“ทูลองค์ชาย พวกโจรป่าพวกนั้นโดนว่าจ้างมาจากบุคคลคนหนึ่งที่ชื่อว่าตงซิ่วพะย่ะค่ะ”
ทหารนายหนึ่งกล่าวขึ้นหลังจากทำความเคารพต่อองค์ชายหลี่ซ่งหมินผู้เป็นนายของเขา
“อืม” หลี่ซ่งหมินกล่าวรับคำรายงานของนายทหาร ด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
เขายืนอยู่ที่ริมระเบียงภายในวังอันใหญ่โตของเขาในท่วงท่าสง่างามดั่งเช่นปกติ สองมือไขว้กันไว้ที่ด้านหลัง เบื้องหน้าของเขาคือสวนบุปผานานาพรรณ มีบรรดาสาวใช้และนางกำนัลของเขากลุ่มหนึ่งกำลังคุยกันด้วยท่าทางสนุกสนานอยู่กลางสวนนั่น
หลายวันแล้วที่เขากลับเข้ามาในวังของเขา ทุกอย่างกลับเข้าสู่บรรยากาศเดิมๆ ในสถานที่เดิมๆ
มีเพียงอารมณ์ของเขาที่ยังคงหงุดหงิดกับอะไรบางอย่าง
เขายังไม่เหมือนเดิม…
หลี่ซ่งหมินเพียงยืนฟังทหารของเขากล่าวรายงานนิ่งๆไม่ไหวติงใดๆ
“กระหม่อมนำทหารออกไปหวังว่าจะนำตัวตงซิ่วมา คาดไม่ถึง ตงซิ่วผู้นั้นถูกสังหารไปก่อนหน้าแล้ว คาดว่าน่าจะมีคนอยู่เบื้องหลังตงซิ่วผู้นี้ อีกสองถึงสามทอด นอกจากนั้นยังมีกลุ่มชายชุดดำ...” นายทหารคนเดิมยังคงกล่าวรายงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยท่าทางขึงขังแน่วแน่ แม้ผู้ฟังจะมิได้หันหน้ามาหาตน
หลี่ซ่งหมินเพียงยืนหลับตานิ่งๆถอนหายใจเบาๆ
เหตุการณ์แบบนี้เขาเจอมาบ่อยเหลือเกิน
เขาเกิดมาเป็นบุตรชายคนโตของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ตำแหน่งของเขานอกจากจะเป็นองค์ชายแล้ว เขายังเป็นผู้ที่องค์ฮ่องเต้ทรงวางไว้ให้เป็นองค์รัชทายาทผู้ที่จะได้สืบบัลลังค์ต่อจากพระบิดาในอนาคต
ยิ่งตอนนี้ใกล้เวลาที่จะเข้ารับตำแหน่งแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทอย่างเป็นทางการเมื่ออายุครบยี่สิบปี การลอบสังหารจึงเป็นไปอย่างเข้มข้นขึ้นกว่าเดิมหลายส่วนนัก
เหตุการณ์ล่าสุดที่ประสบมา เป็นเพราะเขาประมาทเอง
เขารับพระบัญชาให้ออกว่าราชการแทนพระบิดานอกเขตเมือง โดยการปลอมตัวเป็นสามัญชนธรรมดา ออกสำรวจตรวจตราผู้คนรวมถึงความเป็นอยู่ของราษฎร
ผู้คนที่นั่นไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นองค์ชายหลี่ซ่งหมิน เขาพักค้างแรมที่เมืองเล็กๆนั่นอยู่หลายวัน เหตุการณ์ปกติดี ไม่มีวี่แววของเหตุร้ายแต่อย่างใด
จนวันหนึ่งเขาเดินสำรวจอาณาเขตรอบนอกหมู่บ้านที่เป็นถิ่นทุรกันดารไปจนถึงริมแม่น้ำ โดยมีพลทหารปลอมตัวเป็นชาวบ้านติดตามแค่ไม่กี่นาย คาดไม่ถึงจะมีกลุ่มโจรป่าปรากฏขึ้น
กลุ่มโจรพวกนั้นหากินด้วยวิธีการรับจ้างฆ่าคนตามใบสั่ง ตัดหัวเพื่อไปรับเงิน พวกมันลงมืออย่างโหดเหี้ยม ฝีมือแข็งแกร่งร้ายกาจ ฆ่าทหารที่ติดตามเขาตายจนหมด เหลือเขาเพียงคนเดียว
เขาต่อสู้อยู่เพียงลำพังกับกลุ่มโจรป่ามากมายพวกนั้นเป็นเวลานาน
นานจนแทบจะหมดแรง
จังหวะที่เขากระเด็นไปตกลงที่ริมแม่น้ำ เขาคิดว่าจะกระโดดลงน้ำเพื่อพรางตัว นั่นอาจจะเป็นหนทางรอดของเขา ธนูดอกนั้นเขาสามารถหลบได้เพียงเบี่ยงตัวลงน้ำไป
แต่ตรงนั้นกลับมีหญิงสาวนางหนึ่งนั่งอยู่ เนื้อตัวมอมแมม หน้าตาซีดเซียว
ถ้าเขาเบี่ยงตัวหลบธนู แน่นอนว่าธนูดอกนั้นคงตรงเข้าปักหัวใจของนางอย่างแน่นอน
ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไร
ด้วยสัญชาตญาณของเขา ทำให้เขาเอาตัวบังธนูให้นาง
จู่ๆสตรีนางนั้นก็กอดไหล่ของเขาเอาไว้ราวกับหาหลักยึดก่อนจะยื่นมืออีกข้างไปยังกลุ่มโจร
สิ่งไม่คาดคิดพลันปรากฎขึ้น
กลุ่มโจรพวกนั้นกระเด็นไปคนละทิศละทาง
พวกมันสลบไสลแน่นิ่งไป
สตรีตรงหน้าเขาไอจนเป็นเลือดออกมาและหมดสติไป เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นพลังเฮือกสุดท้ายของนาง
นางได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะสลบไสลไปในอ้อมกอดของเขา
ตอนอยู่ในถ้ำแม้ว่านางแทบจะไม่มีเรี่ยวแรง แต่นางก็ยังช่วยดูแลเขา ทำแผลให้เขา
แผลจากธนูดอกนั้น
หลังจากนั้น สตรีนางเดิมยังมาช่วยเขาไว้จากชายชุดดำนั่น
เขาเพียงบังธนูดอกนั้นให้นาง แต่นางกลับช่วยเหลือเขาอยู่หลายครา
แม้นางจะบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย
แต่นางกลับมีน้ำใจ
และเหตุการณ์ล่าสุดก่อนจากกัน
ที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น...
ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาพลางคิดถึงใครบางคน
นางเหมือนอยู่ในใจของเขาตลอดเวลานับตั้งแต่เจอกัน
น่าแปลก
ทั้งๆที่แต่ไหนแต่ไรมา
เขาไม่เคยคิดจะสนใจสตรีนางใด
แต่กับนาง...
“องค์ชาย องค์ชายพะย่ะค่ะ องค์ชาย” นายทหารคนเดิม เรียกหลี่ซ่งหมินย้ำอยู่หลายครา เพราะว่าเขารายงานจบแล้ว แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากผู้เป็นนาย
“ข้าพอจะเดาได้ไม่ยากว่าใครกันที่เป็นตัวการใหญ่” หลี่ซ่งหมินเอ่ยขึ้นพลางหมุนตัวลงนั่งที่ตั่งใกล้ตัว
“แต่พยานและหลักฐาน เราไม่มีแล้ว ตอนนี้ทำได้เพียงระแวดระวังให้ดียิ่งขึ้น” เขาเอ่ยด้วยท่วงท่าสงบเยือกเย็น มิได้แสดงอาการใดๆออกมา
เขาเป็นคนที่มีบุคลิกเช่นนี้ ภายใต้หน้าตาเย็นชานั้น ไม่มีใครสามารถคาดเดาความคิดของเขาได้
“เช่นนั้นกระหม่อมจะเพิ่มกำลังรักษาการณ์ และคณะติดตาม พะย่ะค่ะ” นายทหารกล่าวอย่างแข็งขันพร้อมปฏิบัติภารกิจ
“อืม” ชายหนุ่มเพียงพยักหน้าน้อยๆ พร้อมยกมือเป็นสัญลักษณ์ให้นายทหารออกไป
เขาอยากอยู่อย่างสงบ
แต่ชีวิตเขาหาได้มีความสงบสุขไม่
ห้องส่วนตัวด้านในสุดของตำหนักราชบุตรเขย“แม่ทัพผู้นั่น น่าจะเริ่มเคลือบแคลงพวกเราแล้วเป็นแน่” หลี่ซ่งหมินกล่าววิเคราะห์ขณะช่วยหงเหม่ยหลงเปลี่ยนอาภรณ์อยู่ในห้องส่วนตัว“ข้ากำลังสนุกอยู่เชียว” หงเหม่ยหลงมุ่นคิ้วตอบอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่“สถานการณ์เริ่มตึงเครียดแล้ว จะเล่นสนุกอะไร” หลี่ซ่งหมินก้มหน้ามองหงเหม่ยหลงพลางเอ่ยเสียงดุ “แล้วที่ตามองค์ชายสามนั่นไป ให้เขาโอบไหล่ ข้ายังไม่ได้คิดบัญชี”“องค์ชายนั่นแรงเยอะมาก ข้ากับฉวนหยู่ร์ปลุกปล้ำกันพักใหญ่” หญิงสาวกล่าวพลางหัวเราะคิก หลี่ซ่งหมินถึงกับคิ้วกระตุกกับคำว่าปลุกปล้ำ“ข้าก็แรงเยอะใช่ย่อย เจ้าก็รู้” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเครียด“แน่นอน ข้ารู้” หญิงสาวยิ้มพราย อย่างนึกสนุก “เจ้า!” หลี่ซ่งหมินขมวดคิ้วมุ่นสีหน้าขัดเคือง“อะไร” หงเหม่ยหลงเอื้อมแขนโอบรอบลำคอของหลี่ซื่อ หมินพลางหยอกเย้า “ท่านกำลังหึงหวงข้าหรือ หืม...”หลี่ซ่งหมินก้มมองใบหน้าของนางที่กำลังส่งยิ้มเปี่ยมเสน่ห์พร้อมสายตาคมเฉี่ยวทอประกายระยิบระยับจึงบ่นพึมพำในลำคอ “ยั่วไม่ดูสถานการณ์”จบคำชายหนุ่มเอื้อมมือข้างหนึ่งโอบรอบเอวบางก่อนจะกระชับเข้ามาประชิดร่างของตน อีกข้างหนึ่งจับต้นขากลมก
การต่อสู้ที่ไม่คาดคิดจึงเกิดขึ้นฉับพลัน เยว่เทียนกับท่านแม่ทัพใหญ่ต่อสู้กันไปมา ด้วยฝีมือสูสีอย่างไม่มีใครยอมใคร“โอ๊วววว...ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงหนึ่งพลันดังออกมาจากภายในห้องขององค์ชายสาม เสียงนั้นทำหลี่ซ่งหมินและเยว่เทียนคิดมากทันทีแม่ทัพใหญ่ได้จังหวะกระชับมีดดาบในมือหมายฟาดฟันใส่เยว่เทียน ชายหนุ่มพลันได้สติหันขวับหลบได้อย่างหวุดหวิดแต่ยังไม่พ้นคมดาบที่ยาวยื่น จึงได้แผลลากยาวที่แผ่นอกสายหนึ่ง หลี่ซ่งหมินไม่รอช้ารีบกระโจนเข้าไปจัดการกับแม่ทัพใหญ่ผู้นั้นในทันที แม่ทัพใหญ่รู้สึกตัวว่าสู้หลี่ซ่งหมินไม่ได้ อีกทั้งยังได้แผลลากยาวที่แขนขวาและลำตัวจนเลือดชุ่ม จึงตัดสินใจพุ่งทะยานหลบเลี่ยงออกไปจากสายตาของทั้งสองหนุ่มฉับพลัน“ตามหรือไม่” เยว่เทียนถามขึ้นขณะทำท่าจะกระโจนตามออกไป“ไม่ต้อง” หลี่ซ่งหมินรีบปราม “เข้าไปดูข้างในก่อน”เมื่อสองหนุ่มเข้ามาถึงในห้องที่เป็นต้นเสียง ทั้งสองถึงกับชะงักงันถลึงตาโต หงเหม่ยหลงและหลิวฉวนหยู่ร์ในสภาพเปียกปอน อาภรณ์แนบสนิทเข้ารูปกับลำตัว เผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างเด่นชัด กำลังยืนคร่อมร่างขององค์ชายสามอยู่ในอ่างน้ำขนาดใหญ่“นั่นเจ้ากำลังทำอะไร” หลี่ซ่งหมินแล
ระหว่างทางเดินทอดยาวของอาณาเขตพระราชวังฝ่ายหน้า“ชายารักของข้า” เสียงทุ้มนุ่มลึกของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของหลิวฉวนหยูร์และหงเหม่ยหลงที่กำลังเดินสำรวจพระราชวังตามคำสั่งของหลี่ซ่งหมิน“เจ้าเป็นชายารักของข้า ใช่หรือไม่” เสียงนั้นยังคงดังเนิบๆอยู่ด้านหลังของสองสาว“เจ้าเอาชุดชายาของเจ้านี่มารึ” หงเหม่ยหลงกระซิบถามโดยไม่หันหน้าไปมองหลิวฉวนหยู่ร์กลอกตาไปมา ก่อนตอบ “สงสัยจะใช่ ”“…” หงเหม่ยหลงมองหลิวฉวนหยู่ร์นิ่งๆก่อนทำท่าจะพากัน เดินผละไป เจ้าของเสียงนั้นเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม เขาคือองค์ชายสามแห่งแคว้นเว่ย เขารีบเดินมาดักหน้าทั้งสองเอาไว้ พลางเอ่ย“จะรีบไปไหน เจ้าคงเป็นสาวงามอุ่นเตียงของข้าเช่นกัน”เขากล่าวขณะยืนขวางทางหงเหม่ยหลงหญิงสาวเพียงหรี่ตามองไม่ตอบคำ หลิวฉวนหยู่ร์ก็เช่นกัน“แม้ข้านั้นจะมีชายาและสาวงามมากหน้าหลายตา แต่ข้าจำพวกเจ้าได้ดี งดงามอย่างนี้” ชายหนุ่มเอ่ยเกี้ยวพาราสีอย่างกรุ้มกริ่ม หลิวฉวนหยู่ร์นึกระอากับสายตาของบุคลากรในแคว้นนี้จริงๆ“ทูลองค์ชายสาม สตรีสองนางนี้ กระหม่อมคิดว่าไม่น่าไว้ใจ พะย่ะคะ เมื่อครู่กระหม่อมได้ยินเสียงทหารสองคนเหมือนถูกทำร้ายบริเวณนี้” เสีย
ข่าวการฆ่าตัวตายขององค์หญิงเว่ยเชี่ยนเสวี่ยสร้างความเศร้าโศกเสียใจในแก่คนในพระราชวังอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะฮ่องเต้และฮองเฮา ส่วนสาเหตุของการตัดสินใจฆ่าตัวตายนั้นยังคงถูกเก็บงำเอาไว้อย่างคลุมเครือ คงเหลือแต่ความเคลือบแคลงสงสัยเพราะบรรดาบ่าวไพร่ที่ติดตามองค์หญิงเว่ยเชี่ยนเสวี่ยนั้นถูกฮองเฮาสั่งประหารทั้งหมด จึงไม่มีใครคิดกล้าที่จะสืบสาวราวเรื่อง หรืออยากรู้เรื่องราวใดๆนอกจากความโศกเศร้าที่เกิดจากการฆ่าตัวตายขององค์หญิงเว่ยเชี่ยนเสวี่ยแล้วภายในพระราชวังแห่งนี้ยังวุ่นวายโกลาหลด้วยเรื่องการหายตัวไปของเหล่าองค์หญิงที่เสนอตัวเองเป็นชายาเชื่อมสัมพันธ์กับหลี่ซ่งหมินหลี่ซ่งหมินจึงถือโอกาสในขณะที่วังหลวงแห่งนี้กำลังวุ่นวาย วางแผนแทรกซึมเข้าไปในส่วนต่างๆของวังหลวงเยว่เทียนเข้าไปในกองทัพ เพื่อสืบข่าวการเคลื่อนไหวต่างๆของทางการทหาร รวมถึงคำสั่งเคลื่อนพลที่อาจจะเกิดขึ้นซือเว่ยคอยติดต่อกับสายลับและคอยสังเกตการกลุ่มที่อาจจะก่อกบฏ ทั้งยังส่งคนไปคอยยุยงปลุกปั่นโดยใช้ความวุ่นวายภายในราชสำนักในเวลานี้ให้เป็นประโยชน์เฟิงเหวินปลอมเป็นขันทีเพื่อเข้าถึงเหล่าเชื้อพระวงศ์ คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวต่างๆของพว
“เราไม่จำเป็นต้องใช้คนเยอะ ข้าพอจะมีแผนอยู่ในใจ” หลี่ซ่งหมินกล่าวขึ้นพร้อมกับเปิดแผนผังของพระราชวังออกให้ทุกคนได้ดูพร้อมกัน“ทูลองค์ชาย แผนผังแผ่นนี้ผู้ใดเป็นคนวาด” ซือเว่ยถาม ขึ้นเพราะแผนผังแผ่นนี้ช่างงดงามกว่าแผนผังทั่วไปมากมายนักเฟิงเหวินได้จังหวะจึงเอ่ยแทรก “ฝีมือเว่ยฟาง เมียรักของข้าเอง นางเก่งใช่ย่อย” ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจในภรรยาของตน“ช่างงดงามยิ่งนัก” ซือเว่ยหยิบขึ้นมาดูใกล้ๆ“จริงด้วย” เยว่เทียนแย่งมาดูบ้าง ชายหนุ่มทั้งสามจึงหันไปสนใจลวดลายบนแผนผังมากกว่าหลี่ซ่งหมินที่ตั้งใจจะวางแผนการศึกกับแคว้นเว่ย ทำให้หลี่ซ่งหมินได้แต่มองบรรดาลูกน้องตาปริบๆนี่เขาคิดถูกแล้วใช่หรือไม่? ขณะนี้ชายหนุ่มคิดทบทวนเกี่ยวกับตัวเขาเองเป็นที่แน่นอนแล้วสำหรับเขา หน้าที่ของโอรสย่อมสำคัญ หน้าที่รัชทายาทย่อมสำคัญ บ้านเมืองและประชาชนย่อมสำคัญแต่ที่สำคัญไม่แพ้กัน คือหน้าที่ของพ่อ และสามีหงเหม่ยหลงและหลี่หงจินหยาง ย่อมสำคัญไม่แพ้สิ่งใดและตัวเขาเองก็เริ่มเบื่อเต็มที กับการเป็นเบี้ยทางการเมืองเช่นนี้ตำแหน่งของเขาเป็นที่หมายปอง คนส่วนใหญ่อยากได้ตัวเขาเพราะความสามารถและตำแหน่งของเขาเดิมที
“เสด็จแม่เพคะ หม่อมฉันมิได้มีคนรัก และบุรุษผู้นั้น เป็นคนร้ายนำมาวางไว้ข้างกายหม่อมฉันจริงๆนะ เพคะ”เว่ยเชี่ยนเสวี่ยโอดครวญอย่างต่อเนื่องเมื่อกรามของนางกลับเข้าที่แล้ว“ทรงเชื่อหม่อมฉันนะเพคะ” นางยังคงโอดครวญฮองเฮายังคงนิ่งงัน นางเห็นกับตาว่าธิดาของนางนอนเหยียดยาวใต้ร่างของบุรุษผู้นั้นเว่ยเชี่ยนเสวี่ยยังคงส่งน้ำเสียงออดอ้อน “หม่อมฉันสู้อุตส่าห์เสแสร้งแกล้งป่วย ให้องค์ชายหลี่ซ่งหมินรั้งอยู่ไม่ต้องกลับไปหาหญิงคนรักที่แคว้นเดิม ขอแค่ทำให้เขาลืมรักเก่าจนสิ้น”นางกล่าวด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น “ในที่สุด ก็ได้อภิเษกสมรสแล้ว ไยหม่อมฉันจะต้องหน้ามืดตาบอด”ฮองเฮาเพียงปรายตามองธิดาของตนนิ่งๆ ต่อให้นางเชื่อ แล้วเหล่าบ่าวไพร่เล่า กี่สายตาที่ทอดมองภาพนั้นเว่ยเชี่ยนเสวี่ยยังคงส่งเสียงอ่อนหวาน“องค์ชายหลี่ซ่งหมินทั้งรูปงามทั้งตำแหน่งสูงส่ง หม่อมฉันใคร่ได้พระองค์ยิ่งนัก เสด็จแม่ ...หม่อมฉันถูกใส่ร้าย สตรีนางนั้น...”ฮองเฮาเอ่ยถามเมื่อเห็นเว่ยเชี่ยนเสวี่ยหยุดกล่าวกลางคัน “สตรีนางนั้น สตรีนางไหน ทำไม”“นางกำนัลเพคะ สตรีนางนั้นเป็นนางกำนัล”เว่ยเชี่ยนเสวี่ยรีบปาดน้ำตาก่อนจะพาร่างงดงามคลานเข่า