ ก็ผุดยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็แค่คิดว่านานเพียงนี้แล้วยังไม่กลับมา เกรงว่าต้องมีเรื่องใหญ่พอสมควรเกิดขึ้นแน่ ทว่าข้าเองก็ไม่ได้กังวลใจมากนัก ตอนแรกข้าก็ลองคำนวณดวงชะตาของท่านอ๋องแล้ว หาใช่ดวงเลวร้ายไม่”ได้ยินเช่นนั้น ทุกคนถึงจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดีแล้ว”เอาเข้าจริงหากเทียบกับน้องหญิงห้าแล้ว ความกังวลในใจของพวกเขาก็มิได้น้อยไปกว่ากันเลย ฉู่อ๋องอยู่ดี ๆ ก็มีท่าทีเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำยังตั้งใจส่งน้องหญิงห้ากลับมาที่จวนแห่งนี้ด้วย พวกเขาจะไม่กังวลใจได้อย่างไร“ข้าจะได้โล่งใจ
“ก่อนหน้านี้เสด็จพ่อเองก็เคยถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเช่นกัน ทว่าหม่อมฉันลองคิดใคร่ครวญดูแล้วก็มิได้อธิบายออกไป รอให้ท่านกลับมาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะเอาอย่างไร”แม้ฝ่าบาทจะให้ความสำคัญกับนางมาก ทว่าอีกฝ่ายก็เป็นถึงเหลียงอ๋อง ตนเองในฐานะลูกสะใภ้ ย่อมเทียบเคียงไม่ได้ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้มีอุปนิสัยขี้สงสัยช่างสังเกตอยู่เป็นทุนเดิม ไม่แน่เขาอาจจะรู้สึกว่านางกำลังพยายามเล่นลูกไม้อะไรกับเรื่องนี้ และจงใจกล่าวหาว่าร้ายเหลียงอ๋อง เช่นนั้นจะยิ่งวุ่นวายยุ่งยากหนักขึ้นไปอีก“เจ้าจะหมายความว่ายันต์นี้สามารถสืบสาวไปถึงคนที่ร่ายยันต์หุ่นเชิดแผ่นนี้ได้ใช่หรือไม่?” ฉู่จวินถิงเอ่ยถามศีรษะเรียวเล็กน่าเอ็นดูของซ่งรั่วเจินผงกรับ “ไม่ผิดเพคะ”นางมอบยันต์ดึงกระดูกที่ถืออยู่ในมือให้ฉู่จวินถิง หลังจากอธิบายวิธีการใช้งานแล้ว ก็ได้ยินฉู่จวินถิงเอ่ยขึ้นว่า“ข้าพาเจ้ากลับจวนอ๋องไปพักผ่อนก่อน ไว้เดี๋ยวข้าค่อยกลับเข้าไปในวังอีกหนแล้วกัน”“หม่อมฉันกลับเองได้เพคะ ท่านเข้าวังตอนนี้เลยไม่ดีกว่าหรือ?”ฉู่จวินถิงส่ายหน้า แววตาฉายประกายเคร่งขรึมออกมา “เพราะเรื่องเมื่อวานที่ข้าไปจัดการมาทำให้เหลียงอ๋องเสียหา
ตอนที่ซ่งรั่วเจินออกมาจากวัง ก็มีรางวัลติดตัวมาด้วยมากมายทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ฮองเฮาพระราชทานให้ด้วยความเป็นห่วงกังวลใจว่าวันนี้นางจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และโศกเศร้าเสียใจ จึงตั้งใจคัดเลือกแต่ของดี ๆ มามอบให้เป็นพิเศษถึงแม้นางจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตนเองมิได้ตกใจหวาดกลัว กระนั้นแล้วฮองเฮาก็ยังดึงดันจะมอบให้นางให้ได้ ฉู่มู่เหยาเองก็อาศัยโอกาสนี้คัดเลือกเครื่องประดับศีรษะที่โปรดปรานมาบ้าง อารมณ์ที่เคยขุ่นมัวในตอนแรกจึงดีขึ้นอีกครั้งจากนั้น ไม่รอให้นางเดินไปถึงหน้าประตูวัง ก็เห็นเงาร่างสายหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน“ท่านอ๋อง ช้าหน่อยเถิด”ขันทีวิ่งตามอยู่ด้านหลัง เสียดายที่ความเร็วของท่านอ๋องเร็วเกินไป จนมิอาจไล่ตามทันได้เลยซ่งรั่วเจินได้ยินเสียงเอะอะนี้ก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ ทว่าเพียงเสี้ยวขณะ ตอนที่นางค้นพบว่าท่านอ๋องที่ขันทีคนนั้นกำลังวิ่งตามอยู่นั้นคือฉู่จวินถิงแล้ว แววตาพลันเต็มไปด้วยความประหลาดใจทันที“เจินเอ๋อร์ เจ้าปลอดภัยดีใช่หรือไม่?”ฉู่จวินถิงพิจารณาซ่งรั่วเจินอย่างละเอียด ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความกังวลใจซ่งรั่วเจินผุดยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเ
และทันทีที่ถ้อยคำนี้ถูกเอื้อนเอ่ยออกมา หัวใจของฉู่มู่เหยาพลันกระตุกวูบสิ่งที่พี่สะใภ้พูดกับนางไว้ก่อนหน้านี้ไม่ผิดไปแม้แต่น้อยจริง ๆ เรื่องพวกนี้ แม้พวกนางจะปิดบังคนอื่นได้ แต่มิอาจปิดบังเสด็จพ่อได้จริง ๆฮองเฮาเองก็ยังอยู่ในตำหนัก มองจากสีหน้าแววตาของพระธิดาตนเองแล้วก็รับรู้สถานการณ์ได้ทันที ทันใดนั้นหัวใจของนางพลันเต้นไม่เป็นส่ำขึ้นมา“ทูลเสด็จพ่อ หลังจากหม่อมฉันและองค์หญิงเข้ามาในห้องแล้ว หมอหลวงหวังมียันต์หุ่นเชิดแผ่นหนึ่งถือไว้ในมือ จงใจจะติดมันบนตัวหม่อมฉัน”“เพราะก่อนเข้ามาในห้อง หม่อมฉันก็รับรู้ได้ถึงความไม่ปกติทันที ดังนั้นหม่อมฉันจึงรีบควบคุมเขาเอาไว้ก่อน สบโอกาสพลิกฝ่ามือติดยันต์หุ่นเชิดแผ่นนั้นไว้บนตัวของเขาแทน”“ทันใดนั้น พวกหม่อมฉันเห็นว่าเขาชะงักไปชั่วครู่เหมือนคนเสียสติและพุ่งเข้าไปทำร้ายตวนเฟยทันทีเพคะ”ซ่งรั่วเจินไม่ปิดบังแม้แต่น้อย เพราะคนที่สามารถเป็นฮ่องเต้ได้นั้น ย่อมไม่ใช่คนตื้นเขินธรรมดาความสามารถในการมองทะลุจิตใจคนได้นั้น ลำพังคนทั่วไปแค่อยู่เบื้องพระพักตร์อีกฝ่ายก็ถูกอ่านใจได้ภายในพริบตาเดียวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากหมอหลวงหวังถูกลากตัวออกไป ก็อาจจะย
ฝ่าบาททรงขมวดพระขนงแน่น สายพระเนตรกวาดมองระหว่างซ่งรั่วเจินและหมอหลวงหวังทีละคน สิ่งที่ทั้งสองกล่าวมาล้วนไม่สมเหตุสมผลทั้งสิ้นซ่งรั่วเจินนอกจากเคยพบตวนเฟยมาครั้งหนึ่งจากเรื่องเมื่อคราวก่อนนั้นที่ตวนเฟยเสียโฉม นับแต่เมื่อครั้งนั้นเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว พวกนางทั้งสองก็ไม่เคยข้องเกี่ยวใด ๆ กันอีกเลยและเหตุผลที่เข้าวังวันนี้ ก็เป็นเพราะเขามีรับสั่งให้คนไปเชิญนางเข้าวังมาเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็เหลือความเป็นไปได้เพียงแค่หนึ่งเดียว“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเห็นว่า จะต้องมีใครบางคนหวังอาศัยจังหวะนี้ปองร้ายพระชายาฉู่อ๋องเป็นแน่แท้!”ฮองเฮามีแววตาเคร่งขรึมขึ้น “ระยะหลังมานี้พระชายาฉู่อ๋องสร้างคุณูปการไว้ไม่น้อย เกรงว่าคงไปขัดหูขัดตาคนกลุ่มหนึ่งเข้า จึงเป็นเหตุให้คนพวกนั้นอาศัยโอกาสนี้วางอุบายใส่ร้ายป้ายสีนางแน่นอนเพคะ”“หากนางถูกตัดสินว่ามีความผิดโทษฐานลอบปองร้ายพระสนมแห่งวังหลังจริง เช่นนั้นต้องโทษถึงตายสถานเดียวเพคะ!”“ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยเถิด หมอหลวงหวังผู้นี้อาจเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของใครบางคนเท่านั้น หากไม่สืบสาวพวกเขาให้ลึกไปถึงต้นตอแล้ว ทุกคนคงเกิดข้อกังขาขึ้นมาจนก







