“เสด็จพ่อ !”
องค์หญิงปิงหลินถลาเข้ามาในห้องทรงงานโดยไม่รอให้ขันทีหน้าห้องประกาศให้เข้าพบเสียก่อน เพราะนางอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทุกอย่างในวังหลวง
“รีบร้อนมาหาพ่อถึงที่นี่ มีเรื่องใดรึ”
ฮ่องเต้แย้มสรวลน้อย ๆ เพื่อกลบเกลื่อนความกังวลใจที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงเมื่อเช้าเอาไว้
“ลูกได้ยินเหล่าสนมของเสด็จพ่อ ต่างพากันยินดีและเฉลิมฉลองกันถ้วนหน้าให้กับลูกที่จะต้องแต่งงานไปต่างบ้านต่างเมืองใช่หรือไม่เพคะ”
องค์หญิงปิงหลินฟ้องฮ่องเต้ก่อนที่นางสนมเหล่านั้นจะเอาเรื่องที่ตนลงโทษพวกนางมาฟ้องเสด็จพ่อ
“ผู้ใดช่างปากมากนัก”
ฮ่องเต้คำรามอยู่ในลำคอ สีหน้าโกรธเกรี้ยวแทนธิดา
“เป็นใครไม่สำคัญ เพราะลูกลงโทษพวกนางไปแล้วเพคะ”
จากนั้นองค์หญิงปิงหลินก็รีบเข้าสู่เรื่องสำคัญทันทีว่า “เป็นเรื่องจริงหรือเพคะ เรื่องที่เสด็จพ่อจะให้ลูกแต่งงานกับองค์รัชทายาทแคว้นอ้ายฉี”
องค์หญิงปิงหลินรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“เรื่องจริง”
ฮ่องเต้ตอบเสียงเบา ราวกับกลัวว่าคำตอบนั้นจะกระทบกระเทือนจิตใจธิดาสุดรักของตน
“ลูกไม่แต่งงานไปไหนทั้งนั้น ลูกจะอยู่ที่นี่ !”
องค์หญิงปิงหลินแผดเสียงออกมาพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า รู้สึกน้อยใจที่บิดายกตนให้แต่งกับบุรุษเมืองเถื่อน โดยไม่ถามความคิดเห็นจากนางแม้แต่น้อย
“หลินหลิน เจ้าโตเป็นสาวแล้ว อายุเจ้าก็สมควรจะออกเรือนได้แล้ว อีกทั้งองค์ชายรัชทายาทกับเจ้ามีตำแหน่งสูงศักดิ์เท่าเทียมกัน”
เมื่อใดที่ทรงเรียกธิดาว่า หลินหลิน นั่นหมายความว่าพระองค์ต้องการสนทนากับธิดาในฐานะพ่อคนหนึ่งที่มีความรักความห่วงใยต่อลูกสาว ช้าหรือเร็วเขาก็ต้องบอกนาง ดังนั้น วันนี้เขาจึงจะพูดกับนางให้เข้าใจ
“เสด็จพ่อไม่รักลูกแล้วหรือเพคะ ไยส่งลูกไปไกลถึงเพียงนั้น”
องค์หญิงปิงหลินปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมา เสียงของนางเจื่อเสียงสะอื้นอย่างน่าสงสาร
หัวใจของผู้อยู่เหนือคนนับแสนสะท้านไหว แต่หน้าที่ความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองทำให้ฮ่องเต้เอ่ยคำอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มีบิดาคนไหนไม่รักลูกของตน แต่พ่อต้องจำใจให้เจ้าแต่งงานเพื่อความผาสุกของประชาชน มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะหยุดสงครามนองเลือดระหว่างทั้งสองแคว้นได้”
“แล้วความสุขของลูกเล่าเพคะ”
“นับตั้งแต่ลูกเกิดในเชื้อพระวงศ์ ชีวิตของลูก คือ ชีวิตเพื่อประชาชนต้องเสียสละเพื่อส่วนรวม”
“ไม่มีหนทางอื่นแล้วหรือเพคะ”
องค์หญิงปิงหลินถามเสียงแหบแห้ง
ฮ่องเต้ส่ายหน้าอย่างช้า ๆ แทนคำตอบ นางรู้ว่าพ่อของตนก็ปวดใจไม่แพ้กัน แต่จะปฏิเสธเช่นไรได้ ในเมื่อเกิดในที่สูงย่อมต้องแบกรับภาระมากกว่าผู้อื่น
องค์หญิงปิงหลินยอบกายลง อำลาออกไปอย่างเงียบ ๆ เมื่อร่างขององค์หญิงออกไปพ้นประตูแล้ว ฮ่องเต้จึงยกมือขึ้นนวดขมับ ความเครียดจากเรื่องนี้ทำให้เขาปวดหัวมาหลายวัน เฉินกงกงจึงรีบยกชาสมุนไพรคลายเครียดเข้ามาถวาย
ณ ห้องบรรทม
“ชิงชิง เตรียมข้าวของให้ข้า ข้าจะหนีออกจากวัง ในเมื่อเสด็จพ่อไม่ทรงช่วย ข้าก็จะหนีการแต่งงานครั้งนี้ด้วยตนเอง”
องค์หญิงปิงหลินรับสั่งกับนางกำนัลทั้งน้ำตา
“องค์หญิง......”
ชิงชิงทอดเสียงอย่างปลอบประโลม แววตาเต็มไปด้วยความสงสารจับใจ ตอนนี้องค์หญิงทรงเสียพระทัยมากอาจจะคิดทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นนางจึงเอ่ยเตือนสตินายของตนว่า
“ไม่ได้นะเพคะองค์หญิง หากหนีออกจากวัง พระองค์จะทรงลำบากยิ่งกว่าแต่งไปต่างแคว้นอีกนะเพคะ”
องค์หญิงที่เคยมีข้าทาสบริวารรับใช้นับร้อยจะไปใช้ชีวิตธรรมดาสามัญได้เช่นไร สู้แต่งไปต่างแคว้นไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยก็ยังทรงอยู่ในฐานะองค์หญิง
“ใครบอกว่าข้าจะทนลำบากตลอดชีวิต ข้าแค่หลบหนีไปสักระยะหนึ่งเท่านั้น ข้าอยากเห็นพวกสนมแลขุนนางเหล่านั้นมันอกแตกตาย หากไม่สามารถจับตัวข้าส่งไปต่างแคว้นเพื่อแต่งงานได้แล้ว พวกเขาจะทำเช่นไร”
องค์หญิงปิงหลินยกมือขึ้นปาดน้ำตาออก แววตามุ่งมั่น ใคร ๆ ต่างบอกว่านางเป็นปีศาจร้ายแห่งวังหลวง แต่ใครเล่าจะรู้ว่าเหล่านางสนมจับจ้องที่จะรังแกนางเพียงใด หากนางไม่ต่อสู้เพื่อตนเอง นางก็คงจะถูกกดขี่ข่มเหงได้ง่าย ๆ
“หากองค์หญิงหนีไป หม่อมฉันต้องถูกตัดหัวแน่ ๆ เพคะ”
ชิงชิงรีบเอ่ยทัดทานอย่างขวัญหนีดีฝ่อ
“ถ้าเจ้ากลัวถูกประหารก็หนีไปกับข้าด้วยสิ”
องค์หญิงปิงหลินจับมือสองข้างของชิงชิง นางทำราวกับว่ากำลังจะชวนสาวใช้ออกไปเที่ยวเล่นเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วนี่คือการหนีออกจากวัง !
“แต่......”
ชิงชิงอยากจะเอ่ยทัดทาน แต่คนเป็นบ่าวจะเอ่ยทัดทานอย่างไรได้
“ไม่ต้องปฏิเสธแล้ว หากเสด็จพ่อจะเอาโทษ ข้าจะรับไว้แต่เพียงผู้เดียว !”
องค์หญิงปิงหลินประกาศเสียงกร้าว แววตามุ่งมั่น การแต่งงานไปต่างแคว้นก็เท่ากับตายทั้งเป็น จะมีอะไรให้นางหวาดกลัวอีกเล่า
เมื่อชิงชิงเก็บของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นทั้งของตนและขององค์หญิงใส่ในห่อผ้าเรียบร้อยแล้ว วันต่อมานางจึงไปสืบข่าวหาช่องทางลักลอบออกจากวังหลวง แล้วนางก็สืบทราบมาได้ว่าจะมีขบวนพ่อค้าเดินทางไปยังชายแดนที่ติดอยู่กับแคว้นชีเซินทางตอนใต้ ดังนั้น พวกนางจึงตัดสินใจให้สินบนขบวนพ่อค้าไว้ให้มาจอดรอรับที่ประตูท้ายพระราชวัง
องค์หญิงปิงหลินแต่งกายอย่างสาวชาวบ้าน ไร้เครื่องประดับผมอันสูงส่ง ไม่มีอาภรณ์ไหมเนื้อดี มีเพียงผ้าเนื้อหยาบสีมอซอ แต่กระนั้นความงดงามยังฉายแสงออกมาให้เห็นอย่างโดดเด่น
“องค์หญิง”
ชิงชิงเรียกสาวในชุดชาวบ้านที่ยืนอยู่ข้างกาย
“ชิงชิง ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่า นับจากที่ข้าถอดมงกุฎแล้วเดินออกนอกวัง ข้าคือ หลินหลิน น้องสาวของเจ้า”
องค์หญิงปิงหลินส่งเสียงเตือนนางกำนัลคนสนิทเบา ๆ พวกนางกำลังแอบย่องไปยังประตูท้ายพระราชวัง เพื่อรอขบวนเกวียนสินค้าไปยังชายแดน เพราะชาวบ้านและประชาชนในเขตชายแดนไม่มีใครเคยเห็นพระพักตร์ขององค์หญิง ดังนั้น นางจึงเลือกไปที่นั่นเพื่อหลบภัยสักพัก
“ทราบแล้วเพคะ”
ชิงชิงเหงื่อออกเต็มฝ่ามือ รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง สีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก แม้จะกลืนน้ำลายยังรู้สึกว่ายากลำบาก
“ไม่ต้องใช้คำพูดเพคง เพคะแล้ว พูดจาธรรมดาจะได้ไม่ตกเป็นที่สังเกต”
องค์หญิงปิงหลิน ซึ่งบัดนี้เป็น หลินหลิน กำชับเตือน จิตใจของนางมุ่งมั่นที่จะหลบหนีการแต่งงานให้ได้ อีกทั้ง ต่อให้ถูกจับได้อย่างมากก็แค่ถูกฮ่องเต้บ่นคำสองคำ นางจึงไม่หวั่นเกรงใด ๆ
“ดังนั้น คนที่ถูกประหารตายไปเมื่อ 16 ปีก่อน จึงไม่ใช่พระสนมเสี่ยวเฉียนกุ้ยเฟย”ชางเฮ่าเอ่ยออกมา เพื่อทำความเข้าใจกับตนเอง“ใช่... แม้จะช่วยชีวิตสองแม่ลูกเอาไว้ได้ แต่ก็มิอาจให้อยู่ในวังหลวงได้ ข้าจึงส่งคนทั้งสองไปชายแดน เป็นตายไม่ทราบข่าว ข้าไม่กล้ายื่นมือออกไปช่วยเหลืออีก เพราะเกรงว่าราชสำนักจะรู้เรื่อง แล้วตามจับคนทั้งสองกลับมารับโทษ”น้ำเสียงในห้วงสุดท้ายแผ่วเบา ยิ่งรู้ว่าเสี่ยวเฉียนกุ้ยเฟยเป็นผู้บริสุทธิ์จริง ๆ เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดในใจ“ดังนั้น ตอนนี้ เมื่อคดีกระจ่างแจ้งแล้วว่า เสี่ยวเฉียนกุ้ยเฟยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารฮองเฮา พระองค์จึงอยากให้กระหม่อมตามคนกลับคืนสู่วัง”ชางเฮ่าสรุปรวบรัดให้ฮ่องเต้พยักหน้าช้า ๆ แล้วเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า“หานางสองแม่ลูกให้พบ ต่อให้คนทั้งสองกลายเป็นกระดูกไปแล้ว ข้าก็อยากพบนางสักครั้ง”นับจากวันนั้น เขาก็สืบข่าวคราวของเสี่ยวเฉียนกุ้ยเฟยอย่างลับ ๆ ตามพระบัญชา แต่เพราะมีคดีทองเถื่อนแทรกเข้ามาเขาจึงต้องหยุดไป คาดไม่ถึงว่า วันนี้จะปรากฏร่องรอยของราชนิกุลในวัง !รอยสีแดงบนเนินหน้าอกนั้นเป็นรูปกรงเล็บมังกร ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของเชื้อพระวงศ์ ส
นางอาศัยจังหวะนั้นคิดจะวิ่งหนีออกจากห้อง แต่กลับถูกมันคว้าอาภรณ์ที่ยาวรุ่มร่ามของนางเอาไว้แล้วกระชากดึงร่างนางกลับมากดลงกับเตียงแค่ก !เสื้อด้านนอกของนางถูกดึงจนฉีกขาด เหลือเพียงเอี๊ยมด้านใน เสี่ยวเยี่ยนเบิกตากว้าง ปากร้องตะโกนอย่างตื่นตระหนก“ชางเฮ่าช่วยด้วย ! ช่วยข้าด้วย !”“ฮ่า ๆ ตะโกนเรียกใครหรือคนงาม ห้องนี้อยู่ห่างไกลนัก ใครจะมาช่วยเจ้าได้ทัน ฮ่า ๆ”ซูม่อแสยะยิ้มอย่างหื่นกระหาย ทำเอาเสี่ยวเยี่ยนขนลุกสู่อย่างขยะแขยง แล้วตะโกนลั่น“ชางเฮ่าช่วยข้าด้วย !”นางพยายามจะผลักร่างทั้งอ้วนทั้งใหญ่ออก แต่ร่างซูม่อกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย นางเพิ่งจะตระหนักว่าร่างกายของสตรีอ่อนแอกว่าบุรุษมากเพียงไรยิ่งดิ้นก็เหมือนกับเรี่ยวแรงหมดไปทุกขณะ ใบหน้าหื่นกระหายน่ารังเกียจของซูม่อก้มลงมาซุกไซร้ไปตามลำคอ และใบหน้านางเสี่ยวเยี่ยนหลับหูหลับตากรีดร้องออกมาด้วยความสิ้นหวัง น้ำตาไหลพรากฉับพลันนั้นเงาสีดำสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาซัดฝ่ามือเข้าใส่ซูม่อเต็มแรง จนหงายหลังล้มลงไปกับพื้นตุบ !“อ๊าก”ซูม่อร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ฝ่ามือนั้นทำเอาเขากระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ความร้ายกาจของฝ่ามือทำให้เขาบอบช้ำไปทั้งร่างไ
เสี่ยวเยี่ยนผวากอดตัวเขาไว้แน่น เพราะกลัวจะตกลงไป ใบหน้านางซบอยู่กับแผงอกแกร่ง ท่อนแขนแข็งแรงของเขากอดรัดนางไว้ ไออุ่นที่แผ่ออกมาจากเรือนกายของเขาทำให้นางรู้สึกอบอุ่น และปลอดภัยอย่างประหลาดจนกระทั่งมาถึงที่หอเฟิ่งหยวน ทั้งคู่แอบอยู่ที่มุมด้านหน้าห้องลูกค้าพิเศษที่มีนามว่าซูม่อ เขาเป็นพ่อค้าทองหน้าใหม่ที่จู่ ๆ ก็ร่ำรวยขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติชางเฮ่าสงสัยคนผู้นี้มานานแล้ว แต่เข้าถึงตัวไม่ได้สักที ดังนั้น วันนี้เขาจึงวางแผนจะใช้วิธีสาวงามล้วงความลับพวกเขารอไม่นานนัก นางคณิกานางหนึ่งก็เดิมมาพร้อมพิณในมือ ก่อนที่นางจะเคาะประตู ชางเฮ่าก็สับมือลงที่ท้ายทอยของนางจนสลบไปเขารีบรวบร่างที่สลบไสล และรับพิณไว้ไม่ให้ร่วงหล่น เสี่ยวเยี่ยนก็รีบเข้าไปช่วยเขาลากสาวงามผู้นั้นไปซ่อนไว้ที่มุมทางเดินโชคดีที่ซูม่อผู้นี้เลือกห้องพิเศษซึ่งห่างไกลจากส่วนหน้า มีความเป็นส่วนตัวมาก จึงไม่ค่อยมีใครเดินผ่านมาแถวนี้“จำเอาไว้.... หลอกถามข้อมูลการค้าทองเถื่อนให้ได้เยอะที่สุด”ชางเฮ่ายัดพิณใส่มือของเสี่ยวเยี่ยน“เข้าใจแล้ว”นางพยักหน้ารับ แล้วกอดพิณหมายจะเดินเข้าไปในห้อง แต่อีกฝ่ายกลับแตะลงที่ไหล่ นางจึงหันกลับมาสบ
“ใช่เรื่องของเรา....”ชางเฮ่าย้ำ ดวงตาแวววับอย่างเจ้าเล่ห์คล้ายกับมีแผนการอะไรบางอย่าง ทำเอาคนฟังขนลุกซู่ขึ้นทั่วทั้งกาย นางจึงรีบส่ายศีรษะแล้วพูดว่า“ไม่มี๊ !” นางปฏิเสธเสียงสูง “ระหว่างเราสองคนไม่มีอะไรต้องติดค้างกันอีกแล้ว”“มีสิ.....” เขาเอ่ยเสียงเนิบนาบ โน้มใบหน้าหล่อเหลาเข้าใกล้นาง “ทำไมจะไม่มีล่ะ ผู้ที่ลักลอบเล่นการพนันในบ่อนเถื่อนจะต้องถูกจับเข้าคุก”“ข้าไม่ได้เล่นสักหน่อย ท่านอย่ามาปรักปรำข้านะ !”เสี่ยวเยี่ยนปฏิเสธเสียงแข็ง ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานถูกเขาเห็นไพ่เต็มสองตา แต่วันนี้นางเอาหลักฐานไปซ่อนแล้ว เรื่องอะไรจะยอมรับให้ตนเองถูกจับเล่า“เอาเถอะ... ที่ผ่านมาข้าจะไม่ถือสา แต่เจ้าอย่าเข้าไปเล่นอีกเป็นอันขาด” ชางเฮ่าเอ่ยเสียงกดต่ำ อย่างน่ากลัว เสี่ยวเยี่ยนรีบกลืนน้ำลายลงคอแล้วตอบรับ“ได้ ๆ ไม่เล่นแล้ว... ไม่เล่นแล้ว”ตอนนี้นางตอบรับเอาตัวรอดไปก่อน วันพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ “ในเมื่อเจ้าหาเงินจากการพนันไม่ได้แล้ว เจ้าก็มาเป็นสายลับให้ข้าเถอะ”ชางเฮ่าชักชวนนาง เมื่อคืนเขาใคร่ครวญมาทั้งคืนแล้ว ในหน่วยองครักษ์เสื้อแพรมีสายลับของศัตรู เขาไว้ใจคนในหน่วยงานไม่ได้ ดังนั้น จำเป็นจะต้องหา
ชางเฮ่าเดินเข้ามาภายในเรือนรับรอง ก็เห็นสตรีในชุดชาววัง อาภรณ์สีม่วงปัดลวดลายหงส์ เกล้าผมสูงประดับด้วยปิ่นไข่มุกห้อยระย้าลงมา“คารวะองค์หญิงจิ้งหนิง"เขาประสานมือทำความเคารพตามธรรมเนียม ใบหน้าเรียบเฉยองค์หญิงจิ้งหนิงเห็นท่าทีห่างเหินเช่นนั้น รอยยิ้มก็พลันหดหายลงกึ่งหนึ่ง“ท่านพี่ไยต้องมากพิธีเช่นนี้ ทำราวกับว่าเราสองคนมิเคยรู้จักกันมาก่อน”องค์หญิงจิ้งหนิงวางท่าทีอย่างสนิทสนม แต่อีกฝ่ายกลับยังคงเย็นชาห่างเหินเช่นเดิม“พระองค์ทรงมีธุระอะไรกับกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”พอเอ่ยปาก เขาก็ถามเรื่องสำคัญทันที ทำเอาหัวใจของนางเจ็บแปลบขึ้นมา องค์หญิงจิ้งหนิงรีบกลืนความเสียใจลงท้อง ปั้นสีหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยเสียงหวานว่า“ข้าทราบข่าวว่าท่านถูกลอบทำร้ายบาดเจ็บสาหัส จึงร้อนใจมาเยี่ยม อาการท่านเป็นอย่างไรบ้าง”“ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง หม่อมฉันไม่เป็นอะไรแล้ว เพียงแค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้น”“สวรรค์คุ้มครองคนดีเช่นท่าน....”จากนั้น องค์หญิงจิ้งก็หันไปพยักหน้าให้ข้ารับใช้ทยอยขนเครื่องบำรุงร่างกายมาวางไว้บนโต๊ะ“สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ ข้าจึงให้คนนำโสมพันปีมาให้ท่าน แล้วยังมียาบำรุงธาตุทั้งห้าที่กลั่นโดยหมอหวง
เขารู้จักตอบแทนบุญคุณ แต่ก็ไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบเช่นกัน“เกินไปไหนอะไร หรือชีวิตท่านมีค่าน้อยกว่าหมื่นห้าพันตำลึงทอง รู้งี้ปล่อยให้ท่านนอนตายอยู่ในตรอกนั่นเสียก็ดีหรอก”เสี่ยวเยี่ยนเท้าสะเอว ชูคอเถียงเขาอย่างไม่ลดละบุรุษหนุ่มยิ้มเย็น แล้วเอ่ยอย่างผู้เหนือกว่าว่า“งั้นเจ้าก็คงต้องหักค่าตอบแทนออกอีกหมื่นพันตำลึงทอง โทษฐานที่เจ้าเตะข้าจนสลบไปอีกรอบ แถมยังเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพิ่มเป็นเท่าตัว”คำพูดนั้นทำให้เสี่ยวเยี่ยนถึงกับตาโต อ้าปากค้าง – อย่าบอกนะว่า เขาจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้หมดแล้ว ! -ชางเฮ่าเห็นนางนิ่งไปเช่นนั้นก็ไม่รอช้าที่จะย้ำอีกว่า“ข้าไม่จับเจ้าส่งให้ทางการโทษฐานที่เล่นการพนัน ก็ถือว่าเมตตาเจ้าแล้ว”“ว่าไงนะ” เสี่ยวเยี่ยนอุทานเสียงหลง ตาโต เขารู้ได้อย่างไรว่านางเล่นการพนัน “ใคร ! ใครเล่นการพนัน ! อย่ามาสาดโคลนใส่ข้า” นางเชิดหน้าขึ้น ให้ตายนางก็ไม่ยอมรับว่าแอบเข้าบ่อนเถื่อน“ไม่ได้ใส่ร้าย ข้าจะจับเจ้าไปตอนนี้พร้อมกับหลักฐานก็ย่อมได้”บุรุษหนุ่มเอ่ยเสียงเข้มขึ้น พร้อมกับพยักพเยิดให้นางดูหลักฐานที่ตนสะเพร่าทิ้งไว้ให้เขาเห็น“อั๊ยหยา.... เต่าเอ๊ย !”เสี่ยวเยี่ยนรีบวิ