“เจ้าไล่เฆี่ยนตีผู้อาวุโส แบบนี้จะให้ข้าชมเจ้าว่าเด็กดีงั้นรึ หรือจะให้เรียกเจ้าว่าองค์หญิงปีศาจ”
หยางจงพูดจบก็รีบสะบัดตัวออกจากการจับกุมของทหารองครักษ์ที่กำลังอึ้งกับถ้อยคำเผ็ดร้อนของเขาเมื่อครู่
“กล้าว่าข้าเป็น องค์หญิงปีศาจรึ ทหารจับตัวเขามาทำโทษเดี๋ยวนี้ !”
องค์หญิงน้อยกระทืบเท้าเร่า ๆ อย่างขัดใจ
หยางจงวิ่งหลบหนีอย่างว่องไว แต่แล้วเขาก็ชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ของใครบางคน
ตุบ !
“โอ๊ย !”
ร่างของเด็กชายวิ่งชนเข้ากับผู้หนึ่งจนหงายหลังล้มลงไป เด็กหญิงที่วิ่งไล่ตามมาจึงฟาดกิ่งไม้ตีหยางจงเสียหลายที
“นี่แนะ นี่แนะ เจ้าบังอาจว่าข้าเป็นปีศาจรึ”
“ท่านหญิงโปรดระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ บุตรชายของกระหม่อมผิดไปแล้ว”
แม่ทัพหยางคุกเข่าลงพร้อมกับดึงให้บุตรชายให้หมอบอยู่ข้าง ๆ เขามีลูกชายเพียงคนเดียว แต่กลับไปล่วงเกินเบื้องสูงเข้าให้แล้ว
หยางจงซ่อนความโกรธเอาไว้ในใจ บิดาเขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ รบข้าศึกทำคุณให้แผ่นดินมาช้านานเหตุใดต้องคุกเข่าให้กับเด็กหญิงคนหนึ่งด้วย !
“เขาเป็นลูกเจ้ารึ ข้าจะไปฟ้องเสด็จพ่อ ข้าจะลงโทษเขา โทษฐานที่บังอาจกล่าวหาว่าข้าเป็นองค์หญิงปีศาจ”
องค์หญิงน้อยเชิดหน้าขึ้น พร้อมกับเอามือกอดอกอย่างวางอำนาจ ทั้ง ๆ ที่ตัวของนางเล็กเพียงนิดเดียว
แม่ทัพหยางได้ยินดังนั้นหัวใจก็หล่นวูบลงจึงรีบเอ่ยทัดทานขึ้นทันทีว่า
“บุตรไม่ดี เพราะบิดาสั่งสอนไม่ดี กระหม่อมจะลงโทษเขาเองพ่ะย่ะค่ะ”
เขาทราบดีว่าฮ่องเต้รักองค์หญิงมาก หากทรงทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งแม่ทัพอาจจะรักษาชีวิตบุตรชายของตนไม่ได้แน่ ๆ
ทหารองครักษ์ ขันทีและนางกำนัลต่างหวาดหวั่นใจไม่แพ้กัน เพราะไม่มีใครไม่รู้จักแม่ทัพใหญ่ผู้ซึ่งมีคุณต่อแผ่นดินฉู่ หากแม่ทัพต้องสูญเสียบุตรชายเพียงคนเดียวไปก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้านัก ใบหน้าของแต่ละคนจึงเคร่งเครียดขึ้นตามลำดับ
“เจ้าจะลงโทษเขาอย่างไร”
ปากเล็ก ๆ ขององค์หญิงน้อยเอ่ยถามอย่างกระหายใคร่รู้ ดวงตากลม ๆ นั้นมีรอยซุกซนราวกับว่าความโกรธเมื่อครู่ได้สลายลงไปแล้ว
“กระหม่อมจะโบยเขาพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพหยาง กล่าวหนักแน่น
“ไม่เอา ในเมื่อเขากล้าว่าข้าเป็นองค์หญิงปีศาจ งั้นก็ให้เขาเดินไปตะโกนไปว่า -องค์หญิงปิงหลินแสนน่ารัก ข้าจะรักและภักดีต่อท่านจนวันตาย - จนกว่าจะถึงจวนท่าน”
“ไม่มีทาง”
หยางจงปฏิเสธทันควัน แต่แม่ทัพหยางรีบตอบรับเสียงดังลั่นจนกลบเสียงเล็ก ๆ ของบุตรชายว่า
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก ไปสิ... เริ่มจากตอนนี้เลย ข้าอยากได้ยินเจ้ายกย่องชมเชยข้า”
องค์หญิงปิงหลินสั่งจบก็หัวเราะคิกคักออกมาอย่างพอใจยิ่ง
แม่ทัพหยางส่งสายตาสั่งให้บุตรชายลุกขึ้นแล้วทำตามที่องค์หญิงบอก เขาจึงจำยอมส่งเสียงออกมาเบา ๆ อย่างฝืนใจเต็มทนว่า
“องค์หญิงปิงหลินแสนน่ารัก ข้าจะรักและภักดีต่อท่านจนวันตาย”
ใบหน้าของเด็กชายบิดเบี้ยวราวกับถูกบังคับให้กลืนยาขมลงคอก็มิปาน
“ข้าไม่ได้ยิน !”
องค์หญิงปิงหลินแกล้งตวาดออกมา และเมื่อเขาส่งเสียงดังมากขึ้น นางก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
“องค์หญิงปิงหลินแสนน่ารัก ข้าจะรักและภักดีต่อท่านจนวันตาย !”
“แสนน่ารักที่ไหนกันเล่า ! นางปีศาจชัด ๆ”
หยางจงพึมพำออกมา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น เขาต้องทนความอับอายขายหน้ารวมปี
“ท่านแม่ทัพ ท่านว่ากระไร ข้าฟังไม่ชัด”
เฉิงอี้ รองแม่ทัพคู่กายขมวดคิ้วอย่างงุนงง ตนเห็นแม่ทัพไม่ยอมเดินไปข้างหน้าเสียที อีกทั้งยังเอ่ยวาจาฟังไม่ได้ความเขาจึงเอ่ยถามขึ้นเพื่อความกระจ่าง
“เห็นทีวันนี้เราคงจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทไม่ได้แล้ว กลับกันเถอะ”
แม่ทัพหยางจงหมุนกายก้าวเท้ากลับไปยังประตูวังหลวง เฉิงอี้จึงรีบทัดทานขึ้นด้วยความแคลงใจว่า
“ใกล้จะถึงห้องทรงงานแล้ว เหตุไฉนต้องรีบกลับเล่า”
“เจ้าไม่เห็นหรือ เมื่อครู่องค์หญิงปิงหลินรีบร้อนเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เกรงว่าคงจะมีเรื่องด่วนไปกราบทูล หากเราเข้าไปขัดจังหวะตอนนี้เกรงว่าจะไม่ดีแน่ ๆ”
แม่ทัพหยางจงเอ่ยโดยไม่หยุดเดิน ต้องเดินให้ไกลจากรัศมีองค์หญิงปีศาจนั่น ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี
“องค์หญิงปิงหลิน องค์หญิงปีศาจแห่งวังหลวงนั่นรึ”
เฉิงอี้แอบชำเลืองไปยังด้านหลัง เขาได้ยินคำเล่าขานมานาน จึงอยากจะดูให้เต็มตาเสียหน่อยว่า องค์หญิงปีศาจหน้าตาจะดุร้ายเพียงใด แต่ภาพสาวงามเบื้องหลังกลับทำให้เขาตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง จึงชะงักเท้าลงไม่ได้ติดตามแม่ทัพไป มีใครบ้างเล่าไม่รู้ว่าองค์หญิงปิงหลินร้ายกาจเพียงใด กิตติศัพท์ของนางขจรไปไกล แต่น้อยคนนักที่จะได้เห็นพระพักตร์อันงดงามที่ตรงกันข้ามกับนิสัยใจคอยิ่งนัก
“นี่เฉิงอี้ ระวังปากเจ้าด้วย ระวังหัวเจ้าจะรักษาไว้บนบ่าไม่ได้”
แม่ทัพหยางจงเอ่ยเตือน แต่เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากคนข้างกาย เขาจึงหันกลับไปแล้วพบว่า รองแม่ทัพของตนกำลังยืนมององค์หญิงปิงหลินอย่างหลงใหล เขาจึงสืบเข้าไปหาผู้ใต้บังคับบัญชาของตนแล้วตะโกนใส่หูอีกฝ่ายว่า
“อยากตายรึไง !”
“ย๊าก ! ท่านแม่ทัพ ข้าตกใจหมดเลย”
เฉิงอี้สะดุ้งโหยง
“ตามมาได้แล้ว”
แม่ทัพหยางสั่งเสียงดุดันแล้วออกเดินนำกลับจวนแม่ทัพ
ณ ประตูประจิมยามเหมา....ช่วงเวลานี้ ที่ประตูประจิมพ่อค้าจากตลาดสดจะนำผักผลไม้สดมาส่งที่วังหลวง ด้วยเหตุนี้ จึงมีคนงานในโรงครัวเดินเข้าเดินออกสำรวจสิ่งของ และขนผักผลไม้อยู่ตลอดเวลาองค์หญิงเหยียนชิงจึงแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มบ่าวรับใช้เพื่อไม่ให้ทหารยามซึ่งเฝ้าประตูจับนางได้วันนี้ ทหารมีเพียงแค่ 2 นายเท่านั้น เพราะกำลังทหารรักษาวังหลวงถูกเรียกตัวให้ไปรักษาความปลอดภัยในพระราชพิธีส่งเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวที่ลานหน้าพระที่นั่งเมื่อองค์หญิงเหยียนชิงก้าวพ้นเขตประตูวังหลวง นางก็เดินตรงไปยังรถม้าที่จอดนิ่งอยู่ในมุมค่อนข้างลับตา บนรถม้ามีบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ สวมอาภรณ์สีดำตลอดทั้งตัว อีกทั้ง ยังสวมหมวกที่มีผ้าโปร่งอำพรางใบหน้าเอาไว้“นี่ท่าน.... ท่านใช่คนขับรถม้าของเหมยชิงหรือไม่”นางส่งเสียงถามออกไปเบา ๆ ดวงตายังคงมองซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง กลัวว่าจะมีข้ารับใช้จำนางได้บุรุษชุดดำบนรถม้าส่งเสียงตอบรับ “อืม”ดวงตาคมกริบภายใต้ผ้าโปร่งสีดำมองหญิงสาวอย่างพิจารณา แม้ว่านางจะสวมชุดข้ารับใช้ อีกทั้ง ยังใช้ผ้าปกปิดใบหน้าจนเห็นเพียงแค่ดวงตา แต่ความงามของนางกลับฉายชัดออกมาจนยากจะปิดบัง“หากใช่ ก็รีบไปกันเถิด อย
ปลายยามอิ๋นช่วงเวลานี้ หากเป็นยามปกติ องค์หญิงชิงอี้คงยังมุดอยู่ภายใต้ผ้าห่ม ซุกไซ้ตัวกับเตียงนุ่ม ๆ ในห้องบรรทมแต่วันนี้นางกลับต้องลุกขึ้นผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ สวมมงกุฎหงส์แห่งแคว้นเป่ย เพื่อขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแทนพี่สาวต่างมารดา“น้องชิงชิง ขอบใจเจ้ามาก บุญคุณครั้งนี้ข้าจะไม่ลืมเลย”องค์หญิงเหยียนชิง กอบกุมมือขององค์หญิงชิงอี้เอาไว้ นางมองน้องสาวในชุดเจ้าสาวสีแดงด้วยใบหน้าเศร้าหมอง ดวงตาแดงก่ำ“ท่านพี่ อย่าทรงกันแสงสิเพคะ น้องไม่ได้ถูกส่งไปประหารเสียหน่อย น้องแค่ไปอภิเษกแทนท่านพี่ก็เท่านั้น”องค์หญิงชิงอี้ยังคงยิ้มทะเล้นให้พี่สาว นางกับองค์หญิงเหยียนชิงอายุห่างกันเพียงหนึ่งพรรษาจึงสนิทกันมากองค์หญิงเหยียนชิงลูบมือน้องสาวเบา ๆ “ข้าก็หวังว่าองค์ชายรัชทายาทแคว้นหนานจะดีต่อเจ้า”นางรู้สึกว่าชิงอี้ยังเด็กนัก และคงไม่รู้ความหมายของการแต่งงาน ว่ามันคือ ทั้งชีวิตของสตรี หากพบพานกับสามีไม่ดี ก็เท่ากับตกนรกทั้งเป็นเมื่อหลายวันก่อน ฮ่องงเต้ทรงมีรับสั่งว่าจะส่งตัวองค์หญิงเหยียนชิงไปอภิเษกกับองค์ชายรัชทายาทแคว้นหนานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีนางทราบข่าวเช่นนั้น ก็รู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่งที่ต้องแต่งง
หลินหลินรีบลุกขึ้นด้วยความดีใจ แต่เพราะร่างกายยังไม่หายดี นางจึงโงนเงน หยางจงจึงรีบสะอึกเข้ามาประคองร่างของนางเอาไว้ได้ทัน“หลินหลิน เจ้าระวังหน่อยสิ เจ้าเพิ่งฟื้นจากความตายมานะ จะแกล้งให้พ่อเสียใจอีกรอบหรือไง”ฮ่องเต้ส่งเสียงดุด้วยความห่วงใย“ลูกคิดถึงท่านพ่อ”หลินหลินน้ำตารื้นขึ้นมา“ลูกพ่อ เจ้าจะออกเรือนอยู่แล้วยังร้องหาพ่อเหมือนเด็ก ๆ ไปได้”ฮ่องเต้เอื้อมมือออกไปเกลี่ยน้ำตาบนแก้มเนียนออกอย่างรักใคร่เอ็นดู“เชิญนายท่าน นั่งก่อน”หยางจงผายมือเชื้อเชิญทุกคนในฐานะเจ้าของบ้าน วันนี้ไม่มีฮ่องเต้ ไม่มีองค์หญิง หรือแม่ทัพ มีเพียงคนในครอบครัวกันเมื่อนั่งลงแล้ว ฮ่องเต้จึงเอ่ยขึ้นว่า“เห็นหยางจงดูแลเจ้าอย่างดี ข้าเองก็สบายใจ เขาเป็นบุรุษองอาจกล้าหาญที่เจ้าจะฝากชีวิตให้เขาดูแลได้”“ท่านพ่อเอ่ยเช่นนี้หมายความว่า.....”หลินหลินเอ่ยแผ่วเบา ความดีใจนั้นทำให้นางไม่กล้าแม้จะเอ่ยให้จบประโยค เพราะกลัวว่าจะผิดหวังอีกครั้ง“หมายความว่า ถ้าหยางจงยอมสละตำแหน่งแม่ทัพ แล้วมาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนการทหาร พ่อก็จะยกเจ้าให้เขา”ฮ่องเต้ต่อประโยคให้ เรื่องนี้เขาได้คิดมาหลายวันแล้ว เขาไม่อยากทำลายความสุขของลูกส
หยางจงได้ยินดังนั้น หัวใจเขาแทบจะสลายลงไป มองไปยังใบหน้าหญิงอันเป็นที่รัก ซึ่งบัดนี้ซีดขาวราวกับซากศพ ลมหายใจรวยรินยิ่งนัก เขาจะปล่อยให้นางตายไม่ได้“หมอหลวง ไม่มีทางอื่นอีกแล้วรึ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน ข้าก็พร้อมจะทำเพื่อช่วยนาง”เขาเอ่ยเสียงเครือ ปล่อยมือจากเสื้อของหมอหลวง ค่อย ๆ ถอยออกไปทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงองค์หญิงปิงหลินเช่นเดิมหมอหลวงเห็นเช่นนั้นแล้วจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า“หากไม่มียาถอนพิษ มีอีกหนึ่งวิธีที่จะสามารถขับพิษออกจากร่างกายได้”ดวงตาของหยางจงเบิกโพล่งขึ้น ถลาเข้าจับไหล่ทั้งสองข้างของหมอหลวงเขย่า แล้วเอ่ยว่า“รีบบอกมา ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยองค์หญิงได้”“ใช้เลือดถ่ายเลือด”“เลือดถ่ายเลือด”หยางจงชะงักค้าง ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย หมอหลวงจึงรีบอธิบายว่า“วิธีเลือดถ่ายเลือดนี้ คือ การนำเลือดดีของอีกคนหนึ่งเข้าสู่ร่างกายของคนที่ถูกพิษ จากนั้นก็รีดเอาเลือดที่มีพิษออก ซึ่งเป็นวิธีที่ข้าศึกษาในตำราโบราณแต่ยังไม่ได้ทดลองใช้จริง เกรงว่าจะมีโอกาสถึงแก่ชีวิตทั้งคู่”“ข้ายอม ! รีบถ่ายเลือดของข้าให้องค์หญิงเร็วเข้าเถอะ ก่อนที่พิษจะแพร่กระจายเข้าสู่อวัยวะสำคัญ”หยางจงรีบ
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร สารภาพอะไร ขอโทษอะไร ข้าไม่เข้าใจ”เหยากุ้ยเฟยหน้าซีดขาว ตวาดเสียงสั่น นักพรตผู้นี้สื่อสารกับวิญญาณได้จริง ๆ รึ“ข้าก็ไม่ทราบ แต่วิญญาณที่ยืนอยู่ตรงนี้กล่าวเช่นนั้น”นักพรตใช้แส้ชี้ไปที่เสาข้างเตียงบรรทมของกุ้ยเฟยสนมกุ้ยเฟยถึงกลับผงะโผ่เข้ากอดนางกำนัลคนสนิทด้วยความหวาดกลัว ละล่ำละลักถามว่า“วิญญาณขององค์หญิงปีศาจยืนอยู่ที่นี่รึ”“ข้ามิทราบว่านางเป็นผู้ใด แต่วิญญาณตนนี้อาฆาตท่านนัก แล้วพูดย้ำ ๆ ว่า ...สารภาพออกมา... ...สารภาพออกมา... ...สารภาพออกมา...”กรี๊ดดดดดดดดดดดสนมกุ้ยเฟยกรีดร้องออกมาราวกับคนเสียสติ ในหูนางเหมือนได้ยินเสียงเย็นยะเยือกกล่าวเช่นนั้นจริง ๆ ปากของนางจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า“ขะ ข้าสารภาพแล้ว ข้าสารภาพแล้ว ข้าเป็นคนสั่งให้นางกำนัลนำพิษไปใส่ไว้ในอาหารขององค์หญิงปิงหลิน เพราะข้าอยากให้นางตาย เพื่อใส่ร้ายหวงกุ้ยเฟย ฮือ ๆ ข้าสารภาพแล้ว อย่าหลอกหลอนข้าอีกเลย”ปัง !ประตูห้องบรรทมถูกผลักออกเต็มแรง ผู้ที่ปรากฏกายขึ้นระหว่างช่องประตูนั้นสวมอาภรณ์สีทองลายมังกร ใบหน้าเคร่งขรึม ขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสัน“ฝะ ฝ่าบาท”เหยากุ้ยเฟยอุทานออกมาอย่างแผ่วเบา ถึงกับทรุดตัวลงบ
“เอ๊ะ นางกำนัลของสนมกุ้ยเฟย ทำไมมาแย่งของที่ข้าให้แก่เด็ก ๆ เหล่านี้ด้วยเล่า”หัวหน้าแม่ครัวเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ“ทำไม ข้าจะยึดของต้องห้ามเหล่านี้ เจ้ามีปัญหาอะไรไหม ? ที่สำคัญเมื่อครู่ข้าได้ยินเจ้าสนทนากันกล่าวถึงองค์หญิงปิงหลินในทางเสียหาย หากข้านำไปทูลพระสนมกุ้ยเฟยเรื่องต้องถึงหูฝ่าบาทแน่ ๆ ต่อให้พวกเจ้ามีสิบหัวก็ไม่พอให้ตัด !” นางกำนัลของสนมกุ้ยเฟยข่มขู่ นางกำนัลเล็ก ๆ เหล่านั้นจึงได้แต่เงียบเสียง ส่วนหัวหน้าแม่ครัวก็ได้แต่กัดฟันข่มอารมณ์ เพราะตำแหน่งของนางไม่มีเจ้านายคุ้มหัวเหมือนตำแหน่งของนางกำนัลข้างกายสนม“ในเมื่อไม่มีผู้ใดกล่าวอันใด ก็แสดงว่ายอมรับ ของนี่ข้าจะเอาไปทำลายเอง พวกเจ้าไปทำงานได้แล้ว”นางสั่งเสียงเขียวเมื่อทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว นางกำนัลผู้นั้นจึงเร่งฝีเท้ากลับไปยังตำหนักกุ้ยเฟย“พระสนมกุ้ยเฟยเพคะ”นางกำนัลคนสนิทยอบตัวลง พลางส่งสายตาให้นายตนเองคล้ายกับมีเรื่องสำคัญกลับมารายงาน เมื่อเหยากุ้ยเฟยเห็นท่าทีเช่นนั้นจึงเอ่ยกับข้ารับใช้ที่อยู่ในตำหนักว่า“พวกเจ้าออกไปก่อน”ทันทีที่ข้ารับใช้คนสุดท้ายก้าวพ้นประตูออกไป นางกำนัลคนสนิทก็รีบไปปิดประตูลงแล้วกลับมารายงานต่อส