“ผมภูมิพยัต เรียกพยัตก็พอ อ้อชื่อผมเขียนด้วยพานยักษ์ไม้หันอากาศตอเต่า พยัตที่แปลว่าฉลาดเฉียบแหลม อย่าสะกดผิดล่ะ” เขาบอกแล้วหยิบกางเกงยีนมาสวม
“คุณ!ไปใส่เสื้อผ้าในห้องน้ำซิ!” หญิงสาวยกมือขึ้นปิดหน้า
“อะไรกันคุณนี่ก็...” เขาพลอยเขินไปด้วย จำใจต้องหยิบเสื้อผ้าเข้าไปในห้องน้ำอีกรอบ นึกแปลกใจทำไมต้องทำตามเธอสั่งด้วยนะ เขาเป็นเจ้านายนี่
ไปรยาถอนหายใจเฮือกใหญ่ รีบเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าให้ว่าที่เจ้านายอย่างรวดเร็วแต่เรียบร้อย กระนั้นก็อดกังวลคนที่จะตามมาจับตัวเธอไม่ได้ ไม่เอาล่ะ ยังไงเธอก็ไม่ยอมถูกส่งไปขายตัวใช้หนี้พนันให้อาธงชัยเด็ดขาด ถึงจะเคยเลี้ยงดูเธอมาอย่างไร แต่จะให้ตอบแทนบุญคุณแบบนี้เธอยอมไม่ได้ เธอได้แต่ขอโทษคุณอาในใจ ขอไปตายเอาดาบหน้า หากหาลู่ทางใช้หนี้ได้เมื่อไหร่จะติดต่อกลับไป
ไม่กี่นาทีต่อมา ภูมิพยัตก็ออกมาจากห้องน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ด้วยเสื้อยืดกับกางเกงยีนเพิ่มเติมด้วยเสื้อเชิ้ตลายสก็อต เขาสวมรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อเสร็จก็หยิบกุญแจรถจะเดินออกมา หญิงสาวถือกระเป๋าตัวเองและถือเป้เสื้อผ้าให้เขา แต่เพราะเธอตัวเล็กมันดูขัดหูขัดตาจนชายหนุ่มเป็นฝ่ายคว้ากระเป๋าของเธอมาถือให้เสียเอง
“คุณพยัตค่ะ นั่นกระเป๋าฉันนะคะ” เธอพูดขึ้นแล้วก้าวเร็วๆ ตามร่างสูงที่ก้าวช้าแต่ก้าวได้ยาวกว่าเธอนัก
“ก็รู้แล้ว คุณมีสัมภาระอะไรอย่างอื่นอีกไหม?”
“ไม่ค่ะ ไม่มี แต่ฉันเป็นลูกจ้างนะคะ” เธอจะตกงานตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มหรือเปล่านะ ไปรยาเอ๊ย!
“รู้แล้ว แล้วรู้ไว้ด้วยว่าที่ทำให้นี่ไม่ได้เห็นใจ แต่ไม่อยากให้คนอื่นมองผมไม่ดี”
ภูมิพยัตพูดเสียงเรียบแล้วลงลิฟต์ อดเหลือบตามองคนตัวเล็กไม่ได้ แค่เดินตามยังหอบแล้วจะมีแรงทำงานบ้านอะไรไหวเนี้ย! นาทีต่อมาทั้งสองก็มาหยุดที่เคาน์เตอร์ ไปรยาก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาใครและกลัวใครจะเห็นหน้า เขาคืนกุญแจห้องแล้วเดินนำออกมาที่รถกระบะที่จอดอยู่ ยัดกระเป๋าใส่เบาะหลังรถแล้ว แต่เพราะเป็นรถกระบะโฟว์วิลสูง เขาเห็นท่าทางปีนขึ้นรถของเธอแล้วก็ส่ายหน้าไปมา จำใจจับเอวเธอไว้แล้วช่วยประคองให้เธอเข้าไปในรถได้ง่ายขึ้น
“ขอบคุณค่ะ” เธอทำหน้าไม่ถูก “รถคุณสูงไปนะ”
“รถผมผิดซินะ”
“ก็ฉันตัวเล็กนี่”
“ทั้งตัวเล็กและขาสั้นด้วย”
“ปาก...”
“อะไรนะ”
“เปล่าค่ะ”
“งั้นเราไปเถอะ”
“ค่ะ”
ไปรยาได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตามมาแน่ๆ ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น แต่ต่อไปนี้ขอลิขิตชีวิตตัวเองเถอะนะ ไปรยา!
อาจเป็นเพราะความเครียดและเสียงเพลงเบาๆในรถ ทำให้ไปรยาเผลอหลับในรถอย่างไม่รู้ตัว มารู้สึกตัวอีกที ก็เหมือนรถโคลงไปเคลงมา อาจเพราะถนนขรุขระ เธอสะลึมสะลือตื่นไม่เต็มตา แต่รู้สึกว่ามีมือใหญ่ประคองศีรษะไม่ให้ไปกระแทกกับกระจกรถ ฃ
มือหยาบกระด้างนั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด เธอไม่ฝืนและปล่อยให้ตัวเองหลับตาอยู่อย่างนั้นจนรถผ่านทางขรุขระ มือนั้นจึงถอยห่างและไม่นานนักรถก็จอดสนิท เธอลืมตาก่อนที่เขาจะเรียก เขาเพียงพยักหน้าให้เหมือนจะบอกว่าถึงแล้ว ไปรยาปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วค่อยๆ ก้าวลงจากรถ ไม่อยากให้เขาต้องมาคอยดูและหาเรื่องแซวเธออีก เขานั้นแหละผิดที่ดันตัวสูงยังกะเสาไฟฟ้า
“หลับยาวเลยนะคุณ ไม่กลัวผมพาเข้าป่าเข้าดงที่ไหนรึ”
“ถ้าคุณจะทำแบบนั้นจริง คงไม่ห่วงว่าฉันจะกระแทกกระจกรถหรอกค่ะ” เธอพูดไม่ทันคิด พอเห็นเขาเงียบไปก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ หรือตัวเองพูดอะไรผิดไป
“เข้าบ้านเถอะ ผมเหนื่อยแล้ว”
“ค่ะ”
หญิงสาวเก็บปากเก็บคำ ยอมเดินตามร่างสูงอย่างว่าง่าย บ้านหลังน้อยน่ารักอยู่เบื้องหน้า ทางขวามือมีบ้านอีกหลังใหญ่กว่าเท่าตัว แต่มันก็มืดเกินกว่าเธอจะเห็นรายละเอียดอื่นๆ รู้เพียงแค่ว่าที่ไหนห่างไกลตัวอำเภอเหลือเกิน ภูมิพยัตไขกุญแจบ้านเปิดประตู แล้วเอื้อมมือเปิดไฟให้บ้านสว่างก่อนจะเบี่ยงตัวให้หญิงสาวก้าวเข้ามา
“บ้านมีสองชั้น ห้องนอนผมอยู่ชั้นบน ห้องคุณอยู่ชั้นล่าง” เขาชี้นิ้วบอกทาง “คืนนี้พักผ่อนก่อนพรุ่งนี้คอยว่ากัน”
“เอ่อ...” เธอเรียกเขาไว้ก่อน ร่างสูงชะงักแล้วหันมามองด้วยสายตาคมกริบ
“ว่า?”
“คือ...ฉันหิวค่ะ ขอทำอะไรกินหน่อยได้ไหมคะ”
“อ่อ ลืมไป เห็นหลับก็เลยไม่ได้ถามว่าจะแวะกินอะไรไหม?”
เขาเองก็ขับรถเพลินไป ปกติขับรถคนเดียวไม่ค่อยมีตุ๊กตาหน้ารถเสียด้วยสิ
“คุณหิวไหมคะ ฉันจะทำเผื่อ แต่ฉันไม่รู้ว่าในครัวคุณมีอะไรบ้าง”
“คงมีพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่นะ ลองดูแล้วกัน”
ไปรยาได้แต่พยักหน้ารับ ดูท่าทางว่าที่เจ้านายจะไม่ชอบคนพูดมาก เธอเลยไม่เซ้าซี้ที่จะถามว่าเขาจะกินด้วยกันไหม? แต่เมื่อเห็นเขาเดินขึ้นบันไดไปแล้ว เธอก็เอากระเป๋าเสื้อผ้าไปไว้ในห้องตัวเอง เพียงเปิดไฟให้แสงสว่างสาดส่อง เธอผ่อนคลายลงมาก ไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้ว เธอวางกระเป๋าไว้ข้างเตียง รู้สึกว่าในห้องจะมีฝุ่นอยู่บ้าง คล้ายไม่มีคนพักมานาน มือเรียวหยิบผ้าคลุมที่นอนออกสะบัด ฝุ่นฟุ้งขึ้นจนเผลอจาม เธอจึงเดินออกมาข้างนอก มองหาห้องน้ำซึ่งอยู่ใกล้ส่วนห้องครัว จัดการตัวเองง่ายๆ แล้วออกมาสำรวจดูครัว ในตู้เย็นมีน้ำเปล่าและเบียร์กระป๋องครึ่งโหล ผักผลไม้อะไรไม่มีเลย แต่ยังดีที่เครื่องปรุงทุกอย่างมีพร้อม และแน่นอนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ด้วย
ไปรยาต้มน้ำร้อนและได้ไข่ไก่มาเตรียมใส่ถ้วย นี่คงเป็นอาหารมื้อแรกของวันเลยก็ว่าได้ แค่คิดน้ำตาก็พาลจะไหล นึกขอโทษแม่บ้านตัวจริงที่เธอสวมรอยเสียแล้ว จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเธอต้องหนีเอาตัวรอดนี่นะ
โชคชะตาเล่นตลกกับเราได้เพียงนี่เชียวหรือ
ทำไมกัน แค่ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ทุกอย่างมันช่างดูงดงามเรียบง่าย เธอเป็นคนง่ายๆ ไม่มีปากมีเสียกับใคร ตั้งแต่พ่อกับแม่จากไป เธอก็มาอยู่กับครอบครัวของคุณอาธงชัยในฐานะลูกบุญธรรม คุณอาธงชัยมีลูกสาวคนโตชื่อแหวนและลูกชายชื่อโอม อายุมากกว่าเธอ3-4ปี แต่เธอก็ไม่ค่อยสนิทกับทั้งสองนัก ยังไงก็รู้สึกเป็นส่วนเกิน เธอเรียนจบในระดับปริญญาตรีอยากจะเรียนต่อปริญญาโทแต่คุณอาธงชัยไม่เห็นด้วย แต่กระนั้นก็ยังโชคดีที่เธอได้ทำงานที่เธอ เธอทำงานเป็นครูที่โรงเรียนประถมเอกชนแห่งหนึ่ง รายได้พอเลี้ยงตัวเองได้
ความจริงไปรยาอยากออกจากบ้านนั้นมาเช่าบ้านหรืออพาร์ทเม้นต์อยู่เอง แต่ก็อีกนั้นแหละ คุณอาธงชัยไม่เห็นด้วยแถมอาสะใภ้ยังตำหนิว่าเธออกตัญญู เธอจึงได้แต่ทนทำใจ จนเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วคุณอาธงชัยบอกเธอว่า
“เพื่อนอาเขาหาครูไปสอนลูกเขาน่ะ ลูกเขาเป็นเด็กพิเศษเข้าเรียนแบบเด็กปกติไม่ได้ อยากจะจ้างไปสอนที่บ้านเป็นลักษณะโฮมสกูล”
“แล้วงานประจำปรายละคะ”
“เพื่อนอาให้เงินเดือนเยอะนะ สองหมื่นห้าเชียว กินอยู่บ้านเขา สอนเด็กคนเดียวไม่เหนื่อยเหมือนสอนเด็กยี่สิบสามสิบคนหรอก”
ไปรยาไม่ได้อยากลาออกจากงานเลยสักนิด ก็อาสะใภ้อีกนั้นแหละที่พูดเรื่องบุญคุณจนเธอจำใจ โชคดีที่เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่เธอจึงหยุดงานได้ในทันที จัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าใบย่อม คิดว่าหากต้องใช้อะไรเพิ่มเติมคุณอาจะส่งมาให้ได้ ออกจากกรุงเทพฯ มาไกลถึงระยอง เธอออกจะแปลกใจที่คุณอาพาเธอมาที่โรงแรม แล้วให้เธอใครบางคนในห้อง เธอเอะใจ ว่าทำไมถึงพาเธอมาที่นี่ เค้นถามจนได้ความจริงที่ทำให้เธอถึงกับช็อค!
“ห้าล้าน! คุณอาเล่นพนันเสียเงินไปห้าล้าน! ทำไมคุณอาไม่เอาบ้านเอารถไปเข้าธนาคารละคะ? ทำไมต้องให้ปรายมาที่นี่”“อาหมุนเงินไม่ทันหรอก ทั้งบ้านทั้งรถก็ติดไฟแนนซ์ไปหมดแล้ว ปรายต้องช่วยอานะ”“จะช่วยอายังไงคะ ปรายไม่มีเงินขนาดนั้นหรอกค่ะ”“ก็หนูไง”“อะไรนะคะ ปรายไม่เข้าใจ”“ก็เอาตัวปรายไปใช้หนี้แทนก่อนไง”“คุณหมายขายปรายใช้หนี้เหรอคะ” “อย่าพูดแบบนั้นซิ อาเองก็เสียใจนะ แต่มันจำเป็นจริงๆ เสี่ยเขาเป็นคนดี ทำตัวดีๆ เดี๋ยวเขาก็ปล่อยตัวปรายเองนั้นแหละ”“คนดีที่ไหนเขาทำกันแบบนี้ค่ะ” คราวนี้เธอขึ้นเสียง และรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังจะเข้ามาไม่มีเวลาให้คิดต่อรองใดๆ ทั้งนั้น ไปรยาคว้ากระเป๋าตัวเองได้ก็อาศัยจังหวะที่ประตูเปิดออก เธอแทรกตัวออกไปทันที วิ่งไปตามทาง ได้ยินเสียงตะโกนเรียกไล่หลัง คิดว่าวิ่งแบบนี้อีกฝ่ายต้องตามทันแน่ๆ บังเอิญเธอเห็นประตูห้องพักห้องหนึ่งเปิดแง้มไว้ เธอจึงแทรกเข้าไปและแอบมองเห็นคนที่วิ่งไล่ตาม3-4คนวิ่งเลยไป ยังไม่ทันได้ถอนหายใจก็รู้สึกว่าในห้องไม่ได้มีเธออยู่คนเดียว“เจนนี่ส่งมาใช่ไหม” ไปรยาจำน้ำเสียงดุดันของเขาได้ เธอนี่ช่างหนีเสือปะจระเข้เสียจริง ยิ่งเห็นว่าเขามีเพียงผ้าข
“เป็นแม่บ้านจริงๆ ผมหาคนมาแทนป้าประนอมได้แค่นี้ล่ะ” เขาเสยผมทำหน้าเบื่อหน่าย แต่พอเหลือบมองใบหน้าคนข้างๆ ที่เขินหน้าแดงจัดก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเธอมีใบหน้าสวย ดวงตากลมโต ปากนิด จมูกหน่อย มีอะไรให้ชวนมองไม่น้อยเหมือนกัน“ชื่ออะไรล่ะหนู” ผู้เป็นพ่อถามด้วยความเอ็นดู“ไปรยาค่ะ เรียกปรายก็ได้” เธอยกมือไหว้อย่างมีมารยาททำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองรู้สึกถูกชะตา “คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายต้องการใช้อะไรบอกปรายได้เลยนะคะ เห็นตัวเล็กแบบนี้ปรายเก่งแรงเยอะนะคะ”“เรียกห่างเหินจัง เรียกพ่อกับแม่ก็ได้ลูก” “แค่กๆ” คราวนี้ภูมิพยัตสำลักน้ำลายตัวเอง ไม่คิดว่าแม่ของเขาจะแสดงความชื่นชมออกหน้าออกตาแบบนี้ “มิกล้าค่ะ ปรายมาอยู่ในฐานะลูกจ้าง ไม่สมควรตีตนเสมอนาย” “พูดจาน่าฟังดีจัง เอาเถอะๆ งานที่นี่ก็มีแค่ดูแลคนแก่อย่างเราสองคนกับลูกชายหัวรั้นอีกคน แต่ถ้ามันกล้าหือละก็มาฟ้องพ่อกับแม่ได้นะ เอ่อแล้วนี่นอนที่ไหนล่ะ มานอนเรือนใหญ่กับพ่อแม่ก็ได้นะ ไอ้ลูกบ้านี่มันก็สร้างบ้านหลังใหญ่แต่ให้พ่อกับแม่อยู่กันแค่สองคน ตัวมันรึดันไปอยู่อีกหลัง”“ปรายอยู่บ้านผม” ภูมิพยัตพูดตัดบท “ผมไม่ไว้ใจเกิดมาลักขโมยหรือทำร้ายพ่อกับแม่ขึ้นมาจะ
“ไอ้เสือ หนูปรายเขาก็ทักทายก็ตอบเขาหน่อยซิ” คุณบุญมาดุลูกชาย“ต้องพูดอะไร ก็เห็นอยู่แล้วว่ายืนอยู่ตรงนี้ก็แสดงว่ากลับมาแล้วซิ คนถามนั้นแหละถามอะไรไม่รู้จักคิด”“เขาไม่ได้ถามเขาเรียกคำทักทาย” คราวนี้คุณรำเพยช่วยอธิบาย แต่ไม่หรอกนางเข้าข้างไปรยาสุดฤทธิ์ “พ่อแม่ครับ นั่นแม่บ้านนะครับ แล้วนี่ผมเป็นลูก สับสนอะไรหรือเปล่า” เขาทำหน้าไม่พอใจเหมือนเด็กไม่รู้ตัว“น้ำเย็นค่ะคุณพยัต” ไปรยาเปลี่ยนเรื่อง รีบรินน้ำใส่แก้วส่งให้ เขารับมาแล้วดื่มรวดเดียวเหมือนโมโห จะโกรธอะไรนักล่ะ เธอก็ตั้งใจทำงานดีแล้วนี่นะ วันนี้สนุกกับการเข้าครัวมาก คุณรำเพยชอบทำอาหารแต่อยู่กันแค่สามคนพ่อแม่ลูก จึงไม่ค่อยได้แสดงฝีมือนัก เธอพลอยได้ความรู้ใหม่ไปด้วย“พ่อกับแม่กำลังจะกินข้าวเย็นพอดี เอ็งมากินพร้อมกันไหมล่ะ” คุณบุญมาถามลูกชาย แม้จะมีกันอยู่แค่นี้แต่ลูกชายก็โตเกินกว่าจะมาออดอ้อนเอาอะไร จะว่าไปก็โตเกินวัยของเขานั้นแหละ เพราะทำงานเรียนรู้งานมาตั้งแต่วัยรุ่นก็ว่าได้ ภูมิพยัตเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงานให้โรงงานเจริญเติบโตก้าวหน้ามาถึงทุกวันนี้ชายหนุ่มมองมาทางแม่บ้านคนใหม่เหมือนจับผิดแล้วพยักหน้ารับ ถ้าเป็นเมื่อก่
“ค่ะ ปรายทราบแล้ว” เธอเชิดหน้ามองเขาตรงๆไม่กลัวคำขู่ของเขา “แต่ปรายก็อยากให้คุณทราบ ปรายมาอยู่ที่นี่ด้วยความจำเป็น แต่ไม่เคยคิดร้ายอะไรกับคุณ และโดยเฉพาะคุณท่านทั้งสอง”ภูมิพยัตพนักหน้าและเหยียดยิ้มให้ เขาปล่อยให้เธอจัดการเก็บครัวเองแล้วเดินออกมาที่ด้านนอก พ่อของเขามองหน้าแล้วเรียกไว้“ไอ้เสือพาพ่อไปห้องหนังสือหน่อยซิ”“ครับ” ชายหนุ่มรู้ดีว่า ถ้าพ่อเรียกให้พาไปห้องหนังสือทีไร ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ ภูมิพยักพยุงพ่อเดินเข้ามาในห้องหนังสือเล็กๆ ที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือนานาชนิด ทั้งหนังสือสำหรับอ่านและบางเล่มเป็นหนังสือสะสม “เอ็งไปเจอหนูปรายที่ไหน” คุณบุญมาเปิดประเด็น“ก็...” จะบอกยังไงว่าแม่เล้าส่งมาให้ เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็เข้าใจผิดว่าเขาเอาผู้หญิงอย่างว่าเข้ามาบ้าน“เอาล่ะๆ หนูปรายบอกพ่อแล้วว่าเจนนี่ส่งตัวมาให้”“มันไม่ใช่อย่างที่พ่อคิดนะ”“เอ็งรู้เรอะว่าข้าคิดอะไรอยู่”“เอ่อ...เอ้า พ่อจะเอายังไงล่ะ จะให้ผมส่งกลับไหม?”“ไม่ใช่! พ่อกับแม่สงสารหนูปราย เธอคงมีความจำเป็นอะไรบ้างอย่างที่ต้องมาทำงานแบบนี้”“ก็เงินไง จะอะไรอีก” ภูมิพยัตพูดเหยียดๆ ผู้หญิงดีๆที่ไหนจะมาขายตัวแลกเงิน“ก็ใช่ มันก็ค
หญิงสาวรู้ดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์โกรธที่เขาจะมองเธอในแง่ร้ายแบบนั้น แต่เธอก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหนกันแน่ บางทีก็อ่อนโยนกับเธอ บางครั้งก็ดูดุร้ายเหมือนชื่อของเขานั้นแหละ หรือเพราะเขาคือเสือ เวลาอยู่ใกล้เธอเลยคอยหวาดระแวงว่าจะโดนตะครุบทุกทีไปรยาเดินไปเรือนหลังใหญ่ เดินอ้อมไปด้านหลังก็ถึงห้องครัว เป็นไปตามคาดว่าคุณรำเพยตื่นแต่เช้าตรู่แล้ว“ให้หนูช่วยนะคะคุณท่าน”“ตื่นแต่เช้าเลยนะหนูปราย”“ตื่นเวลานี้จนชินแล้วค่ะ” เธอรีบเข้าไปยืนข้างๆ จะได้ดูว่าตัวเองจะทำอะไรได้บ้าง “คุณท่านจะทำอะไรคะ”“เตรียมอาหารจะใส่บาตรจ๊ะ”“น่าจะบอกปรายตั้งแต่เมื่อวานนะคะ จะได้มาช่วยเตรียมให้เร็วกว่านี้ มาค่ะ คุณท่านเดี๋ยวหนูทำเอง” ไปรยาหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวมแล้วลงมือหุงข้าว “เอาเป็นผัดผักกับต้มจืดไหมคะ”“แม่ก็คิดแบบนั้นอยู่เหมือนกันจ๊ะ”“ปกติคุณท่านทำอาหารใส่บาตรทุกวันหรือคะ ปรายจะได้เตรียมให้”“จ๊ะ แต่หนูปรายไม่ต้องลำบากก็ได้นะ”“ไม่ลำบากเลยค่ะ ปรายตื่นเช้าอยู่แล้วจะได้ทราบว่าต้องทำอะไรบ้าง คุณท่านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวปรายจัดสำรับไว้เตรียมถวายพระให้ค่ะ”“ก็ดีเหมือนกันค่ะ พระท่านจะผ่านมาป
มีเพียงสายตาคมกริบที่จ้องมองไปรยาก่อนที่ก้าวออกมา ภูมิพยัตมองไปยังทางเดิน คิดถึงร่างเนียนนุ่มในวงแขนและกลิ่นหอมละมุนที่ชวนให้เขากระสับกระส่าย เขาไล่ให้เธอไปนอนแต่หัวค่ำ แต่ตัวเขาเองที่นอนไม่หลับ จนต้องเดินลงมานั่งจิบเบียร์อยู่ตามลำพัง และเฝ้ามองว่าเธอจะเปิดประตูห้องออกตอนไหน และ..เขาพบว่าตัวเองนั้นคอยเก้อมือใหญ่หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีน กดเบอร์คนสนิทแล้วกรอกเสียงลงไป“ไอ้ตุ้มเหรอ”“ครับเจ้านาย”“มาซ่อมโคมไฟทางเดินที่บ้านให้หน่อยซิ”“มันก็เสียตั้งนานแล้วนี่ครับ แล้วผมก็บอกเจ้านายให้ซ่อมนานแล้วด้วย”“เออ! แต่ตอนนี้อยากให้มาซ่อม เอ็งจะมาซ่อมไหม? หรือว่าจะให้คนอื่นมาทำแทนแล้วเอ็งก็ไปหางานที่อื่นทำ!”“ครับๆเจ้านาย ผมเอาอุปกรณ์แล้วจะเข้าไปเลยครับ”“เออให้มันเร็วเหมือนเวลาเรียกไปกินเหล้าหน่อย”“ครับเจ้านาย”ภูมิพยัตไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน จะไปห่วงทำไมยัยเด็กตัวเล็กขาสั้นแบบนั้น แต่ถ้าเมื่อวานเขาไม่เดินมาส่องดูว่าเธอจะกลับมายังไง ป่านนี้คงหน้าตาบวมปูนเพราะล้มกลิ้งไปแล้ว แต่นอกจากโคมไฟที่หัวเสาแล้ว พื้นที่ปูอิฐตัวหนอนก็ไม่เป็นระเบียบ เขาปล่อยทิ้งไม่ให้ใครมาดูแลนานแล้ว ชายหนุ่
ไปรยายิ้มหวาน เธอกลับเข้ามาในครัว เมื่อวานทำแกงไว้สามหม้อ มีเหลือเก็บใส่ตู้เย็นพอได้กินอยู่ แต่เธออยากทำอาหารใหม่ๆให้คุณท่านทั้งสองทานมากกว่าอุ่นของเก่า พอเห็นมีคนงานมาก็เลยลองถามดู ข้าวสวยก็น่าจะพอกินอยู่ และเธอใช้เวลาสิบนาทีจริงๆ อาหารก็อุ่นให้ร้อนพร้อมรับประทาน เธอตักใส่ถ้วยวางบนถาดแล้วเดินถือออกมาให้ คนงานเห็นเข้าก็รีบเข้ามาช่วย หามุมนั่งกินข้าวเที่ยง“น่ากินทั้งนั้นเลยครับคุณปราย เป็นบุญปากพวกเราจริงๆ”“พูดเกินไปแล้วค่ะ” หญิงสาวยิ้มเขินๆ“นี่มันอะไรกัน ทำงานกันเสร็จแล้วหรือไง” น้ำเสียงดุดันดังมาจากด้านหลัง ลูกน้องแต่ละคนพากันสะดุ้งโหย่งไม่คิดว่าภูมิพยัตจะกลับมาที่บ้านตอนนี้“นี่มันเที่ยงแล้ว พวกเขาก็พักทานอาหารมันก็เรื่องปกติไม่ใช่หรือคะ” ไปรยาเถียงหน้าตาเฉย บรรดาลูกน้องของภูมิพยัตถึงกับมองด้วยความตะลึง มีใครที่ไหนกล้าเถียงเจ้านายเขาล่ะ“แล้วนั้น!ต้มข่าไก่ใส่เห็ดของผมนี่!” มือใหญ่ชี้นิ้วไปที่ชามกับข้าว“ของแค่นี้ปรายทำให้ใหม่ก็ได้ค่ะ” ไปรยาส่ายหน้าไปมา นี่มันนิสัยเด็กชัดๆ ห่วงขนมของกินเนี้ย “คุณก็ทานข้าวพร้อมลูกน้องก็ได้นี่”ภูมิพยัตโคลงศีรษะไปมา “ผมต้องไปจันทบุรีสักสองวัน
“ฉลองกันหนักไปนิดหนึ่งครับคุณปราย” วินพูดขึ้นแล้วสะอึก กลิ่นเหล้าก็โชยคลุ้งไม่แพ้กัน “ช่างเถอะค่ะ เดี๋ยวปรายดูแลต่อเองค่ะ กลับไปพักผ่อนเถอะ”“ครับคุณปราย” วินยกมือไหว้ลา เดินตัวเซไปถึงประตูแล้วนึกได้ หมุนตัวกลับเอากุญแจรถยื่นให้พร้อมยิ้มแห้งๆ ไปรยาได้แต่ถอนหายใจ มองดูลูกน้องทั้งสองกลับไปพร้อมมอเตอร์ไซค์ที่ขับตามมาเมื่อครู่ เธอเดินไปปิดประตูบ้านให้เรียบร้อยแล้วไปดูสภาพคนเมา อะไรจะเมาได้ขนาดนี้ เธอถอนหายใจแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูสำหรับเช็ดหน้าและอ่างใส่น้ำ เดินกลับมาก็เห็นเขาเอนหลังพิงโซฟา ศีรษะพาดไปกับพนักพิงหลัง มือเรียวหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆแล้วเช็ดใบหน้าของเขา มือใหญ่ปัดมือเธอออกคล้ายรำคาญ พลอยทำให้หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดไปด้วย“อยู่นิ่งๆ สิคะ ปรายจะเช็ดตัวให้ จะได้สบายเนื้อสบายตัว”เธออดดุเขาไม่ได้ เสียงดุของเธอไม่ดังนักแต่ก็ทำให้เขาลืมตาขึ้นมอง ดวงตาของเขาฉ่ำหวาน โครงหน้าคมและเหนือริมฝีปากที่ยิ้มน้อยๆนั้นมีเรียวหนวดบางๆ เสื้อเชิ้ตของเขายับยู่ ไปรยาพยายามไม่สนใจสายตาของเขา บรรจงเช็ดใบหน้าและลำคอให้ มือเรียวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเขาครางในลำคออย่างพอใจ หญิงสาว
ปรินทรเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องทำอะไรมากเพียงนี้ เพราะคราบเลือดจางๆ บนที่นอนเขานะหรือ? สงสารหรือเห็นใจล่ะ? คนอย่างนายปรินทรเคยรู้สึกอะไรแบบนี้ด้วยหรือไง ชายหนุ่มหงุดหงิดตัวเอง ไม่อยากคิดใคร่ครวญหาคำตอบในเวลานี้ เขาสั่งให้คนขับรถจอดที่ร้านขายเสื้อผ้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง จำได้ว่าเคยมากับแม่ตอนที่แม่ยังอยู่ แต่ก็นานมากแล้วจริงๆ เดินเข้าไปในร้านแล้วก็ชี้ๆ เอาเสื้อผ้าสองสามชุดเผื่อให้หญิงสาว รวมทั้งชุดชั้นในด้วย สีหน้าเรียบนิ่งเล่นเอาพนักงานเองก็ไม่กล้าชวนคุยอะไร“เอ่อ...ใช่คุณมังกร ลูกชายคุณจำปาหรือเปล่าจ๊ะ”“ครับ”ปรินทรพยักหน้ารับ แปลกใจที่มีคนจำแม่ของเขาได้อยู่ ไม่ค่อยมีใครทักเขาแบบนี้ เพราะส่วนใหญ่จะทักเขาว่าใช่ลูกกำนันทรงชัยหรือเปล่า“ไม่เจอกันนาน โตเป็นหนุ่มขนาดนี้เชียว” เจ้าของร้านเป็นหญิงวัยห้าสิบกว่าๆ “ป้ามารศรีจ๊ะ หลานคงจำไม่ได้แล้วมั้ง”“ป้ามารศรีที่ย้อมผ้าไหมหรือเปล่าครับ” เขาถามกลับอย่างไม่แน่ใจ“ใช่ๆ ป้าเองจ๊ะ แก่แล้วไม่มีแรงย้อมผ้าเองแล้ว เลยมาช่วยงานหน้าร้านแทน มาเยี่ยมพ่อหรือจ๊ะ”“ครับ” เขาโกหก มาเพราะโดนพ่อตามตัวมากกว่า“มีลูกมีเมียหรือยังละ”“ผมยังไ
“คุณแพ้กุ้งไหม?”“อะไรนะคะ” เธอถามกลับเมื่อตั้งสติได้“ในครัวทำข้าวต้มกุ้ง”“อ้อ พั้นซ์ทานได้ค่ะ ไม่ได้แพ้กุ้ง” หญิงสาวตอบแล้วก็มองเห็นเดินมานั่งที่ขอบเตียง ตบที่ว่างข้างๆเหมือนเรียกลูกแมวและเธอก็เดินเข้าไปอย่างแสนเชื่อง มือใหญ่รั้งให้เธอนั่งลงบนตักแล้วลูบผมเธอเบาๆ“ตกใจ?”“ค่ะ” เธอเริ่มชินกับวิธีการพูดของเขา สั้นๆ ได้ใจความ เป็นทั้งคำบอกเล่าและประโยคคำถามในคราวเดียว“อย่าห่วงเลย ผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นกับคุณอีก” “ไม่เป็นไรคะ พั้นซ์จะพยายามช่วยตัวเองให้ได้” หญิงสาวขมวดคิ้ว เขาจะได้อะไรกับการช่วยเธอ เสียงหัวเราะในลำคอของเขาทำให้เธอหน้ามุย แต่ก็ยังยืนว่าจะดูแลตัวเองให้ได้“ถ้าเมื่อวานผมไปไม่ทัน ป่านนี้คุณจะเป็นยังไง” ปลายนิ้วเกี่ยวพันเส้นผมเธอแล้วดึงเล่นเบาๆ“จริงๆแล้ว พั้นซ์ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยค่ะ” เธอสารภาพไปตามตรง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่“คุณพร้อมจะฟังหรือยังล่ะ” เขาถามแล้วกอดเธอไว้ราวกับกลัวเธอจะรับความจริงไม่ได้ แต่เมื่อหญิงสาวพยักหน้า เขาก็เอ่ยปากเล่า“นายนิพัฒน์เป็นหนี้พนันในคาสิโน่ของพ่อผมอยู่สองแสนห้า เขาเสนอให้คุณเป็นสินค้าใช้แทนหนี้เค้าบอกใครต่
ปรินทรไม่รู้ว่าทำไมตัวเองหงุดหงิด โมโห น้อยใจ อีกสารพัดความรู้สึกที่เกิดขึ้น เขาเดินตัวเปล่าไปหยิบเสื้อผ้าที่เด็กรับใช้เอามาให้หญิงสาวแล้วคลี่ออกดู มันเป็นเพียงเสื้อยืดกับผ้านุ่งสีพื้น เสื้อผ้าที่เธอใส่มาสภาพมันก็แทบกลายเป็นผ้าขี้ริ้ว เขาถอนหายใจเบาๆ เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าตัวเอง หยิบเสื้อยืดตัวใหญ่ของเขาออกมาจากตู้ ตัวนี้คงพอให้เธอใส่ไปก่อน แล้วค่อยให้เด็กไปหาซื้อเสื้อผ้าดีๆให้เธอใส่สักชุดเขาเดินกลับมาจะเอาเสื้อมาให้ แต่พอเห็นก้อนผ้าห่มบนเตียงก็ทำหน้าไม่ถูก ทั้งที่เมื่อครู่โกรธเธอจะแย่ แต่เห็นแบบนี้แล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เขานั่งลงที่เตียงข้างก้อนผ้าห่มแล้วโน้นหน้าลงไปค่อยๆ ดึงผ้าห่มออกจากศีรษะของเธอ“เดี๋ยวก็ขาดอากาศหายใจหรอก ผมไม่อยากให้ใครมาตายบนที่นอนผมนะ”“คุณ...คุณ...คุณไม่ใส่เสื้อผ้า”“ฮืม คุณก็ไม่ได้ใส่นี่จะอายทำไม เราเสมอกันนะ” เขากลั้นหัวเราะหญิงสาวโผล่หน้าออกมาแล้วจ้องมองใบหน้าของเขาก่อนค่อยๆไล่สายตาไปที่แผงอกกว้างและ..ท่อนล่างของเขากับบางสิ่งที่มันทำให้เธออ้าปากค้างแล้วมุดกลับเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง“คุณช่วยนุ่งอะไรหน่อยได้ไหม” เธอส่งเสียงมาจากใต้ผ้าห่มผู้หญิงคนนี้ประ
เปลือกตาที่ปิดอยู่ค่อยๆกะพริบตา หญิงสาวปรับสายตากับความมืดในรอบกายจนพอมองเห็นทุกสิ่งในห้องได้ชัดขึ้น ห้องนอนที่ค่อนข้างกว้าง ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ผิดกับที่เธอเจอมาก่อนหน้านี้ พิชญนรีไม่อยากคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเจออะไรมา ทำไมเธอต้องมาเจอเคราะห์กรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เหมือนน้ำตาจะรื้นขึ้นมาอีกครั้ง เธอพยายามกลั้นมันไว้ เปล่าประโยชน์ที่จะมาร้องไห้ในเวลาแบบนี้ร่างบางรู้สึกถึงวงแขนที่กระชับรั้งเธอกอดแนบแน่นขึ้น หญิงสาวตัวเกร็งขึ้นมาทันทีเมื่อนึกได้ว่าเธอไม่ได้อยู่ตามลำพังบนเตียงนุ่มนี้ มือเรียวกอดผ้าห่มไว้ราวกับเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจะขยับตัวหนีแต่มือแข็งแกร่งกอดเธอแน่นขึ้นจนเธอไม่กล้าหันกลับไปมอง“ยังไม่เช้าหรอก นอนต่ออีกสักนิดเถอะ”น้ำเสียงที่พูดแผ่วๆ อยู่ข้างหูทำให้พิชญ์นรีต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น สมองยังสับสนไม่รู้ว่าต้นสายปลายเหตุเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่เหมือนคนตัวใหญ่ที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลังจะรับรู้ เขาเพียงกอดเธอแน่นขึ้นอย่างหวงแหน แรงสั่นสะเทือนน้อยๆ นั้นปลุกให้เขาตื่นนานแล้ว“ที่นี่...ที่ไหนคะ” “บ้านพ่อของผมเอง” เขาพึมพำแล้วลูบผมเธอเบาๆ “นี่ห้องนอนผม”
เมื่อรถมาจอดที่หน้าบ้านก็เกือบสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว ปรินทรแกะมือของเธอที่หนึบหนับอย่างกับหนวดปลาหมึกออกจากร่างตนเองแล้วลงจากรถ เขาไม่ให้ใครเข้ามาช่วย รีบอุ้มร่างที่เปียกชื้นจนเหมือนจะเปลือยเปล่าแล้วเดินเข้ามาในบ้าน“พ่อล่ะ” เขาถามเด็กรับใช้ที่รอเปิดประตูให้“คุณท่านเข้าห้องนอนแล้วเจ้าคะ”เขาเหลือบตามองเด็กรับใช้ประเมินด้วยสายตา เล่นเอาเด็กสาวเขินอายจนหน้าแดงจัด“เอาเสื้อผ้าเธอมาให้ฉันชุดนึง”“อะไรนะคะ?”“ได้ยินแล้วนี่”“ค่ะๆ”ปรินทรอุ้มร่างของพิชญ์นรีไปที่ห้องนอนของเขา หญิงสาวหอบหายใจแรง ใบหน้าหวานแดงจัด เธอแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง รู้สึกลำคอแห้งผากไปหมด และเนื้อตัวก็คันยุบยิบเหมือนมีอะไรไต่ เธอถอดเสื้อผ้าตัวเองออกอย่างรวดเร็ว“เฮ้ย!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลง มองหญิงสาวที่ยืนอยู่กลางห้องที่บนตัวเหลือเพียงชุดชั้นในลูกไม้สีหวานเท่านั้น“มันคัน คันยุบยิบไปทั้งตัว” เธอลูบเนื้อตัวของตนเอง“รู้แล้ว” ปรินทรส่ายหน้าไปมา ไปโดนยาเม็ดไหนเข้าไปนะ เขาหยิบผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าไปหาแต่เธอกลับยื่นมือไปประคองใบหน้าเขาไว้แล้วเขย่งปลายเท้าจูบริมฝีปากเขา ชายหนุ่มถึงกับตกใจไปอึดใจ ลิ้นเล็กๆ ตวัดเลียริมฝ
“ตั้งสติหน่อยพิชญนรี” พิชญนรีบอกกับตัวเองแล้วลองเดินไปเขย่าประตู มันล็อกจากด้านนอก ไม่กี่นาทีต่อมา ร่างกายเธอก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ มันผ่าวร้อนและทำให้เธอไร้เรี่ยวแรงจนทรุดไปนั้งกับพื้น เธอมองรอบตัวอีกครั้ง อย่างไรก็ไม่ยอมเป็นเหยื่อง่ายๆ เด็ดขาด! เสี่ยกำธรเดินเข้ามาในห้องรับแขก เขากระตุกยิ้มเมื่อเห็นปรินทรนั่งรออยู่ก่อนแล้ว แม้จะสวมเสื้อยืดทับด้วยแจ็ตเก็ตสูทเรียบๆ แต่ก็ดูโดดเด่นไม่เหมือนผู้ชายที่จะมาเที่ยวซ่องเท่าไหร่นัก“ลมอะไรหอบเสี่ยมังกรมาถึงที่นี่ละครับเนี้ย” เสี่ยกำธรพูดราวอายุเท่านั้น ทั้งที่อีกฝ่ายรุ่นลูกด้วยซ้ำไป“ผมมาซื้อของ” ชายหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ“ของแบบไหนที่คนระดับเสี่ยมังกรต้องมาซื้อเองแบบนี้ครับ”“ผู้หญิง”“ผู้หญิง?” เสี่ยกำธรถึงหัวเราะออกมา“ผู้หญิงคนที่นายนิพัฒน์เอามาขายนั้นแหละ” เขาพูดตรงไปตรงมา ต้องการปิดเกมให้เร็วที่สุด เธอถูกจับตัวมาตั้งแต่เมื่อวาน ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง“เสี่ยมังกรหูไวตาไวไม่เบา ของเพิ่งมาถึงผมมือก็รู้ไปถึงหูเสี่ยมังกรแล้ว”ปรินทรส่ายหน้าไปมา “เสี่ยจะเอายังไงก็ว่ามาเถอะ ผมอยากเห็นของชิ้นนั้นแล้ว”“แสดงว่าสำคัญมากถึงข
“ครับ ผมทราบว่าคุณปรินทรเองก็มีธุรกิจมากมาย โดยเฉพาะธนาคารของคุณ ซึ่งคุณคงไม่ยอมให้ตัวเองแปดเปื้อนเพราะเรื่องพวกนี้แน่ๆ”“ครับ” ปรินทรประเมินสถานการณ์ด้วยสายตา“ผมอยากได้ข้อมูล เพื่อให้คนของผมแทรกตัวเข้าไปได้โดยไม่ถูกจับได้เสียก่อน”ปรินทรพยักหน้ารับ “เรื่องนั้นผมพอช่วยได้”“ยังไงก็ขอรบกวนด้วยก็แล้วกัน”“ครับ ผมยินดีให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่”ทั้งสามพูดคุยหารือกันอยู่พักใหญ่ ปรินทรก็ขอตัวเดินออกมาหน้าบ้าน สารวัตรวรดรเดินตามมาด้วย“ยังไงก็ต้องขอบคุณล่วงหน้าที่ให้ความร่วมมือนะครับ”“ไม่เป็นไรครับ คนเยอะ ดูแลลำบาก แถมยังมีช่องทางให้ไปประเทศเพื่อนบ้านได้ง่ายๆอีก” ปรินทรพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “และทางที่ดีคุณสารวัตรไม่ต้องแวะมาบ้านผมบ่อยจะดีที่สุด”“อ้าว ทำไมละครับ” สารวัตรวรดรหัวเราะร่วนทั้งที่รู้คำตอบดี“พ่อผมจะกลายเป็นเป้าได้ง่ายๆ” เขาพูดตามตรงไม่เห็นเป็นเรื่องตลก “ถ้าพวกมันระแคะระคายเมื่อไหร่ ก็เดาได้ไม่ยากว่ามันจะเล่นงานใครก่อน”“เรื่องนั้นผมพอเข้าใจ จะให้คนมาคอยดูแล”“ไม่จำเป็น ลูกน้องมือดีของพ่อยังมีที่ไว้ใจได้” ปรินทรปรายตามองไปด้านข้าง คนสนิทเดินเข้ามาใกล้แล้วหยุดยืนไ
“ไม่ล่ะ ข้ารีบพูด พูดจบเอ็งก็เผ่นกลับกรุงเทพฯ ซิ”“พ่อก็รู้แล้วจะเอาอะไรอีกล่ะ”“บ่ะ ไม่น่ารักเลยไอ้ลูกคนนี้”ปรินทรขมวดคิ้ว “ผมเคยน่ารักด้วยหรือไงกัน”พ่อเริ่มคร้านจะต่อปากต่อคำด้วย “พ่อแก่แล้ว ใส่ใจพ่อหน่อย”“รู้ตัวด้วยเหรอ”“อุวะ! เอ็งนี่เลิกทำน้ำเสียงแบบนี้เสียทีเถอะ ไอ้พูดน้ำเสียงโทนเดียวไม่น่าคุยด้วยเลย” กำนันทรงชัยส่ายหน้าไปมา ไม่น่าเชื่อเลยว่าท่าทางแบบนี้ นิสัยแบบนี้ จะกลายเป็นนักธุรกิจพันล้านได้ทั้งที่อายุเพิ่งจะ35เท่านั้น“เอ็งอายุขนาดนี้แล้ว เมื่อไหร่จะมีเมียมีลูกเสียที มันจะโตไม่ทันใช้เอาน่า”“หือ” ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วหรี่ตามองพ่ออย่างจับผิด “ใครเสนอตัวเป็นลูกสะใภ้ล่ะ แล้วพ่อเป็นนายหน้าเท่าไหร่”“ไอ้ลูกบ้า ข้ารู้ว่าเอ็งมันหล่อเลือกได้ แต่เห็นอายุสามสิบห้าแล้วยังไม่มีครอบครัวอีก ข้ากับแม่เอ็งได้เสียกันก็ตั้งแต่อายุยี่สิบเอง”“แล้วไง ผมต้องเดินตามรอยเท้าพ่อเหรอ”“โธ่! ที่พูดเพราะเป็นห่วง”“ครับแล้วไงต่อ เรียกมาแค่นี้ โทรศัพท์มาก็ได้ เสียเวลามา จากกรุงเทพฯมาสุรินทร์ไม่ได้ไกลนะพ่อ”“นั่งนี่ตูดยังไม่ทันร้อนก็บ่นจะกลับกรุงเทพฯ แล้วเรอะ เออ หรือมีเมียอยู่กรุงเท
ชีวิตของเธอควรเป็นปกติอย่างที่ผ่านมา แน่นอนว่าเธอยอมรับว่าลึกๆ แล้ว แต่ละวันของเธอเต็มไปด้วยความหวาดระแวง จนวันนี้ได้เห็นหน้านิพัฒน์อีกครั้ง วันนี้ปาจรีย์หยุดจึงไม่มีใครกันไม่ให้พิพัฒน์มาเจอกับเธอได้“ขอคุยด้วยหน่อยซิ” “ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ” เธอพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ ไม่ให้เขารู้ว่าเธอกลัวเขา“ไม่ได้คุยเรื่องของฉันหรอกน่า เรื่องแม่ของเธอต่างหากล่ะ”“แม่เหรอ แม่เป็นอะไร” คราวนี้พิชญนรีตื่นตกใจ“ฉันจะรอเธอเลิกงานแล้วค่อยคุยกัน”“บอกตอนนี้ไม่ได้หรือไง” “เรื่องมันยาว รายละเอียดมันเยอะ”“ก็ได้ แต่วันนี้พั้นซ์เลิกงานสี่ทุ่ม”“ได้ แล้วจะแวะมาอีกที เธอก็รู้นะว่าแม่ของเธอเป็นคนปากหนัก มีอะไรไม่ค่อยพูดไม่ค่อยบอกใครหรอก”“ฮืม”นิพัฒน์พยักหน้ารับแล้วเดินออกไป ถ้าไม่อ้างเรื่องแม่ ยัยน้ำพั้นซ์ไม่มีวันยอมให้เขาคุยด้วยหรอก เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หนี้สองแสนห้าที่ดอกเบี้ยงอกงามจะกลายเป็นสามแสนอยู่ร่อมร่อแล้ว ยิ่งโดนเจ้าหนี้เอาลูกน้องมาประกบเป็นเงาตามตัวด้วย เขายิ่งแทบทำอะไรไม่ได้ ที่สำคัญยังไม่ได้คำตอบรับว่าตกลงเขาอยากได้พิชญนรีหรือไม่ เขาร้อนเงินอยากได้เงินมาหมุนใจแทบขาดตายอ