“บังอาจนัก กล้าสาปแช่งให้องค์หญิงให้มีอันเป็นไปรึ”
ชิงชิงตวาดขึ้นด้วยความโมโห นางและองค์หญิงเดินมายังไม่ทันจะถึงท้องพระโรงก็ได้ยินบทสนทนาอันแสลงหูนี้
เมื่อเห็นว่าคนที่กล่าวเป็นเพียงนางกำนัลข้างกายองค์เท่านั้น สนมฉิงเฟยจึงขึ้นเสียงตอบกลับว่า
“ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยเช่นนั้น เจ้าคงจะหูฝาดไปเอง”
“ถ้าเจ้าบอกว่านางหูฟาด ก็เท่ากับว่าข้าหูไม่ดีด้วยงั้นรึ เพราะถ้อยคำเมื่อครู่ข้าก็ได้ยิน !”
องค์หญิงปิงหลินตวาดเสียงกร้าว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่านางสนมต่างก้มหน้าตัวสั่นงันงกไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากขึ้นแก้ตัว
“ดี ในเมื่อไม่มีใครกล้ายอมรับผิด ทหาร ! ตบปากพวกนาง ห้าสิบที โทษฐานที่บังอาจว่าข้าหูไม่ดี”
สิ้นคำองค์หญิงปิงหลินก็เชิดหน้าขึ้น แล้วเดินจากไปปล่อยให้ทหารเหล่านั้นทำโทษ ในเมื่อพวกนางไม่อยากยอมรับ ก็จงลิ้มรสความเจ็บปวดเสียบ้าง
เพี๊ยะ !
“โอ๊ย องค์หญิงโปรดเมตตา กระหม่อมไม่กล้าอีกแล้ว โอ๊ย โอ๊ย”
ใบหน้าสวย ๆ ของเหล่านางสนมเริ่มบวมแดง ริมฝีปากบวมเจ่ออย่างน่าสงสาร
เพี๊ยะ ! เพี๊ยะ ! เพี๊ยะ !
เสียงตวาด เสียงฟาดมือลงกระทบเนื้อ และเสียงร้องโอดโอยดังเป็นระยะ ๆ นั้น ทำให้ หยางจง แม่ทัพใหญ่หยุดมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นห่าง ๆ ร่างสูงสง่าองอาจราวกับเทพสงครามลงมาจุติยืนนิ่งประดุจหินผา ใบหน้ามีหนวดเคราขึ้นรกนั้นแลเห็นเพียงดวงตาดำสนิทลึกล้ำเท่านั้นที่วูบไหวคล้ายน้ำกระเพื่อมเพียงชั่วครู่ก็จางหาย
เขาเร่งรีบเพื่อจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แต่บังเอิญเห็นเหตุการณ์ที่น่าสังเวชเข้าพอดี เขาแลเห็นสตรีผู้มีความงามล้ำเลิศ บนศีรษะประดับด้วยมงกุฎหงส์เลอค่าซึ่งบ่งบอกสถานะอันสูงสุดของวังหลัง ใครเล่าจะไม่รู้ว่าสตรีผู้นั้น คือ องค์หญิงปิงหลิน แม้เขาจะอยู่ห่างไกลถึงชายแดน แต่ยามใดที่กลับเข้ามาในวังหลวงมักจะได้ยินความร้ายกาจขององค์หญิงปีศาจอยู่บ่อยครั้ง นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าใบหน้างดงามเพียงนั้น แต่จิตใจกลับอัปลักษณ์ยิ่งนัก !
เมื่อ 10 ปีก่อนเขายังจดจำความร้ายกาจองค์หญิงปิงหลินได้ไม่มีวันลืม.....
วันนั้น เขาในฐานะบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลแม่ทัพอันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉู่ จึงได้มีโอกาสติดตามบิดาเข้าพบพระสนมหยางกุ้ยเฟยซึ่งเป็นน้องสาวของบิดา
ในระหว่างที่บิดากำลังสนทนากับหยางกุ้ยเฟยที่ดูเหมือนว่าจะยืดยาวมากขึ้นทุกที เขาจึงแอบหนีออกมาเดินเล่นในอุทยานวังหลังด้วยความซุกซนตามประสาเด็ก
“ฮ่า ๆ หยุดเดี๋ยวนี้นะเจ้าลาโง่ มาให้ข้าเฆี่ยนเสียดี ๆ”
“โอ๊ย ๆ พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเจ็บไปหมดแล้ว”
เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานบนความทุกข์ของผู้อื่นนั้น ทำให้ร่างเล็กของหยางจงวิ่งเข้าไปดูที่มาของเสียงนั้น แล้วเขาก็ประจักษ์แก่สายตาตนเองว่า เด็กหญิงผู้หนึ่งตัวเล็กกว่าเขาเสียด้วยซ้ำแต่กำลังถือกิ่งไม้ไล่เฆี่ยนตีขันทีแก่ ๆ สองคนอย่างสนุกสนาน พวกเขาถูกบังคับให้คลานสี่เท้าราวกับวัวควาย นางกำนัลสองคนได้แค่ส่งสายตาเวทนา แต่กลับไม่มีผู้ใดเอ่ยห้าม หรือสั่งสอนนางแม้แต่น้อย
“นี่มัน เด็กปีศาจชัด ๆ”
หยางจงส่ายหน้าอย่างเอือมระอา เมื่อพิจารณาดูจากสถานการณ์แล้ว เด็กหญิงคนนี้ต้องมีฐานะสูงศักดิ์มากพอที่จะทำเช่นนั้นได้ หยางจงฉลาดพอที่จะไม่หาเรื่องใส่ตนเองจึงรีบหันหลังกลับหมายจะหลบเลี่ยงออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่แล้วเสียงตวาดลั่นอย่างวางอำนาจก็ดังขึ้น
“หยุดนะ !”
องค์หญิงน้อยวิ่งมุ่งหน้ามายังเด็กชายอย่างว่องไว
หยางจงเหลียวมองไปดูด้านหลังเพียงแวบเดียว แต่ไม่ยอมชะลอฝีเท้า เขาจึงได้ยินเสียงตะโกนตามหลังมาอีกครั้งว่า
“ทหาร ! จับลูกสุนัขตัวนั้นมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ !”
องค์หญิงน้อยตะโกนสั่งหน้าดำหน้าแดง ไม่เคยมีใครขัดคำสั่งของนางเช่นนี้มาก่อน
ร่างเล็กของหยางจงวิ่งเต็มฝีเท้า แต่ก็ยังไม่สามารถหนีพ้นมือทหารองครักษ์ที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี ร่างเล็กของเขาจึงถูกหิ้วปีกเข้าไปคุกเข่าต่อหน้าเด็กหญิงตัวเล็ก
“ข้าไม่ใช่ลูกสุนัข !”
หยางจงตะคอกเด็กหญิงผู้นั้นด้วยความโมโห นางถือดีอย่างไรมากล่าวหาว่าเขาเป็นลูกสุนัข
องค์หญิงน้อยถลึงตาใส่เด็กชาย นอกจากเขาจะไม่หมอบลงถวายความเคารพนางเหมือนคนอื่น ๆ แล้วเขายังบังอาจมาตะคอกใส่นาง
“เจ้าลูกสุนัข ข้าจะให้เจ้าเป็นลูกสุนัข เจ้าก็ต้องเป็น”
ใบหน้าเล็ก ๆ เชิดขึ้น พร้อมกับกอดอกอย่างยโส
“ข้าไม่เป็น”
หยางจงตอบกลับอย่างหนักแน่น
องค์หญิงน้อยเม้มปากเข้าหากันอย่างขัดใจ นางเล่นกับขันทีและนางกำนัลเบื่อเต็มทน เมื่อเห็นเด็กชายเข้ามาในเขตวังหลังจึงอยากจะชวนเขามาเล่นด้วยกัน แต่ท่าทีของเขากับไม่เป็นมิตรต่อนางเสียเลย
“ข้าเป็นองค์หญิง ทำไมจะสั่งให้เจ้าเป็นลูกสุนัขไม่ได้ ข้าจะสั่งให้เจ้าเป็นลูกสุนัขแล้วมาเล่นกับข้า”
“ข้าไม่เล่นกับเด็กนิสัยไม่ดี !”
หยางจงโพล่งออกมา นางกำนัลแลขันทีที่ยืนอยู่ ณ บริเวณนั้นต่างลมหายใจสะดุดไปตาม ๆ กัน เกรงว่าลมหายใจเด็กชายผู้นี้จะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว
“เจ้ากล้าด่าข้ารึ เจ้าลูกสุนัข !”
เสียงเล็กตวาดขึ้น พร้อมกับชี้หน้าเด็กชาย
ฮูหยินหวังเฉาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า “นี่พวกเจ้ากำลังข่มขู่ข้ารึ !”เฟยเฟยร้อนใจที่เห็นคนในครอบครัวทะเลาะกัน นางจึงรีบหันไปเขย่าแขนสามี “ท่านพี่ ช่วยพูดอะไรสักอย่างสิ ข้าไม่อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้เลย”โอฬารตบมือภรรยาคนงามอย่างปลอบประโลม “วางใจเถอะ ข้าจะยอมให้พวกเขา” จากนั้น เขาก็ยืนขึ้นเอ่ยกับประมุขของจวนว่า “ท่านแม่ ในเมื่อพวกพี่ ๆ ทั้งสามต่างไม่ยอมรับข้าเป็นคนในสกุลหวังเฉา งั้นข้าก็จะขอออกจากตระกูลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”ฮูหยินหวังเฉาร้องเสียงหลง “ไม่นะ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าไป”โอฬารหน้าเศร้า “ท่านแม่ หากข้าอยู่ที่นี่ต่อไปก็รังแต่จะทำให้ท่านเดือดเนื้อร้อนใจ สู้ให้ข้าไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า”เฟยเฟยกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ “ท่านพี่....”เขาหันมากุมมือภรรยาแล้วเอ่ยเสียงเศร้าว่า “น้องหญิง.... เราสองคนคงไม่มีวาสนาต่อกันแล้ว พี่เกิดมาต่ำต้อยมิอาจใช้นามสกุลหวังเฉาได้”เฟยเฟยส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ท่านพี่ไม่ว่าท่านจะสกุลอะไร ข้าก็จะไปใช้นามสกุลเดียวกันกับท่าน เป็นตายร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน”โอฬารเช็ดน้ำตา “งั้นเราทั้งสองก็ไปกันเถิด ข้าสัญญาว่าจะดูแลเจ้าอย่างดี ให้สุขสบายยิ่งกว่าอยู่ที่จวนนี้”เฟยเฟยพยักหน้
เพี๊ยะ!“อั๊ก”นักฆ่าถูกตบจนหน้าหันไปอีกด้านเพี๊ยะ!“บอกมาใครเป็นคนว่าจ้างเจ้าให้มาสังหารคุณชายโอฬาร”องครักษ์เงาตะคอกถามโอฬารมองภาพนั้นด้วยความสะใจ เขาเคยตายเพราะถูกเพื่อนสามคนวางแผนสังหารมาแล้ว เกิดใหม่อีกครั้ง เขาไม่มีทางโง่ซ้ำสองเป็นแน่เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! “โอ๊ยยย ข้ายอมแล้ว ข้าบอกแล้ว” นักฆ่าร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดฮูหยินหวังเฉาสีหน้าทะมึน “บอกมา... หากเจ้าโกหกแม้แต่คำเดียว ข้าจะสั่งทหารตัดลิ้นเจ้าซะ”นักฆ่าสารภาพออกมาว่า “ท่านแม่ทัพหยางหยาง กับรองแม่ทัพจ้านจ้าน และจ้วงจ้วง”ฮูหยินหวังเฉาสีหน้าตื่นตะลึงโอฬารได้ทีรีบเอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแก่ข้าด้วย”ฮูหยินหวังเฉาพยักหน้าช้า ๆ แล้วสั่งทุกคนว่า “จับตัวคนร้ายผู้นี้ไปที่จวนตระกูลหวังเฉา !”ณ จวนตระกูลหวังเฉาบรรดาเขยทั้งสามคนของตระกูลหวังเฉาถูกเรียกตัวกลับมาที่จวน เมื่อพวกเขามาถึงก็เห็นฮูหยินหวังเฉานั่งอยู่ที่ตั่งนั่งตำแหน่งประธาน สีหน้าเรียบตึง ถัดลงมาที่ฝั่งขาวภรรยาของพวกเขาทั้งสามนั่งอยู่ด้วยท่าทีกระวนกระวาย ส่วนฝั่งซ้ายเฟยเฟยนั่งเคียงข้างคนที่พวกเขาหมายจะปลิดชีวิตจ้านจ้านตื่นตระหนกกับภาพเบื้องหน้าที่เห็น เข
รถม้าสกุลหวังเฉาวิ่งออกจากจวนมุ่งหน้าไปยังวัดไท่เจียง ไม่นานนักก็เข้าสู่ชายป่า พ้นเขตป่าแถบนี้ไปจึงจะถึงที่หมายกุบกับ กุบกับ กุบกับเสียงเกือกม้าย่ำลงพื้นผสมผสานกับเสียงร้องเร่งความเร็วของคนขับรถม้าแสงอาทิตย์ใกล้เที่ยงแผดแสงแรงกล้า คนขับยกมือขึ้นปาดเหงื่อ เขาเร่งฟาดแส้ลงเพื่อให้ไปถึงวัดก่อนเที่ยงเพี๊ยะ !กุบกับ กุบกับ กุบกับแฉ่ง....เสียงคมดาบแหวกอากาศดังหวีดหวิว กว่าขับจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ศีรษะของเขาก็หล่นตุบลงพื้น เลือดสีแดงสาดกระเซ็นฮี่ ๆ......กุบกับ กุบกับ กุบกับรถม้าที่ไร้คนขับวิ่งเตลิดออกนอกเส้นทาง คนร้ายชุดดำไม่รอช้าจ้วงแทงดาบเข้าไปในรถม้าทันทีฉึบ !ดาบในมือจ้วงแทงได้เพียงความว่างเปล่า ชายชุดดำรีบตวัดผ้าม่านขึ้นกลับไม่พบผู้ใดในรถม้า“บัดซบ !”คนร้ายคำรามดังลั่น รู้ว่าตนเองหลงกลเข้าให้แล้ว มันรีบทะยานออกจากรถม้าที่กำลังวิ่งเข้าป่าอย่างไร้ทิศทางยังไม่ทันที่มันจะยืนได้มั่นคงบนพื้น เงาร่างขององครักษ์เงาสิบนายก็รุมล้อมเข้าโจมตีมันบุรุษชุดดำเป็นนักฆ่ามืออาชีพ องครักษ์เงาต้องเข้าปะทะมันพร้อมกันจึงสามารถสยบมันลงได้นักฆ่าถูกองครักษ์เงามัดไว้กับพื้น เป็นจังหวะเดียวที่ร
เช้าตรู่ของวันต่อมาบรรยากาศที่โต๊ะรับประทานอาหารเช้าในวันนี้เต็มไปด้วยหมอกเมฆอึมครึม ทั้งหนิงหนิง เหยียนเหยียน และหลินหลินต่างก็โกรธสามีของตนตั้งแต่เมื่อคืน ต่างก็นั่งหน้าบึ้งไม่พูดไม่จาไม่เอาใจสามีเหมือนอย่างเคยหยางหยางเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบว่า “วันนี้ทำไมไม่เห็นเฟยเฟยลงมากินข้าว”หนิงหนิงหันขวับมองสามี แค่นเสียงเอ่ยว่า “ท่านพี่... ข้านั่งอยู่นี่ทั้งคน เหตุใดท่านถามถึงน้องภรรยา และดูเป็นห่วงนางนัก”หยางหยางสักสีหน้ารู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างที่ภรรยาหาเรื่องตนตั้งแต่เช้า “ข้าก็แค่ถามไถ่ตามปกติ แต่เจ้าสิไม่ปกติ ทำไมต้องหาเรื่องข้าด้วย”หนิงหนิงแวดขึ้นว่า “ก็ท่านพี่...”ฮูหยินหวังเฉาเห็นลูกสาวคนโต กับลูกเขยกำลังเริ่มทะเลาะกันเช่นนั้น จึงวางตะเกียบลงแล้วเอ่ยแทรกว่า “เอาละ... เอาละ... ไม่ต้องทะเลาะกัน ที่นี่โต๊ะกินข้าว ไม่ใช่สนามรบ” เมื่อทั้งสองสงบปากสงบคำกันแล้ว ฮูหยินหวังเฉาก็เอ่ยต่อไปว่า “เฟยเฟยไม่ได้มาร่วมโต๊ะกับพวกเราวันนี้ ก็เพราะว่าคงจะยังไม่ตื่น สาวใช้เข้ามารายงานข้าตั้งแต่เช้าแล้วว่า โอฬารไปขอพรที่วัด แล้วองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ก็ได้ประทานสิ่งล้ำค่าสำหรับการทำลูกมาให้ ตอนนี้พวกเขาก็คงจ
หลินหลินเข้ามาถึงห้องนอนของตน เห็นสามีกำลังอ่านตำราก็รีบเข้าไปคลอเคลียส่งเสียงออดอ้อนว่า “ท่านพี่... ดึกแล้วนอนเข้านอนกันเถิด”จ้านจ้านไม่เข้าใจความหมายของภรรยา จึงตอบกลับไปว่า “น้องหญิงเจ้านอนก่อนเถิด พี่จะอ่านตำรานี้ให้จบก่อน พรุ่งนี้จะได้เสนอรายงานต่อฝ่าบาทได้”หลินหลินชักสีหน้า เริ่มขึ้นเสียงดัง “ทุกคืนท่านก็เอาแต่อ่านตำรา ตำรา ทำไมไม่คิดจะตำข้าบ้าง”ตำราในมือจ้านจ้านแทบจะร่วงลง เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากที่จู่ ๆ ภรรยาก็ชวนขึ้นเตียง“เอ่อ... น้องหญิงเจ้ากำลังตั้งครรภ์ จะให้พี่กระทำรุนแรงต่อเจ้าได้อย่างไร”ภรรยาได้ยินเช่นนั้นก็สะบัดหน้าขึ้นเตียงอย่างแง่งอนที่สามีไม่ยอมปรนเปรอความสุขให้ คิดแล้วก็ได้แต่อิจฉาน้องเล็กที่ถูกสามีตำเสียจนครางลั่นห้อง มีความสุขจนถึงสวรรค์ฝ่ายเหยียนเหยียนนั้นรีบเข้าห้องนอนของตน เห็นสามีนอนหลับอยู่บนเตียง พร้อมกับได้ยินเสียงกรนเป็นระยะ นางจึงขึ้นไปนอนข้าง ๆ แล้วสะกิดสามีให้ตื่น“ท่านพี่เจ้าคะ... ท่านพี่ตื่นเถิดเจ้าค่ะ”จ้วงจ้วงรู้สึกตัวตื่นขึ้น แต่ก็ยังสะลึมสะลือ เอ่ยถามกลับไปทั้งที่ยังไม่ลืมตาว่า “หือ... มีอะไร”เหยียนเหยียนยิ้มพรายออกมา นางคลอดบุตรได้
ณ เรือนนอนโอฬารวางภรรยาไว้บนเตียง จากนั้นก็กระตุกสายรัดเอวออก เมื่ออาภรณ์หลุดร่วง ทรวงอกอวบ ๆ ก็ดีดเด้งชูชันอย่างเชื้อเชิญทำเอาเขาตะลึงตาค้าง เลือดในกายร้อนฉ่าตั้งแต่หัวจรดเท้า“โอ้... ภรรยาข้า เจ้าช่างงดงามเหลือเกิน ข้ารอวันนี้มานานแล้ว”“ท่านพี่... ข้าก็รอวันที่ท่านจะเร่าร้อนเช่นนี้มานานแล้ว”เฟยเฟยเอ่ยเสียงกระเส่า หัวใจเต้นระทึก จากกันไปนานนับสิบวันเหมือนกับได้สามีคนใหม่กลับมาโอฬารไม่รอช้ายื่นมือเข้าไปเฟ้นฟอนหน้าอกนุ่มนิ่มของภรรยาคนงาม“อื้อออ... ท่านพี่... อา”ภรรยาสาวแอ่นอกหยัดส่งเสียงกระเส่าอย่างซ่านกระสัน นานแล้วที่นางไม่ถูกเขาเล้าโลมอย่างเร่าร้อนเช่นนี้โอฬารออกแรงบีบเคล้นเต้านมอย่างเมามัน จากนั้นก็โฉบปากก้มลงครอบเม็ดทับทิมสีสวยอย่างหิวโหยจนเกิดเสียงดังจ๊วบจ๊าบน่าอาย“อืมมม อา ซี๊ดท่านพี่.... น้องเสียวเหลือเกิน อา”เฟยเฟยครวญครางซี้ดปากด้วยความเสียวซ่าน พลางสอดมือเข้าใต้เส้นผมดกดำของเขา แล้วกดศีรษะสามีให้แนบชิดกับเต้ายิ่งขึ้นสามีของนางก็ทั้งดูดทั้งดึง ฝ่ามือใหญ่ก็เฟ้นฟอนก้อนเนื้อนุ่มนิ่มอีกข้าง จากนั้นก็ใช้ปลายลิ้นตวัดเม็ดทับทิมสีสวยรัว ๆ ทำเอานางบิดกายเร่า ๆ อย่างซ่านกระส