ชิงชิง รีบซอยเท้าเข้ามาหาองค์หญิงปิงหลินซึ่งประทับอยู่ในศาลาริมน้ำ สวนอุทยานส่วนพระองค์ในพระตำหนัก
“ท่านหญิง ท่านหญิงเพคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ”
นางไม่ลืมที่จะยอบกายถวายความเคารพก่อนแล้วจึงเอ่ยคำ นางรีบวิ่งมาที่ศาลาริมน้ำทันทีที่ทราบเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีจากเฉินกงกงหัวหน้าขันทีที่รับใช้องค์ฮ่องเต้
“เจ้าเรียกข้าเสียงดังทำไมกัน ดูสิผีเสื้อแตกตื่นบินหนีหมดแล้ว”
ท่านหญิงปิงหลินกล่าวอย่างเกียจคร้าน มิได้ใส่ใจความตื่นตระหนกของนางกำนัลคู่ใจ เพราะไม่ว่าจะมีเรื่องใดเกิดขึ้น นางมั่นใจว่าทั้งฮ่องเต้และองค์รัชทายาทจะยื่นพระหัตถ์มาปกป้องเสมอ ดังนั้น นางจึงเอนกายอย่างสบายบนเก้าอี้ที่สั่งทำพิเศษ ทอดสายตาไปยังบึงบัว ผีเสื้อน้อยกำลังกระพือปีกดอมดมบุปผาอย่างสำราญใจ
“โธ่... องค์หญิงเพคะ อย่าทรงพระทัยใจเย็นอยู่เลย คราวนี้มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับพระองค์แล้วจริง ๆ เพคะ”
ชิงชิงแทบจะร้องไห้ออกมา รู้สึกสงสารองค์หญิงที่ต้องแต่งงานกับองค์รัชทายาทต่างแคว้น
“ว่ามาเถอะ”
เมื่อทนเสียงคร่ำครวญของชิงชิงใช้ไม่ไหว องค์หญิงปิงหลินจึงขยับกายลุกขึ้นนั่ง เพื่อจักได้ฟังข่าวร้ายที่นางกล่าวถึง
“แคว้นอ้ายฉีส่งทูตมาสู่ขอองค์หญิงเพื่อเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทเพคะ”
ชิงชิงเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ นางเป็นลูกสาวของแม่นมขององค์หญิงปิงหลินจึงมีโอกาสรับใช้มาตั้งแต่เล็กจึงรู้สึกผูกพันรักใคร่องค์หญิงประดุจน้องสาว แม้ว่าคนอื่นจะมององค์หญิงเป็นปีศาจขี้โมโหเอาแต่ใจ แต่กับตนนั้น องค์หญิงทรงมีพระเมตตาเห็นนางเป็นดุจญาติสนิทเช่นเดียวกัน
“ว่าไงนะ ! แล้วเสด็จพ่อทรงว่าอย่างไรบ้าง”
องค์หญิงปิงหลินอุทานลั่น ตรัสถามต่อเสียงเครียด แม้นางจะเป็นองค์หญิงที่พระชันษายังเยาว์แต่ก็ทราบดีว่าแคว้นอ้ายฉีป่าเถื่อนเพียงไร ชนเผ่าชาวภูเข่า ล่าสัตว์เป็นอาชีพ อาศัยอยู่ในกระโจมเดินทางเร่ร่อนอย่างไร้อารยธรรม ! นางจะไม่ยอมแต่งกับผู้ชายป่าเถื่อนเช่นนั้นแน่ ๆ
“ฝ่าบาทยังไม่ตัดสินพระทัยเพคะ แต่......”
“แต่อะไร !”
“แต่เหล่าขุนนางต่างช่วยกันถวายความคิดเห็นสนับสนุนให้องค์หญิงแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีเพคะ”
ปัง !
“ไอ้พวกขุนนางสมควรตาย !”
องค์หญิงปิงหลินทุบกำปั้นลงกับโต๊ะ แค่นเสียงออกมาอย่างเจ็บแค้น มีหรือนางจะไม่รู้ว่าบรรดาบิดาแลพี่ชายของเหล่าสนมต่างคิดจะกำจัดนางให้พ้นหนทางแห่งการก้าวสู่ตำแหน่งฮองเฮา
“ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”
สิ้นพระสุรเสียง ร่างบางในชุดเต็มยศก็รีบสาวเท้ามุ่งหน้าไปยังห้องทรงงาน นางจะต้องเปลี่ยนพระทัยเสด็จพ่อให้ได้ก่อนที่จะมีราชโองการออกมา เพราะหากมีราชโองการออกมาทุกอย่างก็จะสายเกินแก้แล้ว
..........
“ช่างเป็นข่าวดีมากเชียวล่ะ เหอะ ! สมน้ำหน้าอยากวางอำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงรังแกเหล่าพี่น้องเราดีนัก คราวนี้ต้องตกไปอยู่บ้านป่าเมืองเถือนช่างสาแก่ใจดีนัก หึ หึ”
สนมฉิงเฟย เอ่ยขึ้นขณะทอดน่องเดินไปตามโถงทางเดิน พวกนางเหล่านางสนมได้รับการแจ้งข่าวการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างองค์หญิงปิงหลินกับแคว้นอ้ายฉีจึงชวนกันออกมาเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน
“เห็นทีคราวนี้ เสี้ยนหนามของพวกเราจะถูกกำจัดสิ้นให้พ้นทางตำแหน่งฮองเฮาของพวกเราสักที”
สนมอ้ายเฟยเอ่ยขึ้นบ้าง
“จริงด้วยเพคะพี่หญิง วังหลังของเราจะได้มีฮองเฮาที่สมฐานะ และคู่ควรที่จะปกครองดูแลวังหลังเสียที ไม่ใช่อยู่ใต้อำนาจของเด็กสาวที่ยังไม่รู้จักแม้กระทั่งการออกเรือนเช่นนั้น”
สนมเล็ก ๆ อีกนางหนึ่งเอ่ยวาจาอย่างสนุกปาก มีความกล้าหาญที่จะเอ่ยวาจามากขึ้นเมื่อรู้ว่าองค์หญิงปีศาจจะไปจากวังหลังเสียที
“นั่นสิ ทั่วทั้งวังหลวงก็คงจะเฉลิมฉลองกันใหญ่”
สนมฉิงเฟย ยิ้มพรายออกมาพลางวาดฝันถึงอนาคตของตน เห็นทีนางจะต้องบำรุงตัวเองให้สวยมากขึ้นเพื่อที่จะก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นต่อไป และหากฮ่องเต้ทรงพอพระทัยตำแหน่งฮองเฮาก็อาจจะตกเป็นของนางก็ได้
“เฉลิมฉลองเพื่อแสดงความยินดีให้กับองค์หญิงที่จะได้เป็นพระชายาต่างแคว้นหรือเพคะพี่หญิง”
สนมอ้ายเฟยแสร้งถามขึ้นอย่างใสซื่อ ทั้งที่รู้แน่แก่ใจว่าฉลองเพราะองค์หญิงปีศาจจะถูกกำจัดออกไปจากวังหลวงต่างหาก
“ฉลองให้กับตัวโชคร้ายที่กำลังจะถูกกำจัดออกไปให้พ้นไปจากวังหลวงนะสิ”
สนมฉิงเฟยเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว
เมื่อเห็นผู้มีตำแหน่งสูงกว่าอาจหาญกล่าวเช่นนั้น นางสนมเล็ก ๆ จึงไม่รอช้าที่จะเอ่ยปากเพื่อเอาใจว่า
“นั่นสิ... ไปแล้วอย่าหวนกลับมาอีกเลย ขอให้ถูกโจรภูเขาฆ่าตาย หรือไม่ก็ถูกพวกป่าเถื่อนนั่นลากลงนรกไปเสียก็ดี อิ อิ”
“บังอาจ !”
เสียงหนึ่งตวาดลั่นขึ้นจากด้านหลัง เหล่านางสนมต่างหันไปมองยังต้นเสียง เมื่อแจ้งชัดในตาแล้วว่าเป็นเสียงของใครพวกนางต่างหน้าซีดไปตาม ๆ กัน“ถวายพระพรองค์หญิงเพคะ”
เหล่านางสนมทั้งหลายต่างยอบตัวลงถวายความเคารพ แม้ท่าทีจะอ่อนน้อม แต่ในใจนั้นกระด้างกระเดื่องเป็นอย่างยิ่ง ไม่ชอบใจนักที่ต้องก้มหัวให้กับผู้ที่เด็กกว่าตน ธรรมเนียมเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน แต่เมื่ออำนาจวังหลังตกอยู่ในอุ้งมือขององค์หญิงปีศาจนางจึงกำหนดให้เหล่านางสนมทุกคนต้องเคารพต่อตำหนักฮองเฮาซึ่งมีนางเป็นผู้ครอบครองอยู่
“เจ้าไล่เฆี่ยนตีผู้อาวุโส แบบนี้จะให้ข้าชมเจ้าว่าเด็กดีงั้นรึ หรือจะให้เรียกเจ้าว่าองค์หญิงปีศาจ”หยางจงพูดจบก็รีบสะบัดตัวออกจากการจับกุมของทหารองครักษ์ที่กำลังอึ้งกับถ้อยคำเผ็ดร้อนของเขาเมื่อครู่“กล้าว่าข้าเป็น องค์หญิงปีศาจรึ ทหารจับตัวเขามาทำโทษเดี๋ยวนี้ !”องค์หญิงน้อยกระทืบเท้าเร่า ๆ อย่างขัดใจหยางจงวิ่งหลบหนีอย่างว่องไว แต่แล้วเขาก็ชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ของใครบางคนตุบ !“โอ๊ย !” ร่างของเด็กชายวิ่งชนเข้ากับผู้หนึ่งจนหงายหลังล้มลงไป เด็กหญิงที่วิ่งไล่ตามมาจึงฟาดกิ่งไม้ตีหยางจงเสียหลายที“นี่แนะ นี่แนะ เจ้าบังอาจว่าข้าเป็นปีศาจรึ”“ท่านหญิงโปรดระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ บุตรชายของกระหม่อมผิดไปแล้ว”แม่ทัพหยางคุกเข่าลงพร้อมกับดึงให้บุตรชายให้หมอบอยู่ข้าง ๆ เขามีลูกชายเพียงคนเดียว แต่กลับไปล่วงเกินเบื้องสูงเข้าให้แล้ว หยางจงซ่อนความโกรธเอาไว้ในใจ บิดาเขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ รบข้าศึกทำคุณให้แผ่นดินมาช้านานเหตุใดต้องคุกเข่าให้กับเด็กหญิงคนหนึ่งด้วย !“เขาเป็นลูกเจ้ารึ ข้าจะไปฟ้องเสด็จพ่อ ข้าจะลงโทษเขา โทษฐานที่บังอาจกล่าวหาว่าข้าเป็นองค์หญิงปีศาจ”องค์หญิงน้อยเชิดหน้าขึ้น พร้อมกับเอามือกอ
“บังอาจนัก กล้าสาปแช่งให้องค์หญิงให้มีอันเป็นไปรึ”ชิงชิงตวาดขึ้นด้วยความโมโห นางและองค์หญิงเดินมายังไม่ทันจะถึงท้องพระโรงก็ได้ยินบทสนทนาอันแสลงหูนี้เมื่อเห็นว่าคนที่กล่าวเป็นเพียงนางกำนัลข้างกายองค์เท่านั้น สนมฉิงเฟยจึงขึ้นเสียงตอบกลับว่า“ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยเช่นนั้น เจ้าคงจะหูฝาดไปเอง”“ถ้าเจ้าบอกว่านางหูฟาด ก็เท่ากับว่าข้าหูไม่ดีด้วยงั้นรึ เพราะถ้อยคำเมื่อครู่ข้าก็ได้ยิน !”องค์หญิงปิงหลินตวาดเสียงกร้าวเมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่านางสนมต่างก้มหน้าตัวสั่นงันงกไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากขึ้นแก้ตัว“ดี ในเมื่อไม่มีใครกล้ายอมรับผิด ทหาร ! ตบปากพวกนาง ห้าสิบที โทษฐานที่บังอาจว่าข้าหูไม่ดี”สิ้นคำองค์หญิงปิงหลินก็เชิดหน้าขึ้น แล้วเดินจากไปปล่อยให้ทหารเหล่านั้นทำโทษ ในเมื่อพวกนางไม่อยากยอมรับ ก็จงลิ้มรสความเจ็บปวดเสียบ้างเพี๊ยะ !“โอ๊ย องค์หญิงโปรดเมตตา กระหม่อมไม่กล้าอีกแล้ว โอ๊ย โอ๊ย”ใบหน้าสวย ๆ ของเหล่านางสนมเริ่มบวมแดง ริมฝีปากบวมเจ่ออย่างน่าสงสารเพี๊ยะ ! เพี๊ยะ ! เพี๊ยะ !เสียงตวาด เสียงฟาดมือลงกระทบเนื้อ และเสียงร้องโอดโอยดังเป็นระยะ ๆ นั้น ทำให้ หยางจง แม่ทัพใหญ่หยุดมองดู
ชิงชิง รีบซอยเท้าเข้ามาหาองค์หญิงปิงหลินซึ่งประทับอยู่ในศาลาริมน้ำ สวนอุทยานส่วนพระองค์ในพระตำหนัก“ท่านหญิง ท่านหญิงเพคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ”นางไม่ลืมที่จะยอบกายถวายความเคารพก่อนแล้วจึงเอ่ยคำ นางรีบวิ่งมาที่ศาลาริมน้ำทันทีที่ทราบเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีจากเฉินกงกงหัวหน้าขันทีที่รับใช้องค์ฮ่องเต้“เจ้าเรียกข้าเสียงดังทำไมกัน ดูสิผีเสื้อแตกตื่นบินหนีหมดแล้ว”ท่านหญิงปิงหลินกล่าวอย่างเกียจคร้าน มิได้ใส่ใจความตื่นตระหนกของนางกำนัลคู่ใจ เพราะไม่ว่าจะมีเรื่องใดเกิดขึ้น นางมั่นใจว่าทั้งฮ่องเต้และองค์รัชทายาทจะยื่นพระหัตถ์มาปกป้องเสมอ ดังนั้น นางจึงเอนกายอย่างสบายบนเก้าอี้ที่สั่งทำพิเศษ ทอดสายตาไปยังบึงบัว ผีเสื้อน้อยกำลังกระพือปีกดอมดมบุปผาอย่างสำราญใจ“โธ่... องค์หญิงเพคะ อย่าทรงพระทัยใจเย็นอยู่เลย คราวนี้มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับพระองค์แล้วจริง ๆ เพคะ”ชิงชิงแทบจะร้องไห้ออกมา รู้สึกสงสารองค์หญิงที่ต้องแต่งงานกับองค์รัชทายาทต่างแคว้น“ว่ามาเถอะ”เมื่อทนเสียงคร่ำครวญของชิงชิงใช้ไม่ไหว องค์หญิงปิงหลินจึงขยับกายลุกขึ้นนั่ง เพื่อจักได้ฟังข่าวร้ายที่นางกล่าวถึง“แคว้นอ้ายฉีส่งทูตมาส
ณ ศาลาริมน้ำ อุทยานหลวง“ข้าได้ยินมาว่า องค์หญิงปีศาจสั่งโบยแล้วขับไล่พ่อครัวออกจากตำหนักอีกแล้ว”เหยากุ้ยเฟยเอ่ยจบก็ยกน้ำชาขึ้นจิบ การได้สนทนาถึงเรื่องไม่ดีของศัตรูกับเหล่าพี่น้องนางสนมเปรียบเสมือนการได้ชมการแสดงรื่นเริงเพื่อความบันเทิงใจในยามว่าง“นับวันยิ่งจะแผลงฤทธิ์มากขึ้น ข้ารู้สึกละอายใจแทนฝ่าบาทยิ่งนัก”หวงกุ้ยเฟยแสร้งทอดถอนลมหายใจ แล้วทอดสายตามองไปยังลานบุปผานานาชนิดที่กำลังแข่งกันเบ่งบาน มวลบุปผาเหล่านี้เปรียบเสมือนเหล่าสาวงามข้างกายฮ่องเต้ ถึงแม้จะมีมากมาย แต่ก็ไม่มีนางใดได้ขึ้นครองตำแหน่งฮองเฮา เพราะฝ่ามือน้อย ๆ ขององค์หญิงปิงหลินได้ขว้างกั้นตำแหน่งนี้เอาไว้ แม้นางจะเป็นถึงหวงกุ้ยเฟยแต่ก็ยังไม่อาจก้าวเข้าสู่ตำแหน่งฮองเฮาได้“ทั้งพ่อครัว ทั้งนางกำนัล หากขัดใจองค์หญิงปีศาจเพียงนิด ก็ล้วนถูกขับไล่ หากปล่อยไว้เช่นนี้ วังหลังต้องลุกเป็นไฟแน่ ๆ ฮ่องเต้สมควรที่จะแต่งตั้งฮองเฮาเพื่อดูแลความเรียบร้อยของวังหลัง ตามความเห็นของข้า หากไม่มีนาง ท่านพี่ก็คงจะได้ขึ้นตำแหน่งฮองเฮาไปนานแล้ว”เหยากุ้ยเฟยพูดยุแยง หมายจะยืมมือของหวงกุ้ยเฟยกำจัดองค์หญิงปิงหลินให้พ้นไปจากเส้นทางตำแหน่งฮองเฮาของ
ณ เมืองหลวง แคว้นฉู่สมัยราชวงศ์ ฉู่ ที่ 17 ฮ่องเต้ฉู่หลางทรงรักองค์หญิงฉู่ปิงหลินยิ่งนัก เพราะทรงเป็นธิดาเพียงองค์เดียวที่เกิดจากฮองเฮา และเป็นเพียงองค์เดียวแห่งแคว้นฉู่ ความรักของฮ่องเต้ที่มีต่อธิดามากมายนัก แม้กระทั่ง เมื่อฮองเฮาสิ้นชีพลงเมื่อ 10 ปีก่อน องค์หญิงฉู่ปิงหลินไม่ยอมให้ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งฮองเฮาคนใหม่ พระองค์ก็ทรงตามพระทัย ดังนั้น องค์หญิงฉู่ปิงหลินจึงครอบครองตำหนักหงส์ฟ้า ซึ่งตำหนักของฮองเฮามีอำนาจอยู่เหนือวังหลังตั้งแต่บัดนั้นมายิ่งนานวันพระชันษาขององค์หญิงฉู่ปิงหลินยิ่งมากขึ้นจนกระทั่งอายุได้ 18 ชันษา นางยิ่งมีอำนาจมากขึ้นและเป็นที่กล่าวขานไปทั่วทั้งวังหลวงว่า“องค์หญิงปีศาจ” เนื่องด้วย องค์หญิงทรงสั่งทำโทษข้ารับใช้ไม่เว้นแต่ละวัน อีกทั้ง สนมนางในก็ถูกนางสั่งสอนเสียจนไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้ตำหนักหงส์ฟ้า แม้เรื่องความร้ายกาจของนางจะลอยไปถึงหูของฮ่องเต้ แต่พระองค์ก็หลับตาเสียข้างหนึ่ง เพราะรู้สึกสงสารนางที่กำพร้ามารดาตั้งแต่ยังเล็ก จึงไม่มีใครคอยอบรมสั่งสอน ฮ่องเต้เอาใจนางเพื่อชดเชยที่พระองค์ไม่มีเวลาให้นางนอกจากนี้ องค์ชายรัชทายาทยังเป็นพี่แท้ ๆ ของนาง จึงทำให้ไม่มีผ