ณ ศาลาริมน้ำ อุทยานหลวง
“ข้าได้ยินมาว่า องค์หญิงปีศาจสั่งโบยแล้วขับไล่พ่อครัวออกจากตำหนักอีกแล้ว”
เหยากุ้ยเฟยเอ่ยจบก็ยกน้ำชาขึ้นจิบ การได้สนทนาถึงเรื่องไม่ดีของศัตรูกับเหล่าพี่น้องนางสนมเปรียบเสมือนการได้ชมการแสดงรื่นเริงเพื่อความบันเทิงใจในยามว่าง
“นับวันยิ่งจะแผลงฤทธิ์มากขึ้น ข้ารู้สึกละอายใจแทนฝ่าบาทยิ่งนัก”
หวงกุ้ยเฟยแสร้งทอดถอนลมหายใจ แล้วทอดสายตามองไปยังลานบุปผานานาชนิดที่กำลังแข่งกันเบ่งบาน มวลบุปผาเหล่านี้เปรียบเสมือนเหล่าสาวงามข้างกายฮ่องเต้ ถึงแม้จะมีมากมาย แต่ก็ไม่มีนางใดได้ขึ้นครองตำแหน่งฮองเฮา เพราะฝ่ามือน้อย ๆ ขององค์หญิงปิงหลินได้ขว้างกั้นตำแหน่งนี้เอาไว้ แม้นางจะเป็นถึงหวงกุ้ยเฟยแต่ก็ยังไม่อาจก้าวเข้าสู่ตำแหน่งฮองเฮาได้
“ทั้งพ่อครัว ทั้งนางกำนัล หากขัดใจองค์หญิงปีศาจเพียงนิด ก็ล้วนถูกขับไล่ หากปล่อยไว้เช่นนี้ วังหลังต้องลุกเป็นไฟแน่ ๆ ฮ่องเต้สมควรที่จะแต่งตั้งฮองเฮาเพื่อดูแลความเรียบร้อยของวังหลัง ตามความเห็นของข้า หากไม่มีนาง ท่านพี่ก็คงจะได้ขึ้นตำแหน่งฮองเฮาไปนานแล้ว”
เหยากุ้ยเฟยพูดยุแยง หมายจะยืมมือของหวงกุ้ยเฟยกำจัดองค์หญิงปิงหลินให้พ้นไปจากเส้นทางตำแหน่งฮองเฮาของตน นางเป็นธิดาของราชครูเหยา เข้าวังได้เพียง 3 ปีก็ได้รับตำแหน่ง -กุ้ยเฟย - เพราะฮ่องเต้การทรงโปรดปรานนางมาก
หลายรัชสมัยมาแล้วที่วังหลังแห่งนี้ต่างแย่งชิงตำแหน่งฮองเฮา เหล่าสนมแย่งชิงตำแหน่งนี้อย่างดุเดือด แต่เมื่อถึงสมัยฮ่องเต้องค์ปัจจุบันศึกชิงตำแหน่งฮองเฮาของเหล่าสนมก็สิ้นสุดลง เพราะองค์หญิงปิงหลินทรงทูลขอฮ่องเต้ไม่ให้แต่งตั้งใครมาแทนมารดาของตน ดังนั้น เหล่านางสนมจึงยุติการแก่งแย่งชิงดีซึ่งกันและกัน แล้วมุ่งเป้าไปยังองค์หญิงปิงหลินแทน
“น้องหญิงระวังปากด้วย เจ้าก็รู้ว่าองค์ฮ่องเต้ทรงรักองค์หญิงราวกับจะประคองไว้ในใจกลางฝ่ามือเช่นนั้น หากได้ยินวาจาเช่นนี้หัวสวย ๆ ของเจ้าอาจจะหลุดจากบ่าได้”
หวงกุ้ยเฟยเตือนขึ้นเบา ๆ แม้ในใจจะรู้สึกสาแก่ใจนักที่มีผู้ใช้วาจาตำหนิติเตียนองค์หญิงปีศาจ
“ขออภัยเพคะท่านพี่ ข้าแค่เอ่ยเรื่องจริงเท่านั้น หากไม่มีองค์หญิง วังหลังคงจะสงบสุขขึ้น”
“น้องหญิงไม่ต้องกังวลไป ข้าได้ยินเฉินกงกงกล่าวว่าแคว้นอ้ายฉีได้ส่งราชทูตมาสู่ขอองค์หญิงให้กับองค์ชายรัชทายาท อีกไม่นานนางคงได้ไปเป็นพระชายาต่างแคว้น”
หวงกุ้ยเฟยเป็นธิดาของเสนาบดีกรมพระคลังหลวง ผู้คนมากมายต่างเกรงใจบิดานาง ดังนั้น ข่าวในราชสำนักมีหรือจะรอดพ้นจากหูตาของนางไปได้
“ฝ่าบาทจะทรงยอมรึ”
“ยอมหรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับขุนนาง และข้าราชบริพารมิใช่หรือ”
หวงกุ้ยเฟยเอ่ยอย่างแฝงความหมาย จงใจบอกใบ้ให้สนมกุ้ยเฟยนำความไปบอกแก่พี่น้อง เพื่อช่วยส่งข่าวแก่ญาติของตนซึ่งล้วนแต่เป็นขุนนางว่า ให้ลงความเห็นสนับสนุนการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี เพื่อเป็นการกำจัดเสี้ยนหนามโดยทางอ้อม
“อ่า.... จริงด้วยสิท่านพี่”
เหยากุ้ยเฟยเอ่ยเบา ๆ รู้แจ้งซึ่งความหมายนั้น
ณ ท้องพระโรง
“ฝ่าบาท ทหารของแคว้นอ้ายฉีได้รับการฝึกฝนและมีความแข็งแกร่งยิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าควรรับข้อเสนอการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีครั้งนี้”
เสนาบดีกรมพระคลังหลวง ก้าวออกมาถวายความคิดเห็นเป็นคนแรก เขาเป็นบิดาของหวงกุ้ยเฟยจึงยินดีเป็นอย่างยิ่งหากองค์หญิงปิงหลินจะถูกขจัดออกไปให้พ้นทางตำแหน่งฮองเฮาของธิดาตน
“กระหม่อมเห็นด้วยกับท่านเสนาบดี การแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีครั้งนี้ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงสงคราม ประชาชนแคว้นฉู่ของเราจะได้ไม่บาดเจ็บล้มตาย”
ราชครูเหยารีบสนับสนุนขึ้นทันที เพราะธิดาของตัวได้เป็นกุ้ยเฟยแล้ว หากไม่มีองค์หญิงปิงหลิน โอกาสที่กุ้ยเฟยจะย่างขึ้นเป็นฮองเฮาก็มีมากขึ้น
“ขอให้พระองค์ทรงโปรดพิจารณาให้ท่านหญิงปิงหลินแต่งงานกับองค์รัชทายาทแห่งแคว้นอ้ายซีด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ”
เสียงของบรรดาเหล่าขุนนางอีกมากมายที่ถวายข้อคิดเห็นไปในทางเดียวกัน
ผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์เหนือคนทั้งปวง มีสีพระพักตร์เคร่งเครียด เพราะพระองค์ทรงตามใจลูกสาวมากเกินไป จึงทำให้นางสร้างความไม่พอใจแก่เหล่าสนมในวังหลังเป็นอันมาก ส่งผลกระทบมาถึงส่วนหน้า เหล่าขุนนางจึงบีบให้พระองค์กำจัดองค์หญิงปิงหลินออกจากวังหลวงให้ได้ ! เพราะความรักที่มีให้นางมากกว่าลูกคนอื่นแท้ ๆ จึงเป็นการทำร้ายนางทางอ้อม
หากปิงหลินต้องแต่งงานไปอยู่แคว้นอ้ายฉี ด้วยนิสัยที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจมาตั้งแต่เด็ก นางต้องได้รับความลำบากมิใช่น้อย และอยู่ไกลเกินกว่าที่พระองค์จะเอื้อมพระหัตถ์ไปปกป้องคุ้มครองเหมือนเช่นเคยได้
แต่ถ้าหากพระองค์ทรงคัดค้าน ไม่ยอมให้องค์หญิงปิงหลินแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี ก็จะเกิดคำครหาได้ว่า เป็นฮ่องเต้ที่ทรงไร้คุณธรรมเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม และเมื่อเกิดสงครามราษฎรล้มตายเป็นจำนวนมาก องค์หญิงปิงหลินก็คงจะถูกตราหน้าว่าเป็น – องค์หญิงแห่งเภทภัย – ชักนำภัยพิบัติมาสู่แคว้นฉู่
“เฮ่อ....”
ฮ่องเต้ฉู่ถอนพระทัย ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ล้วนทำให้พระองค์เป็นทุกข์ทั้งสิ้น
“เรียนเสด็จพ่อ กระหม่อมมีความเห็นต่าง แคว้นอ้ายฉีเป็นเพียงเล็ก ๆ แต่บังอาจมาสู่ขอองค์หญิงเพียงองค์เดียวของแคว้นเรา แสดงให้เห็นถึงการหยามเกียรติพระองค์ หากเรายอมรับการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีนี้ ก็เท่ากับว่าเรายอมอ่อนให้ แคว้นอ้ายฉีก็จะเหิมเกริมมากขึ้น แล้วยกทัพมาตีแคว้นเราในที่สุด”
องค์ชายรัชทายาทถวายความคิดเห็น เขาไม่ได้ต้องการเพียงช่วยเหลือน้องสาวแท้ ๆ เท่านั้น แต่สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง หากบรรดาขุนนางทั้งหลายไม่ถูกความโลภปิดหูปิดตาเพื่อสนับสนุนให้ลูกสาวตนครองตำแหน่งฮองเฮา ก็คงจะมีความเห็นเช่นเดียวกับเขาเป็นแน่
“เรียนฝ่าบาท นั่นเป็นการคาดการณ์ขององค์รัชทายาทเพียงเท่านั้น และอาจจะเป็นความคิดเห็นของพี่ชายที่อยากจะปกป้องน้องสาวสายเลือดเดียวกัน ขอพระองค์โปรดใคร่ครวญอย่างยุติธรรม และเห็นแก่ราษฎรเป็นที่ตั้งพ่ะย่ะค่ะ”
เพราะหวงกุ้ยเฟยทรงเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้เป็นอย่างมาก เสนาบดีกรมพระคลังหลวงจึงรีบทูลทักท้วงอย่างไม่เกรงกลัว
พอสิ้นคำของเสนาบดีกรมพระคลังหลวงบรรดาขุนนางทั้งหลายก็ส่งเสียงแซ่เซ็งสนับสนุนขึ้น ฮ่องเต้จึงได้แต่ถอนพระทัยออกมา จากนั้นก็ยกมือขึ้นข้างหนึ่งขึ้นเสียงเหล่านั้นจึงเงียบลงแล้วพระองค์จึงตรัสออกมาว่า
“เอาเถอะ เรื่องนี้พวกเราค่อยหารือกันอีกที”
เมื่อตรัสจบฮ่องเต้ก็ลุกขึ้นเดินกลับไปยังห้องทรงงานอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้เหล่าขุนนางได้เอ่ยปากทักท้วงได้
ขณะที่ทุกท่านหมอบถวายพระพรลา เสนาบดีกรมพระคลังหลวงลอบสบตากับราชครูเหยา ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว อย่างไรเสียองค์หญิงต้องแต่งไปที่แคว้นอ้ายฉีแน่นอน !
ณ ประตูประจิมยามเหมา....ช่วงเวลานี้ ที่ประตูประจิมพ่อค้าจากตลาดสดจะนำผักผลไม้สดมาส่งที่วังหลวง ด้วยเหตุนี้ จึงมีคนงานในโรงครัวเดินเข้าเดินออกสำรวจสิ่งของ และขนผักผลไม้อยู่ตลอดเวลาองค์หญิงเหยียนชิงจึงแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มบ่าวรับใช้เพื่อไม่ให้ทหารยามซึ่งเฝ้าประตูจับนางได้วันนี้ ทหารมีเพียงแค่ 2 นายเท่านั้น เพราะกำลังทหารรักษาวังหลวงถูกเรียกตัวให้ไปรักษาความปลอดภัยในพระราชพิธีส่งเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวที่ลานหน้าพระที่นั่งเมื่อองค์หญิงเหยียนชิงก้าวพ้นเขตประตูวังหลวง นางก็เดินตรงไปยังรถม้าที่จอดนิ่งอยู่ในมุมค่อนข้างลับตา บนรถม้ามีบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ สวมอาภรณ์สีดำตลอดทั้งตัว อีกทั้ง ยังสวมหมวกที่มีผ้าโปร่งอำพรางใบหน้าเอาไว้“นี่ท่าน.... ท่านใช่คนขับรถม้าของเหมยชิงหรือไม่”นางส่งเสียงถามออกไปเบา ๆ ดวงตายังคงมองซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง กลัวว่าจะมีข้ารับใช้จำนางได้บุรุษชุดดำบนรถม้าส่งเสียงตอบรับ “อืม”ดวงตาคมกริบภายใต้ผ้าโปร่งสีดำมองหญิงสาวอย่างพิจารณา แม้ว่านางจะสวมชุดข้ารับใช้ อีกทั้ง ยังใช้ผ้าปกปิดใบหน้าจนเห็นเพียงแค่ดวงตา แต่ความงามของนางกลับฉายชัดออกมาจนยากจะปิดบัง“หากใช่ ก็รีบไปกันเถิด อย
ปลายยามอิ๋นช่วงเวลานี้ หากเป็นยามปกติ องค์หญิงชิงอี้คงยังมุดอยู่ภายใต้ผ้าห่ม ซุกไซ้ตัวกับเตียงนุ่ม ๆ ในห้องบรรทมแต่วันนี้นางกลับต้องลุกขึ้นผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ สวมมงกุฎหงส์แห่งแคว้นเป่ย เพื่อขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแทนพี่สาวต่างมารดา“น้องชิงชิง ขอบใจเจ้ามาก บุญคุณครั้งนี้ข้าจะไม่ลืมเลย”องค์หญิงเหยียนชิง กอบกุมมือขององค์หญิงชิงอี้เอาไว้ นางมองน้องสาวในชุดเจ้าสาวสีแดงด้วยใบหน้าเศร้าหมอง ดวงตาแดงก่ำ“ท่านพี่ อย่าทรงกันแสงสิเพคะ น้องไม่ได้ถูกส่งไปประหารเสียหน่อย น้องแค่ไปอภิเษกแทนท่านพี่ก็เท่านั้น”องค์หญิงชิงอี้ยังคงยิ้มทะเล้นให้พี่สาว นางกับองค์หญิงเหยียนชิงอายุห่างกันเพียงหนึ่งพรรษาจึงสนิทกันมากองค์หญิงเหยียนชิงลูบมือน้องสาวเบา ๆ “ข้าก็หวังว่าองค์ชายรัชทายาทแคว้นหนานจะดีต่อเจ้า”นางรู้สึกว่าชิงอี้ยังเด็กนัก และคงไม่รู้ความหมายของการแต่งงาน ว่ามันคือ ทั้งชีวิตของสตรี หากพบพานกับสามีไม่ดี ก็เท่ากับตกนรกทั้งเป็นเมื่อหลายวันก่อน ฮ่องงเต้ทรงมีรับสั่งว่าจะส่งตัวองค์หญิงเหยียนชิงไปอภิเษกกับองค์ชายรัชทายาทแคว้นหนานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีนางทราบข่าวเช่นนั้น ก็รู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่งที่ต้องแต่งง
หลินหลินรีบลุกขึ้นด้วยความดีใจ แต่เพราะร่างกายยังไม่หายดี นางจึงโงนเงน หยางจงจึงรีบสะอึกเข้ามาประคองร่างของนางเอาไว้ได้ทัน“หลินหลิน เจ้าระวังหน่อยสิ เจ้าเพิ่งฟื้นจากความตายมานะ จะแกล้งให้พ่อเสียใจอีกรอบหรือไง”ฮ่องเต้ส่งเสียงดุด้วยความห่วงใย“ลูกคิดถึงท่านพ่อ”หลินหลินน้ำตารื้นขึ้นมา“ลูกพ่อ เจ้าจะออกเรือนอยู่แล้วยังร้องหาพ่อเหมือนเด็ก ๆ ไปได้”ฮ่องเต้เอื้อมมือออกไปเกลี่ยน้ำตาบนแก้มเนียนออกอย่างรักใคร่เอ็นดู“เชิญนายท่าน นั่งก่อน”หยางจงผายมือเชื้อเชิญทุกคนในฐานะเจ้าของบ้าน วันนี้ไม่มีฮ่องเต้ ไม่มีองค์หญิง หรือแม่ทัพ มีเพียงคนในครอบครัวกันเมื่อนั่งลงแล้ว ฮ่องเต้จึงเอ่ยขึ้นว่า“เห็นหยางจงดูแลเจ้าอย่างดี ข้าเองก็สบายใจ เขาเป็นบุรุษองอาจกล้าหาญที่เจ้าจะฝากชีวิตให้เขาดูแลได้”“ท่านพ่อเอ่ยเช่นนี้หมายความว่า.....”หลินหลินเอ่ยแผ่วเบา ความดีใจนั้นทำให้นางไม่กล้าแม้จะเอ่ยให้จบประโยค เพราะกลัวว่าจะผิดหวังอีกครั้ง“หมายความว่า ถ้าหยางจงยอมสละตำแหน่งแม่ทัพ แล้วมาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนการทหาร พ่อก็จะยกเจ้าให้เขา”ฮ่องเต้ต่อประโยคให้ เรื่องนี้เขาได้คิดมาหลายวันแล้ว เขาไม่อยากทำลายความสุขของลูกส
หยางจงได้ยินดังนั้น หัวใจเขาแทบจะสลายลงไป มองไปยังใบหน้าหญิงอันเป็นที่รัก ซึ่งบัดนี้ซีดขาวราวกับซากศพ ลมหายใจรวยรินยิ่งนัก เขาจะปล่อยให้นางตายไม่ได้“หมอหลวง ไม่มีทางอื่นอีกแล้วรึ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน ข้าก็พร้อมจะทำเพื่อช่วยนาง”เขาเอ่ยเสียงเครือ ปล่อยมือจากเสื้อของหมอหลวง ค่อย ๆ ถอยออกไปทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงองค์หญิงปิงหลินเช่นเดิมหมอหลวงเห็นเช่นนั้นแล้วจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า“หากไม่มียาถอนพิษ มีอีกหนึ่งวิธีที่จะสามารถขับพิษออกจากร่างกายได้”ดวงตาของหยางจงเบิกโพล่งขึ้น ถลาเข้าจับไหล่ทั้งสองข้างของหมอหลวงเขย่า แล้วเอ่ยว่า“รีบบอกมา ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยองค์หญิงได้”“ใช้เลือดถ่ายเลือด”“เลือดถ่ายเลือด”หยางจงชะงักค้าง ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย หมอหลวงจึงรีบอธิบายว่า“วิธีเลือดถ่ายเลือดนี้ คือ การนำเลือดดีของอีกคนหนึ่งเข้าสู่ร่างกายของคนที่ถูกพิษ จากนั้นก็รีดเอาเลือดที่มีพิษออก ซึ่งเป็นวิธีที่ข้าศึกษาในตำราโบราณแต่ยังไม่ได้ทดลองใช้จริง เกรงว่าจะมีโอกาสถึงแก่ชีวิตทั้งคู่”“ข้ายอม ! รีบถ่ายเลือดของข้าให้องค์หญิงเร็วเข้าเถอะ ก่อนที่พิษจะแพร่กระจายเข้าสู่อวัยวะสำคัญ”หยางจงรีบ
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร สารภาพอะไร ขอโทษอะไร ข้าไม่เข้าใจ”เหยากุ้ยเฟยหน้าซีดขาว ตวาดเสียงสั่น นักพรตผู้นี้สื่อสารกับวิญญาณได้จริง ๆ รึ“ข้าก็ไม่ทราบ แต่วิญญาณที่ยืนอยู่ตรงนี้กล่าวเช่นนั้น”นักพรตใช้แส้ชี้ไปที่เสาข้างเตียงบรรทมของกุ้ยเฟยสนมกุ้ยเฟยถึงกลับผงะโผ่เข้ากอดนางกำนัลคนสนิทด้วยความหวาดกลัว ละล่ำละลักถามว่า“วิญญาณขององค์หญิงปีศาจยืนอยู่ที่นี่รึ”“ข้ามิทราบว่านางเป็นผู้ใด แต่วิญญาณตนนี้อาฆาตท่านนัก แล้วพูดย้ำ ๆ ว่า ...สารภาพออกมา... ...สารภาพออกมา... ...สารภาพออกมา...”กรี๊ดดดดดดดดดดดสนมกุ้ยเฟยกรีดร้องออกมาราวกับคนเสียสติ ในหูนางเหมือนได้ยินเสียงเย็นยะเยือกกล่าวเช่นนั้นจริง ๆ ปากของนางจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า“ขะ ข้าสารภาพแล้ว ข้าสารภาพแล้ว ข้าเป็นคนสั่งให้นางกำนัลนำพิษไปใส่ไว้ในอาหารขององค์หญิงปิงหลิน เพราะข้าอยากให้นางตาย เพื่อใส่ร้ายหวงกุ้ยเฟย ฮือ ๆ ข้าสารภาพแล้ว อย่าหลอกหลอนข้าอีกเลย”ปัง !ประตูห้องบรรทมถูกผลักออกเต็มแรง ผู้ที่ปรากฏกายขึ้นระหว่างช่องประตูนั้นสวมอาภรณ์สีทองลายมังกร ใบหน้าเคร่งขรึม ขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสัน“ฝะ ฝ่าบาท”เหยากุ้ยเฟยอุทานออกมาอย่างแผ่วเบา ถึงกับทรุดตัวลงบ
“เอ๊ะ นางกำนัลของสนมกุ้ยเฟย ทำไมมาแย่งของที่ข้าให้แก่เด็ก ๆ เหล่านี้ด้วยเล่า”หัวหน้าแม่ครัวเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ“ทำไม ข้าจะยึดของต้องห้ามเหล่านี้ เจ้ามีปัญหาอะไรไหม ? ที่สำคัญเมื่อครู่ข้าได้ยินเจ้าสนทนากันกล่าวถึงองค์หญิงปิงหลินในทางเสียหาย หากข้านำไปทูลพระสนมกุ้ยเฟยเรื่องต้องถึงหูฝ่าบาทแน่ ๆ ต่อให้พวกเจ้ามีสิบหัวก็ไม่พอให้ตัด !” นางกำนัลของสนมกุ้ยเฟยข่มขู่ นางกำนัลเล็ก ๆ เหล่านั้นจึงได้แต่เงียบเสียง ส่วนหัวหน้าแม่ครัวก็ได้แต่กัดฟันข่มอารมณ์ เพราะตำแหน่งของนางไม่มีเจ้านายคุ้มหัวเหมือนตำแหน่งของนางกำนัลข้างกายสนม“ในเมื่อไม่มีผู้ใดกล่าวอันใด ก็แสดงว่ายอมรับ ของนี่ข้าจะเอาไปทำลายเอง พวกเจ้าไปทำงานได้แล้ว”นางสั่งเสียงเขียวเมื่อทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว นางกำนัลผู้นั้นจึงเร่งฝีเท้ากลับไปยังตำหนักกุ้ยเฟย“พระสนมกุ้ยเฟยเพคะ”นางกำนัลคนสนิทยอบตัวลง พลางส่งสายตาให้นายตนเองคล้ายกับมีเรื่องสำคัญกลับมารายงาน เมื่อเหยากุ้ยเฟยเห็นท่าทีเช่นนั้นจึงเอ่ยกับข้ารับใช้ที่อยู่ในตำหนักว่า“พวกเจ้าออกไปก่อน”ทันทีที่ข้ารับใช้คนสุดท้ายก้าวพ้นประตูออกไป นางกำนัลคนสนิทก็รีบไปปิดประตูลงแล้วกลับมารายงานต่อส