ในยามบ่าย หานไท่หยางพาจางอวิ๋นซีขึ้นขบวนรถม้ามุ่งสู่พระราชวังหลวง เพื่อเคารพยกจอกชาต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้และฮองเฮา รวมถึงผู้อาวุโสในวังอย่างไทเฮาตามขนบธรรมเนียม สีหน้าของหานไท่หยางจากที่เคยดูอมทุกข์ บัดนี้ดูสว่างใสราวกับมีรัศมีแผ่ปกคลุมโดยรอบ ยิ่งเมื่อยืนเคียงข้างจางอวิ๋นซีแล้ว พวกเขาทั้งสองเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกยิ่งนัก
สองหนุ่มสาวยกจอกน้ำชาของตนเองต่อเบื้องพระพักตร์ผู้อาวุโสทั้งสาม ต่างถามไถ่สารทุกข์สุขดิบแก่กัน ซึ่งหานไท่หยางยิ้มตอบมารดากับไทเฮาผู้เป็นย่าอย่างมีไมตรี จะยกเว้นเพียงแต่บิดาของเขาที่เขาตอบคำถามแทบนับคำได้ สร้างความอึดอัดใจให้จางอวิ๋นซีไม่น้อย “อาหยาง ช่วงนี้เจ้ากับชายาสบายดีหรือไม่” หานฮ่องเต้ถามอย่างเอื้ออารี จางอวิ๋นซีลอบสังเกตหานไท่หยางเพียงนิดที่ยังคงนิ่งเฉย นางจึงกล่าวตอบกู้สถานการณ์แทน “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงถาม หม่อมฉันกับท่านอ๋อง เอ่อ...สบายดีเพคะ” นางลอบสังเกตสีหน้าของหานไท่หยางหลังจากตอบหานฮ่องเต้ ซึ่งใบหน้านั้นยังคงเรียบเฉย ไร้ความรู้สึกใดชวนให้นางหงุดหงิดใจยิ่ง ‘ทำไมหน้าตาย เย็นชาแบบนี้หนอ’ นางนึกอยากเขกหัวของอีกฝ่ายในใจ หากเป็นโลกปัจจุบันที่นางจากมาเขาคงถูกพาเข้าสถาบันบำบัดสภาพจิตใจแล้วกระมัง “อาหยาง อย่าเย็นชาต่อเสด็จพ่อของเจ้านักเลย” หานไทเฮาทรงมีพระพักตร์กังวลเมื่อมองสองพ่อลูกสนทนากันแทบนับคำ หานไท่หยางตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “กระหม่อมสบายดี ขอบพระทัยที่ทรงถามพะยะค่ะ” ดูท่าทางแล้วความบาดหมางนี้คงไม่จบง่ายๆ บรรยากาศความอึมครึมเริ่มเข้ามาเยือนอีกครั้ง ราวกับพายุฝนกำลังจะก่อขึ้น “อีกไม่นานคิมหันต์ฤดู นี้ เทศกาลล่าสัตว์ประจำปีจะจัดขึ้น พ่อได้เชิญโอรสธิดาของฮ่องเต้แต่ละเมืองมาเข้าร่วมด้วย หวังว่าเจ้าคงเข้าร่วมงานนี้ ไม่ปฏิเสธสัมพันธไมตรีกับแคว้นอื่น โดยเฉพาะแคว้นเยว่” หานฮ่องเต้ทรงสบพระพักตร์ของพระโอรสองค์รองอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ “พระบัญชาของพระองค์คงไม่สามารถปฏิเสธได้สินะ...” หานไท่หยางกล่าวจบ เขาถอนหายใจ “พะยะค่ะ กระหม่อมจะเข้าร่วมงานนี้” จางอวิ๋นซีที่เริ่มรู้สึกถึงคลื่นลูกเล็กที่กำลังจะก่อตัวเป็นลูกใหญ่ นางสะกิดแขนของหานไท่หยาง แล้วรีบกล่าวตัดบทต่อผู้อาวุโสทั้งสาม “หม่อมฉันกับท่านอ๋องมีธุระสำคัญ ขอทูลลาเพคะ” นางรีบกล่าวทูลลาอย่างรวดเร็ว แล้วดึงหานไท่หยางออกมาจากจุดนั้น ตอนนี้นางรู้ดี ว่าในใจเขาคงอึดอัดเพียงใด ยามอยู่กับคนที่ตนเองมีอคติในใจด้วย หญิงสาวพาเขามาถึงบริเวณหน้าวังที่รถม้าจอดอยู่ นางหันมาถามเขา “ท่านอยากกลับวังตอนนี้หรือไม่” อ๋องหนุ่มส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าวันนี้ท่านอารมณ์ไม่ดี งั้นเอาแบบนี้ ข้าพาท่านเที่ยวตลาดในเมืองดีกว่า” จางอวิ๋นซีคลี่ยิ้มเพื่อให้เขาสบายใจ มือเล็กของนางจับข้อมือใหญ่แล้วพาเดินฝ่าฝูงชนมากมายไปเลือกซื้อของสวยงามและเดินชมความเป็นอยู่ของชาว แคว้นหาน หลินกงกงกับเฉินหรงทำท่าจะตามมา แต่โดนอ๋องหนุ่มหันมาปรามด้วยสายตาเอาไว้ ทั้งสองจึงต้องหยุดและกลับวังอ๋องไป แต่ทว่าภายใต้ความเป็นห่วงที่มีต่อหานไท่หยาง รอยยิ้มกลับเริ่มปรากฏบนใบหน้าหลินกงกงอีกครั้ง เขากระซิบกับเฉินหรง “คราวนี้ท่านอ๋อง คงต้องมนต์เสน่ห์ของพระชายาจริงๆแน่” หลินกงกงหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข เฉินหรงเองที่สุขแทนผู้เป็นนายจนล้นอก มิอาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้หมด แต่ก็ยิ้มเห็นด้วยกับหลินกงกงยิ่ง“สวยมั้ย?” นางถาม ขณะหยิบปิ่นปักผมโบราณแกะสลักอย่างปราณีตสวมใส่ให้ชายหนุ่มผู้เป็นสามีชื่นชม หานไท่หยางมองภาพเบื้องหน้า รอยยิ้มของนางที่ประทับใจเขาตั้งแต่คราแรก จนบัดนี้แต่งงานมาด้วยกันเขาเพิ่งได้เห็นรอยยิ้มอันงดงามของนางอีกครั้ง
“งดงาม...” เขากล่าวเสียงแผ่วเบาราวกับคนหลงใหลในภาพสาวงามอย่างลืมตัว นางงดงามราวกับนางเซียนมาจุติ ยิ่งนางยิ้มอย่างมีความสุขเท่าใด นางยิ่งงดงามเพิ่มเป็นเท่าทวี เขายอมรับว่าสิ่งที่สะดุดตาเขาที่สุดบนตัวนางคือรอยยิ้มและนิสัยอันมีน้ำใจปราณีต่อทุกคน โดยไม่ถือชนชั้นวรรณะ เขาก็ยิ่งยากจะถอนตัวจากนางมากขึ้น “ท่านว่าอะไรนะ...” จางอวิ๋นซียื่นหน้าเข้ามาใกล้ นางถามอย่างงงๆ ‘นี่เขาชมว่านางงดงามหรือ’ “เปล่า ไม่เห็นจะงามตรงไหนเลย” อ๋องหนุ่มปรับสีหน้าเคร่งขรึมดังเดิม หางตาเหลือบมองคนตัวเล็กที่หน้ามุ่ยคอตก นึกกลั้นขำในใจ เขาเคยเอ่ยชมใครเป็นเสียที่ใดกัน หรือต่อให้เขาอยากเอ่ยคำชมออกมากับนางแค่ไหน เขาก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ราวกับมีกำแพงบางๆ ในใจขวางกั้นระหว่างนางกับเขาอยู่ หญิงสาววางปิ่นคืนเถ้าแก่ร้านดังเดิม นางสาวเท้าเดินนำหน้าเขาไปด้วยความโมโห จนมาหยุดหน้าร้านเซ่าปิ่งไส้เผือกส่งกลิ่นหอมร้อนๆ กำลังสุกขึ้นหม้อ ได้ที่ “เถ้าแก่ เซ่าปิ่งนี่ชิ้นละเท่าใด” นางยิ้มกว้างถาม พลางหลับตาพริ้มสูดกลิ่นหอมของเซ่าปิ่งร้อนๆ “หนึ่งอีแปะเท่านั้นแม่นาง” เถ้าแก่ร้านยิ้มตอบ นางเขย่าแขนหานไท่หยางอย่างออดอ้อน “ซื้อให้ข้ากินหน่อยน๊า” นางกะพริบตาปริบๆ ส่งสายตาอ้อนวอนจนชายหนุ่มใจอ่อนต่อท่าทีของนาง เขาควักเงินจ่ายแล้วจัดการซื้อหมดร้าน “ข้าเอาทั้งหมดร้านนี่ล่ะ” เถ้าแก่ยิ้มกว้างตาโตอย่างดีใจ ราวกับมีลาภลอยเข้ามา รีบจัดเปิ่งไส้เผือกทั้งหมดในห่อให้อย่างรวดเร็ว “ขอบพระคุณขอรับคุณชาย” อ๋องหนุ่มรับเซ่าปิ่งทั้งหมดมาถือไว้ในมือ หญิงสาวเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงักฝีเท้าอย่างนึกขึ้นได้ “ตรงนี้เป็นทางไปจวนสกุลจาง..ท่านอ๋อง ข้าอยากไปเยี่ยมท่านแม่กับท่านย่า” นางหันมาขอต่อเขา “ตามใจเจ้าสิ” อ๋องหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆ ต่อหน้านาง เป็นยิ้มอ่อนๆ ที่ทรงเสน่ห์ที่สุดที่นางเคยพานพบจากเขา ตึกตักๆ ไม่ได้ๆ! จางอวิ๋นซี อย่าใจเต้นแบบนี้สิ! เนิ่นนานที่สองสายตามองประสานกันโดยไม่รู้ตัว จางอวิ๋นซีรีบผินหน้าไปอีกทาง นางเอามือกุมอกด้านซ้ายตำแหน่งของหัวใจที่กำลังเต้นรัวราวกลองรบ นางถอนหายใจออกมาราวกับเหนื่อยหอบ ก่อนจะสะบัดหัวเบาๆ ไล่ความรู้สึกทั้งหมดออกไป แล้วรีบไปเยี่ยมมารดาที่จวนทันทีบรรยากาศของจวนยังคงเป็นเช่นเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือความหรูหราของเรือนใหญ่และเรือนเล็กของฮูหยินรองหลี่ การมาเยือนอย่างกะทันหันของหานไท่หยางและจางอวิ๋นซี ทำเอาพ่อบ้านมู่ลนลานรีบถวายการต้อนรับแทบไม่ทัน
จางเยี่ยนผู้เป็นบิดาของจางอวิ๋นซีพร้อมกับจางฮูหยินผู้เป็นภรรยาเดิน ออกมาต้อนรับทั้งลูกสาวและบุตรเขยอย่างดีใจ จางเซียวหรูเดินตามผู้เป็นบิดา สายตาหวานหยดย้อยมองหานไท่หยางตาเชื่อม นางนึกอิจฉาจางอวิ๋นซีนัก ได้ดีกว่านางมาเกือบทั้งชีวิต อีกทั้งยังมีสามีที่เป็นว่าที่รัชทายาทในอนาคตอีกด้วย นึกแล้วนางก็แค้นใจนักที่ไม่อาจเกิดมามียศเป็นหลานสาวของฮองเฮาได้ “ท่านพ่อ ท่านแม่” นางย่อกายคำนับบิดาและมารดาอย่างนอบน้อม ก่อนจะโผเข้ากอดฮูหยินใหญ่ผู้เป็นมารดา “ถวายพระพร ท่านอ๋อง พระชายา เสด็จมากะทันหันแบบนี้ กระหม่อมไม่อาจเตรียมการต้อนรับได้ดีพอ...” จางเยี่ยนกล่าวอย่างเก้อเขิน หานไท่หยางรั้งเอวของจางอวิ๋นซีเข้ามาแนบชิด กล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ท่าทางนั้นกลับแสดงออกตรงกันข้ามกับใบหน้านัก “เสี่ยวซีนางคิดถึงพวกเจ้า ข้าเลยตามใจนาง” “ท่านอ๋องทรงพระทัยดีจังเลยเพคะ น้องหญิงโชคดีนักที่ได้แต่งเป็นพระชายาท่านอ๋อง” จางเซียวหรูแสร้งยิ้มเอ่ยชม ในใจของนางพลันสุมไปด้วยไฟริษยา หากนางยังมิได้แต่งงานกับหานอี้ เกรงว่าชาตินี้วาสนาคงไม่อาจอยู่เหนือกว่าจางอวิ๋นซีเป็นแน่ “แน่นอน” หานไท่หยางกล่าวตอบเสียงเรียบ “เชิญเสด็จข้างในเถิดเพคะ ไท่ฮูหยินอายุมากแล้ว นางจึงเฝ้ารอที่เรือนใหญ่ หวังว่าท่านอ๋องคงไม่ถือสา” จางฮูหยินกล่าวอย่างสุภาพ “หากเสี่ยวซีว่าอย่างไร ข้าก็ว่าตามนาง” พูดจบหันมาส่งยิ้มบางๆ ให้กับนาง ‘นี่มันอะไรกันเนี่ย ทำไมวันนี้เขายิ้มเยอะกว่าปกตินะ!’ ไท่ฮูหยินที่นั่งรอทั้งสองในเรือนใหญ่พร้อมกับหลี่ฮูหยินรอง ต่าง รีบลุกขึ้นถวายพระพรหานอ๋องไท่หยางอย่างสุภาพ จางอวิ๋นซีเข้ามาประคองผู้เป็นย่าและสวมกอดด้วยความคิดถึง “หลานคิดถึงท่านย่า นับตั้งแต่แต่งงานก็แทบไม่ได้มาเยี่ยมเยียนท่านย่าเลย ท่านย่าสบายดีหรือไม่เจ้าคะ” นางถามไท่ฮูหยินด้วยความเป็นห่วง ฮูหยิน อาวุโสของบ้านลูบหัวนางด้วยความเอ็นดู “ซีเอ๋อร์ของย่าเป็นเด็กดีนัก แม้ได้ดีก็ไม่ลืมย่ากับแม่ เป็นเด็กกตัญญูเสียจริง” ไท่ฮูหยินลูบใบหน้าหลานสาวด้วยความชื่นชม ก่อนจะหันมากล่าวกับหานไท่หยางที่ทำความเคารพนางเช่นกัน “สบายดีหรือขอรับ ไท่ฮูหยิน” หานไท่หยางทำความเคารพฮูหยินอาวุโสอย่างนบนอบ พลางลอบสังเกตพฤติกรรมคนในบ้านสกุลจางทีละคน โดยเฉพาะจางเซียวหรูผู้เป็นพี่สาวของชายาเขา มีพฤติกรรมส่งสายตาพยายามทอดสะพานให้เขาอยู่เนืองๆ “หม่อมฉันสบายดีเพคะ ขอบพระทัยที่เป็นห่วง” ไท่ฮูหยินกล่าวตอบอย่างใจดี นางเห็นหลานสาวเป็นที่รักใคร่ของท่านอ๋องเช่นนี้นางก็ปลาบปลื้มใจนัก “หากทรงไม่รังเกียจ อยู่ร่วมเสวยมื้อกลางวันกับพวกเราที่นี่เถิดเพคะ” นางเชื้อเชิญอีกฝ่าย ซึ่งหานไท่หยางพยักหน้าตอบตกลงอย่างทันที “งั้นวันนี้ หลานอยากลงครัวทำอาหารให้ทุกคนเอง ไม่ได้กลับมาที่จวนเสียนาน อยากร่วมทานอาหารกันพร้อมหน้านัก” จางอวิ๋นซีพะเน้าพะนอเอาใจผู้เป็นย่ากับมารดาอย่างเต็มที่ หานไท่หยางจึงกล่าวขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้น คืนนี้ถ้าหากข้ากับชายาจะค้างที่นี่ ท่านพ่อตากับท่านแม่ยายคงไม่รังเกียจใช่หรือไม่” ชายาของเขาจากบ้านเกิดไปนานนับเดือน และยังมิเคยมาร่วมโต๊ะอาหารกับที่บ้านนับตั้งแต่แต่งงานให้เขา ฉะนั้นคืนนี้เขาอยากทำให้นางมีความสุข ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับครอบครัวของนาง อยากรู้นักว่าใครที่ชอบคิดร้ายรังแกนาง! “ไม่เลยพะยะค่ะ กระหม่อมเต็มใจนัก” จางเยี่ยนตอบรัวเป็นพัลวัน พร้อมกับสั่งให้พ่อบ้านมู่จัดตำหนักรับรองถวายท่านอ๋อง “พ่อบ้านมู่ เจ้ารีบไปจัดเรือนรับรองถวายท่านอ๋องเร็ว” จางเยี่ยนหันไปสั่งกับพ่อบ้านคนสนิท หานไท่หยางค้านขึ้นมา “ไม่ต้อง! ข้ากับเสี่ยวซีเป็นสามีภรรยากัน คืนนี้ข้าจะนอนค้างที่เรือนของนาง” จางฮูหยินกับไท่ฮูหยินลอบยิ้มให้กัน ดูท่าทางแล้วเส้นทางการครองรัก ของหานไท่หยางกับจางอวิ๋นซีนั้นคงจะราบรื่นยิ่งนัก “พะยะค่ะ” พ่อบ้านมู่ตอบกลับด้วยความดีใจ ส่วนฮูหยินรองหลี่กับจางเซียวหรูหน้าเสียยิ่ง พวกนางคิดอยากให้หานไท่หยางนอนแยกเรือนกับจางอวิ๋นซี เพื่อวางแผนการบางอย่าง อย่างน้อยตอนนี้คนที่มีความมั่นคงทางอำนาจทางการทหารมากที่สุดคือหานไท่หยาง ส่วนหานอี้นั้นดูท่าทางแล้วคงเป็นได้แค่เป้าหมายสำรองของจางเซียวหรูเท่านั้น อย่างน้อยนางอยากปีนสู่ยอดไม้กลายเป็นนางหงส์เช่นจางอวิ๋นซีบ้าง แผนการที่อุตส่าห์คิดวางแผนจะเป็นพระชายารอง ดูท่าทางแล้วคงไม่ได้ผลเป็นแน่ นางกระซิบกับมารดาเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ หากท่านอ๋องนอนกับซีเอ๋อร์ แผนการเป็นพระชายารองของข้าคงไม่มีทางเป็นจริง” หลี่ฮูหยินตอบบุตรสาวเสียงเบา “เจ้าคอยดูไปก่อน”จางอวิ๋นซีมองสำรวจยาสมุนไพรและวัตถุดิบปรุงอาหารในครัว พบว่าวัตถุดิบทั้งหมดนั้นร่อยหรอลงไปเยอะมาก นางจึงถามพ่อบ้านมู่ พยายามจดจำวัตถุดิบที่ขาดแคลนเอาไว้ในหัว
“พ่อบ้านมู่ ทำไมพวกเนื้อสัตว์และผักต่างๆ ถึงได้เหลือน้อยเพียงนี้เล่า” นางถาม พ่อบ้านมู่มีสีหน้าวิตก พอดีกับหานไท่หยางที่เดินตามจางอวิ๋นซีเข้ามาในครัว ราวกับมองเห็นปัญหาขนาดย่อมที่กำลังเกิดขึ้น พ่อบ้านมู่จึงตัดสินใจกราบทูลพระชายา “ทูลพระชายา แม้ท่านจะแต่งงานให้กับท่านอ๋องแล้ว แต่เรื่องทุกอย่างภายในบ้าน ใต้เท้าจางยังคงมอบให้ฮูหยินรองดูแลอยู่ ยิ่งเมื่อท่านแต่งงานออกไปแล้วนั้น นางลดเบี้ยหวัดต่างๆ ลง เบิกเงินซื้อสิ่งใดทีนางมักเจียดมาให้น้อยนิดเหลือเกินพะยะค่ะ” พ่อบ้านมู่กราบทูลความจริงไปทั้งหมด “แม้กระทั่งเบี้ยหวัดที่ต้องซื้อยาสมุนไพรให้ฮูหยินใหญ่เดือนนี้ก็ยังถูกนางบดเบียดเอาไปใช้ปรนเปรอตนเองจนหมด” “แล้วท่านพ่อเล่า ท่านพ่อกับท่านย่าไม่คัดค้านอะไรเลยหรือ?” นางถาม เสียงดัง สองมือเท้าสะเอวพลางถอนหายใจระบายอารมณ์ “ใต้เท้านั้นตามใจฮูหยินรองยิ่งกว่าสิ่งใด ส่วนไท่ฮูหยินก็ไม่อาจค้านได้ ยาที่คุณหนูให้ฮูหยินกินก็เพียงพอแค่ไม่กี่วันเท่านั้นขอรับ” พ่อบ้านมู่สีหน้าเศร้าสลดลง “ไม่ต้องห่วงหรอกนะพ่อบ้านมู่ เดี๋ยวเรื่องนี้ข้าจัดการเอง...” นางรับปากกับพ่อบ้านอาวุโสของจวน แล้วหันหน้ามาขอความช่วยเหลือจากอ๋องหนุ่ม สองมือแบมือพลางยิ้มแหยๆ “ท่านอ๋อง...” นางกล่าวเสียงอ่อย ส่งสายเว้าวอน “ไปซื้อของกับข้าแล้วกัน” หานไท่หยางพูดจบ เขาคว้าข้อมือของนางพาเดินออกจากจวนไปที่ตลาดใหญ่ ในใจของเขาตอนนี้คิดอยากหาวิธีจัดการจางเยี่ยนและฮูหยินรองนัก พวกนางคงต้องเป็นพวกที่ชอบแกล้งจางอวิ๋นซีบ่อยๆ เป็นแน่ นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่พวกนางสาดน้ำใส่ชายาของเขาคราวนั้น เขาก็ไม่วางใจให้นางใกล้ชิดกับครอบครัวนี้อีก ตลาดที่หานไท่หยางพานางมาเดิน ไม่ใช่ตลาดใหญ่ในเมืองหลวง แต่เป็นตลาดอีกทางฝั่งหนึ่งของเมืองซึ่งอยู่ติดกับท่าเรือสินค้าของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวเปอร์เซียที่ครั้งหนึ่งจางอวิ๋นซีได้เกือบมีเรื่องด้วย นางเดินผ่านร้านขายสมุนไพรและยาของชาวต่างชาติ จึงอดนึกถึงคราแรกที่นางหลงมิติมาแล้วมาซื้อยาที่นี่ไม่ได้ อาการของจางฮูหยินมีความเกี่ยวเนื่องกับวัณโรคปอด ซึ่งมีสมุนไพรและยาไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่สามารถข่มเชื้อของวัณโรคร้ายแรงชนิดนี้ได้ “ท่านอ๋อง ข้าขอเข้าไปซื้อยาให้ท่านแม่ก่อนได้หรือไม่” นางดึงรั้งข้อมือของหานไท่หยางเอาไว้ แล้วมองเข้าไปในร้านสมุนไพร อ๋องหนุ่มจึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต นางยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงรายกันเป็นประกายไข่มุกงดงาม “ท่านใจดีนัก รอข้าสักครู่นะ” หานไท่หยางไม่อยากยืนรอนางอยู่ด้านนอก ด้วยตรงนี้มีชาวต่างชาติซึ่ง เคยมีเรื่องกับชายาของเขาเดินพลุกพล่านอยู่ หากปล่อยนางไปสักครู่เดียวก็อาจเกิดอันตรายกับนางได้ เขาไม่ไว้ใจให้นางอยู่คนเดียวไม่ว่าจะที่ใดก็ตาม ชายหนุ่มเดินตามติดนางเลือกดูสมุนไพรและยาที่รูปทรงแปลกตายิ่งนัก ยาเม็ดสีขาวเรียวขนาดเท่านิ้วโป้งถูกบรรจุอยู่ในภาชนะสีใสที่เขาไม่คุ้นเคยบนชั้นวางด้านหลังเจ้าของร้าน แล้วเดินตามผู้เป็นชายาเลือกดูสมุนไพรแต่ละชนิด ดูแล้วนางเก่งเรื่องการแพทย์มากเหลือเกิน ต่อมาเป็นยาเม็ดสีขาวอีกชนิด รูปทรงเป็นวงกลมเรียบแบนมีขีดผ่ากลางตรงเม็ดยา อ๋องหนุ่มไม่คุ้นเคยยาแบบแผนตะวันตกนัก จึงถามนางด้วยความสนใจ “เจ้าสิ่งนี้เขาเรียกว่าอะไร” อ๋องหนุ่มยื่นกระป๋องยาถามนาง หญิงสาวหยิบกระป๋องยาพลางอ่านชื่อที่ถูกเขียนกำกับเอาไว้อยู่ “อ๋อ ยานี้น่ะเขาเรียกว่าพาราเซตามอล เป็นยาสามัญทั่วไปที่เอาไว้กินลดไข้หรือบรรเทาอาการปวดน่ะ” นางอธิบายอย่างชำนาญ อ๋องหนุ่มขมวดคิ้ว ชื่อยาอันใดกัน ทั้งยาวและประหลาดนัก “ทั้งยาวและประหลาดนัก” นางก็พอเข้าใจอยู่ว่ายุคนี้วิวัฒนาการและเทคโนโลยีของชาวตะวันตกยังเข้าไม่ถึง จึงเปลี่ยนวิธีการอธิบายแทน “หากท่านว่ายาสมุนไพรสามารถรักษาโรคได้ ยาชนิดนี้ของพวกชาวฝรั่งก็สามารถรักษาโรคได้ทันตาเห็นเช่นกัน หากท่านเจ็บป่วย ท่านกินยาตัวนี้ท่านก็จะหายดีเป็นปลิดทิ้ง ไม่ต้องรอนานเหมือนกับสมุนไพร” “ว่าแล้วก็ซื้อกลับไปด้วยดีกว่าเผื่อฉุกเฉิน” นางหยิบกระปุกยานั้นมาถือเอาไว้ ก่อนจะเดินไปหาเจ้าของร้านและสั่งสมุนไพรที่ตนเองต้องการ “ข้าต้องการสมุนไพรพวกขมิ้น ฟ้าทะลายโจร รบกวนจัดมาให้ข้าที” นางถามพ่อค้าชาวจีนซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าของร้านชาวเปอร์เซียที่นี่ “ท่านต้องการเท่าไหร่ดีขอรับแม่นาง” ผู้ช่วยเจ้าของร้านถามนาง “เอ่อ...” นางพยายามคิดคำนวณปริมาณยากับสมุนไพรให้สอดคล้องกัน แต่หานไท่หยางเดินมาแล้วกล่าวแทน เขาวางอัฐจำนวนหนึ่งต่อหน้าผู้ช่วยเจ้าของร้านยาเปอร์เซีย “ของที่ภรรยาข้าต้องการ มีเท่าไหร่เอามาให้หมด” อ๋องหนุ่มกล่าวเสียงเข้ม พ่อค้าชาวจีนเก็บอัฐทั้งหมดมาด้วยความดีใจก่อนจะกระตือรือร้นนำสมุนไพรที่พวกเขาต้องการออกมาจนหมด “จะดีหรือเพคะ หากว่า...” นางกำลังจะกล่าวแย้งเขาอีกครั้ง อ๋องหนุ่มพูดตัดบทอย่างรำคาญ “ข้ามีหน้าที่จ่ายเงินเท่านั้น” เขากล่าวจบแล้วเดินออกมารอนางนอกร้าน หญิงสาวนำห่อยาทั้งหมดใส่ตะกร้าสานแล้วเดินตามเขาไป ทั้งสองเลือกซื้อวัตถุดิบและเนื้อสัตว์ที่ขาดแคลนไปได้จำนวนหนึ่ง จนเวลาเริ่มบ่ายคล้อยได้เวลาอาหารมื้อกลางวันแล้วจึงพากันกลับจวนเสนาบดีจาง‘เมิ่งฉี’ ซึ่งแอบเดินสะกดรอยตามพวกเขาทั้งสองมา ชายหนุ่มเลิกหมวกสวมปกปิดใบหน้าขึ้นสูงเล็กน้อย พลางยกยิ้มมุมปากข้างหนึ่งอย่างพึงพอใจ แล้วเดินสะกดรอยตามทั้งสองไปอีกครั้งอย่างเงียบเชียบ
ทางด้านหานไท่หยางที่รู้สึกถึงความผิดปกติ เขาจึงจูงมือหญิง สาวก้าวเดินด้วยความเร่งรีบจนนางเกือบเซล้มกับพื้นถนน เรี่ยวแรงเขาปานช้างสารอีกทั้งตัวนางเองก็ผอมลิ่วแทบปลิว เขาจะลากพานางไปที่ใดกันอีก “ท่านอ๋อง เหตุใดจึงรีบเช่นนี้” นางถามขณะที่ถูกกึ่งลากกึ่งจูงเดินไปตามท้องถนน “มีคนตามมา” อ๋องหนุ่มตอบสั้นๆ ก่อนจะตัดสินใจหยุดเดิน เพราะในเพลานี้ไม่มีราษฎรพลุกพล่านมากนัก การเอาแต่เดินหลบเลี่ยงอาจทำให้คลาดโอกาสในการเผชิญหน้ากับผู้ที่สะกดรอยตามพระองค์มา เมิ่งฉีเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายหยุดเดินกะทันหัน จึงเป็นโอกาสเผลอให้ตนเองพบทั้งสองเข้าอย่างจัง สองมุมปากคลี่ยิ้มบางๆ เขาถอดหมวกที่สวมใส่ออก เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลากำลังคลี่ยิ้มให้ทั้งสอง “แย่จัง โดนจับได้เสียแล้ว” สีหน้าของคนถูกจับได้ยังคงยิ้มกว้างต่อ แต่ทว่าหานไท่หยางนั้นไม่มีอารมณ์มาเล่นลิ้นกับอีกฝ่ายด้วย เขาจดจำอีกฝ่ายได้ดี ศัตรูคู่อาฆาตเมื่อครั้งเขาทำศึกที่ชายแดนเหนือตำบลซ่างจิ่ง ซึ่งมีชายแดนติดกับ อาณาเขตของแคว้นเยว่ “มาทำอะไร” อ๋องหนุ่มถามเสียงเข้ม เขาดึงร่างของผู้เป็นภรรยาไปอยู่ด้านหลัง “แคว้นเยว่ของข้าได้รับเชิญให้เข้าร่วมเทศกาลล่าสัตว์จากเสด็จพ่อของเจ้า ข้าเลยอยากมาท่องเที่ยวเมืองของเจ้าเสียหน่อย หานอ๋อง” มุมปากนั้นยังคงคลี่ยิ้มอย่างนึกสนุก สายตามองไปทางด้านหลังของหานไท่หยางเห็นหญิงสาวยืนอยู่ด้านหลังอีกฝ่าย เขาแสร้งทำเป็นจำนางได้ ทั้งๆ ที่ตนเองสืบเรื่องของนางมาหมดแล้ว “เจ้านี่เอง ชายาของหานอ๋อง ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันอีก” เมิ่งฉีแสร้งโบกมือทักทายอย่างเป็นมิตร แต่ทำไมจางอวิ๋นซีรู้สึกอยากสะอิดสะเอียนกับท่าทีนี้เหลือเกิน หานไท่หยางหันหลังมามองนางด้วยความสงสัย นี่เมิ่งฉีเคยเจอกับชายาของเขาแล้วหรือ? เหมือนนางรู้ตัวว่าจะโดนถามจากสายตาที่รอคำตอบของผู้เป็นสามี “ข้าเคยเจอเขาครั้งนึงที่ตลาด แต่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนะ” “ฮ่าๆ นั่นสินะ ชายาของเจ้านี่เป็นมิตรดีเสียจริง นางกับข้าทักทายกันแค่ไม่กี่คำ นางก็รีบกลับเลย คงเป็นเพราะสามีเช่นเจ้ากระมังที่ทำให้นางต้องเกรงใจถึงเพียงนี้” เมิ่งฉียังคงพูดไม่หยุด หานไท่หยางยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายด้วยแววตากราดเกรี้ยว นัยน์ตานั้นเต็มไปด้วยประกายไฟลุกโชนพร้อมบีบคออีกฝ่ายทุกเมื่อ “หากเจ้ายังไม่หยุดพูดจาไร้สาระ ข้าจะสังหารเจ้า!” “เอ่อ ท่านอ๋อง เรากลับกันเถิดเพคะ หม่อมฉันหิวแล้ว” นางท้วงติงด้วยต้องการไม่ให้เรื่องราวบานปลายมากกว่านี้ สามีของนางเป็นคนอารมณ์ร้ายนัก หากได้โกรธขึ้นมาทุกอย่างรายรอบนี้คงพังพินาศหมดเป็นแน่ นางจึงต้องกล่าวแทรกขึ้นมาเพื่อยุติบทสนทนาอันน่าเบื่อนี้ หานไท่หยางถูกผู้เป็นภรรยาดึงตัวกลับจวน เขาได้แต่ฝากอารมณ์อันบูด บึ้งและท่าทีโกรธเกรี้ยวเอาไว้ที่ศัตรูคู่อาฆาตอย่างเมิ่งฉี หากอีกฝ่ายคิดแตะต้องทำ ร้ายภรรยาของเขา เขาสาบานเลยว่าจะเลาะเอ็นถลกหนังให้สาสมแค้นแน่นอนสมรสพระราชทานระหว่างจางเซียวหรูและหานอี้ ถูกประกาศไว้ทั่วเมืองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือของหยางเต๋อเฟย ไม่แพ้คราวที่จางอวิ๋นซีแต่งงานกับหานไท่หยางเลยสักนิด เป็นที่โจษจันกันทั่ววังหลวงว่าในอนาคตนี้ อ๋องใหญ่หานอี้อาจได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทเป็นแน่ด้วยอุปนิสัยของหานอี้ที่เข้าถึงได้ง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี คอยช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก และจางเซียวหรูที่เป็นถึงบัณฑิตหญิงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน ย่อมเหมาะสมยิ่งนักราวกับกิ่งทองใบหยก ข่าวดีนี้ทำให้มีเหล่าเสนาบดีน้อยใหญ่มากมายต่างมาผูกสัมพันธ์กับสกุลจางให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เคยตราหน้าจางเซียวหรูว่าเป็นบุตรีฮูหยินรอง บัดนี้พวกนางต่างมานอบน้อมต่อจางเซียวหรูทั้งสิ้นข้าวของเงินทองถูกนำมาเป็นของกำนัลล่วงหน้าในงานแต่งงาน ทรัพย์สินสมรสของหานอี้ถูกทยอยส่งมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกส่งมาจากหยางรั่วอวิ๋นหรือ หยางเต๋อเฟย“เครื่องประดับพวกนี้งดงามนักเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านย่าว่าอย่างไรเจ้าคะ” ไท่ฮูหยินที่เป็นย่าก็ร่วมยินดีที่หลานสาว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลล่าสัตว์เมื่อวันก่อน ทำให้ หยางเต๋อเฟยกังวลพระทัยอยู่หลายวัน เนื่องจากการมีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพระชายารองของหานไท่หยาง อาจส่งผลให้อำนาจของหานอี้บุตรชายของนางลดลง ดังนั้นวันนี้พระนางจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อทวงสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างหานอี้กับจางเซียวหรูแต่ทว่าจังหวะที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่นั้น องค์หญิงซิ่วอิ่งก็เดินทางเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาและไทเฮาตามธรรมเนียมพอดี ทำให้พระนางต้องยืนรอให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียก่อน จึงริเริ่มแผนการสมรสพระราชทานเมื่อคล้อยหลังองค์หญิงซิ่วอิ่งแล้ว หยางรั่วอวิ๋นหรือหยางเต๋อเฟยจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักคังเฉวียนทันที นางทวงถามสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานจากไทเฮา“ดูเจ้าจะรีบร้อนเสียจริง เรื่องการแต่งงานของหลานข้า หานอี้” ไทเฮาทรงจิบชาอย่างเกษมสำราญ มิได้ทุกข์ร้อนดังเช่นหยางเต๋อเฟย“แต่เสด็จแม่เคยให้สัญญากับข้าเอาไว้ แล้วว่าจะประกาศเรื่องสมรสพระราชทานในวันเทศกาลล่าสัตว์ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ” หยางเต๋อเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ
ภายในใจของจางอวิ๋นซีในตอนนี้ ไม่ต่างกับไฟร้อนที่สุมทรวง นางไม่เข้าใจว่าอาการเหล่านี้คือสิ่งใด หากเป็นที่โลกปัจจุบันของนาง คงเป็นเพราะธาตุทั้งห้าในร่างกายกำลังแปรปรวนเป็นแน่หญิงสาวรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในตำหนัก ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหรูหรงและหยางกูกูก็ยังยืนรอแค่นอกห้อง“ทำไมข้าต้องรู้สึกโกรธที่เจ้าอยู่กับคนอื่นด้วยนะ” นางเอามือกุมหน้าอกที่กำลังร้อนรุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง จะว่านางประจำเดือนมาหรือไม่ก็คงไม่ใช่“หรูหรง หยางกูกู เข้ามาหาข้าที” ข้ารับใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามาเมื่ออีกฝ่ายมีรับสั่งเรียก“เพคะ พระชายา” หรูหรงเดินเข้ามา“หรูหรง เจ้าไปตลาดสด ซื้อสมองหมูกับไส้หมูมาให้ข้าที ส่วน หยางกูกู ท่านไปที่โรงครัว เตรียมมีดสั้นกับตะเกียบมาให้ข้าด้วย” นางสั่งยืดยาวหรูหรงและหยางกูกูมองหน้ากันอย่างงุนงง ของทั้งสองอย่างนั้นพระชายาของพวกนางจะเอามาทำสิ่งใดกันแน่“พระชายาจะเอาของพวกนั้นมาทำสิ่งใดเพคะ” หยางกูกูถามด้วยความอยากรู้
องค์หญิงซิ่วอิ่ง นอกจากจะมีพฤติกรรมถือดี ยโสโอหังแล้วนั้น ยังแสดงความไม่เคารพต่อจางอวิ๋นซีผู้เป็นพระชายาเอกแห่งวังอ๋องอย่างชัดเจน“เป็นแค่พระชายาเอกต่ำศักดิ์ มีสิทธิ์อันใดหรือมาสั่งข้า” ซิ่วอิ่งกล่าววาจาดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน นางยืนกอดอกไม่แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเลยสักนิดจางอวิ๋นซียกยิ้ม “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มิใช่แขกบ้านแขกเมืองอีกต่อไป ในเมื่ออีกหนึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองให้สามีข้า หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเจ้าให้รู้ถึงกฎธรรมเนียมของวัง ย่อมเป็นหน้าที่ข้า ดังนั้นข้าจะทำเช่นใดกับเจ้าก็ย่อมได้”“แต่เดิมทีหน้าที่อบรมขนบธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของกูกูใหญ่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระชายาเอก” ซิ่วอิ่งแย้งทันควัน หยางกูกูลอบยกยิ้มส่งเสริมพระชายาเอกของนาง“เป็นดั่งที่พระชายาเอกทรงกล่าวเพคะ หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนองค์หญิง ย่อมเป็นหน้าที่ของพระนาง จะเป็นหน้าที่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อพระชายาเอกทรงปรารถนาจะสั่งสอนองค์หญิงด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้” หยางกูกูกล่าวเสริม นางนับถือจ
องค์หญิงซิ่วอิ่งยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า นางหันมามองเมิ่งฉีผู้เป็นพี่ชายเชิงส่งสัญญาณ เมิ่งฉีรีบกล่าวทันที“ทูลฮองเฮา ที่น้องสาวกระหม่อมกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประการ เสด็จพ่อทรงปรารถนาให้น้องหญิง อภิเษกกับพระราชบุตรองค์ใดองค์หนึ่งของฝ่าบาท เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นพะยะค่ะ” เมิ่งฉีกล่าว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันร้ายกาจ“เมื่อสักครู่ฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮาและทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ว่าหม่อมฉันได้ขี่ม้าตัวเดียวกับหานไท่หยาง เสด็จพ่อหม่อมฉันทรงปรารถนาให้หม่อมฉันอภิเษกกับหานไท่หยางเพคะ” ซิ่วอิ่งยกยิ้มมุมปาก นางหันไปเย้ยหยันจางอวิ๋นซีที่ยืนนิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก“อาหยางของข้ามีชายาเอกอยู่แล้ว การที่องค์หญิงทำเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม” หานไทเฮาทรงกล่าวพระสุรเสียงนุ่มนวล“แต่น้องสาวของข้ามาที่นี่เพื่อการอภิเษก หากพวกท่านทำเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วนางไม่สามารถอภิเษกกับบุรุษอื่นได้อีก พวกท่านทำเช่นนี้ เท่ากับพวกท่านไม่ให้เกียรติทางต้าเยว่ของข้า!” เมิ่งฉีแสร้งมีท่าทีเดือดดาล“ห
จางอวิ๋นซีควบม้านำหานอ๋องไท่หยางผู้เป็นสามี จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามประลองใจกลางป่า ซึ่งมีธงสีแดงโบกพลิ้วไสวอยู่ ธงสีแดงที่โบกพลิ้วอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจุดรวมพล หลังจากเสร็จสิ้นการประลองก่อนหมดเวลาเพียงหนึ่งเค่อทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ทางด้านหลังของหานไท่หยางก็ยังมีองค์หญิงซิ่วอิ่งตามติดมาเช่นกัน อีกฝ่ายยังคงควบม้าตามสามีของนางไม่ลดละ หน้าไม่อายยิ่ง!“นึกว่าจะตามท่านอ๋องไม่ทันเสียแล้ว” นางยกสายบังเหียนขึ้นสูงบังคับให้ม้าหยุด พลางส่งยิ้มหวานให้หานไท่หยางอย่างออดอ่อยเต็มที่“ตามข้ามาทำไม” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้านาง ทำเอาองค์หญิงแคว้นเยว่หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดถามคำถามนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมอันงดงามของนางก็ยากจะมีชายใดปฏิเสธ แต่หานไท่หยางเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้กับนาง“อะ เอ่อ คือ...” นางเอ่ยตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน ปรารถนาจะร่วมล่าสัตว์กับท่านอ๋องนะเพคะ”หานไท่หยางเบื่อหน่ายท่าทีขององค์หญิงผู้นี้นัก “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็ดูแลตนเอง เพ