Mag-log in3 ชั่วโมงผ่านไป
บรืนน...เอี๊ยด...! เสียงรถคันหรูได้เคลื่อนเข้ามาจอดภายในคฤหาสน์ของตระกูล เพมเบอร์ตัน ซึ่งโจชัวได้ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่ต่างจังหวัด ที่ดินตรงนี้เป็นมรดกตกทอดมาหลายรุ่น มีพื้นที่มากกว่า 100 ไร่ โดยส่วนใหญ่ ครอบครัวของเขาจะมารวมตัวกันทีนี้ปีละครั้ง เพื่อใช้พื้นที่ล่าสัตว์ป่า ทว่าในครั้งนี้มันต่างกันออกไป เขาไม่ได้มาล่าสัตว์ แต่มาเพื่อแก้แค้น คฤหาสน์ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงปกคลุมไปด้วยหมอกบาง ๆ ด้านซ้ายล้อมรอบไปด้วยแม่น้ำขนาดใหญ่ ทางหลังบ้านปลูกดอกไม้เอาไว้ประมาณ 1 ไร่ เพราะโจลีนน้องสาวของเขานั้นชอบ แม้ภายนอกจะดูหรูหรา ภายในคฤหาสน์นั้นยิ่งใหญ่ไม่แพ้ภายนอก โถงใหญ่มีเพดานสูงโอ่อ่าประดับด้วยโคมระย้า คริสตัลห้อยระยิบระยับ ผนังปูด้วยวอลเปเปอร์สีทองจาง ๆ พื้นที่ของคฤหาสน์นั้นดูกว้างขวางแต่กลับไม่มีใครอาศัยอยู่สักคน นอกจากคนสวนกับแม่บ้านประมาณ 10 กว่าคน แต่ทุกคนได้ไปอยู่เรือนคนใช้ซึ่งอยู่ห่างออกไปเกือบหนึ่งกิโลเมตร “เชิญครับคุณโจชัว ภายในบ้านผมให้แม่บ้านทำความสะอาดและจัดห้องนอนไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ” ชัชชัยพูดพลางวิ่งไปเปิดประตูอีกฝั่งให้เจ้านาย พร้อมกับเอ่ยถามอีกครั้งว่า “แล้วเธอจะให้ไปอยู่ที่ไหนครับ อยู่ในคฤหาสน์หรือเปล่า” “ดูว่าตายหรือยัง ถ้าตายก็ฝัง หากยังไม่ตายเอาไปไว้เรือนคนใช้ สถานะเท่ากับทุกคน ห้ามปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นเจ้านาย” “ครับผม รับทราบครับ คุณโจชัวเข้าไปพักได้เลยครับ ที่เหลือเดี๋ยวผมจัดการเอง” “อืม” เสียงนิ่งเรียบของผู้เป็นเจ้านาย ทำให้เขารู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งร่าง ไม่รู้ว่าทำไมเจ้านายของตน ถึงได้จงเกลียดจงชังผู้หญิงคนนี้ได้ถึงขนาดนี้ ครั้นจะถามก็กลัวอารมณ์ที่ไม่ค่อยคงที่ของเจ้านาย ชัชชัยจึงทำได้เพียงทำตามคำสั่งอย่างเงียบ ๆ เพราะตนก็อยากทำงานต่อไป ไม่ได้อยากตกงาน เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายวัย 35 ปี ก็รีบไปเช็คดูเจ้าของใบหน้าสวย ว่ายังอยู่ดีหรือไม่ หากเธอมาเสียชีวิตในที่แบบนี้ แล้วเขานำร่างไปฝัง แบบนี้มันเท่ากับฆาตกรรม อำพรางศพ ติดคุกไปยาว ๆ “หวังว่าจะปลอดภัยนะ แม่หนู” ชายวัยกลางคนพูดพร้อมกับเปิดท้ายรถ มองดูร่างเล็กยังไม่ได้สติ เลือดที่ไหลจากบริเวณศีรษะ ตอนนี้หยุดไหลพร้อมกับแห้งกรัง ไปแล้ว มือหนาค่อย ๆ ยื่นมือไปอังที่จมูกของคนตัวเล็ก พบลมหายใจอุ่น ๆ ปะทะเข้าที่นิ้วหนา ทำให้เขาโล่งใจอีกครั้งที่เธอยังไม่ตาย จากนั้นเขาปิดประตูลงอีกครั้ง เพื่อพาตัวของดารินไปยังเรือนคนใช้ ซึ่งอยู่ไกลจากคฤหาสน์เกือบ 1 กิโลเมตร ณ เรือนคนใช้ของตระกูลเพมเบอร์ตัน เวลาประมาณ 4 ทุ่ม “ป้า ๆ ออกมานี่หน่อย เร็ว ๆ” เสียงของชัชชัยเรียกป้าสา หัวหน้าแม่บ้านมีอายุประมาฯ 55 ปี ทำงานเป็นแม่บ้านให้ตระกูลเพมเบอร์ตันมาเกือบ 30 ปี “ป้า!!” เสียงของคนขับรถตะโกนอีกครั้ง กลับมีเสียงบ่นอุบอิบดังออกมาจากบ้านไม้ขนาดกลาง “อะไรของเอ็งวะ ไอ้ชัย ดึก ๆ ดื่น ๆ ป่านนี้มาตะโกนเรียกข้าทำไม” ป้าสาบ่น พร้อมกับแสงไฟสีขาวสว่างวาบไปทั้งบ้าน ไม่ถึงนาทีป้าและแม่บ้านคนอื่น ๆ ต่างก็ออกมาพร้อม ๆ กัน “ป้ามานี่หน่อย” “พูดมาสิวะ มีอะไร” ป้าสาขึ้นเสียงแข็ง เพราะชัชชัยมัวแต่อ้ำอึ้ง ไม่พูดเรื่องสำคัญเสียที “มาดูนี่เร็ว” “เออ ๆ อะไรของเอ็งจะพูดก็ไม่พูด” หัวหน้าแม่บ้านพูดไปพลาง บ่นไปพลาง พร้อมกับแม่บ้านคนอื่น ๆ ต่างเดินไปดูด้วย จนกระทั่งสายตาทุกคู่ได้เห็นหญิงสาวหน้าตาดีนอนอยู่ท้ายรถ สภาพดูไม่สู้ดีนัก แถมยังมีเลือดแห้งกรังติดตามตัวอีก ทำให้ทุกคนต่างตกใจ ถอยกันไปอยุ่ทางด้านหลังอย่างอัตโนมัติ “ตาย ๆ ตายหรือยังวะไอ้ชัย ผู้หญิงคนนี้ใครเอ็งเอามาทำไมวะ ทำไมเอ็งไม่พาไปโรงพยาบาล พามาที่นี่ทำไม” “นั่นสิ พี่ชัย ใครกัน แล้วทำไมสภาพเป็นแบบนี้” นวลหลานของป้าสาอายุประมาณ 26 ปี ถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ กลัวว่าผู้หญิงหน้าซีดคนนั้นจะตายแล้ว “เธอยังไม่ตายจ้ะ เป็นมายังไง ป้าลองไปถามคุณโจชัวดู สิจ้ะ จะได้รู้” “โห แล้วใครจะกล้าถามอ่ะ พี่ชัย” นวลตอบแทนป้าสา “เออป้า แล้วเธอเป็นอะไรไหมเนี่ย เป็นอะไรมากไหม อาการหนักหรือเปล่า” “เท่าที่ดู แข้งขาไม่หัก แต่หัวแตก ไม่รู้ว่าสมองจะบวมไหม ต้องดูอาการไปก่อน ตรงแขนมีรอยถลอกเล็กน้อย แผลไม่ลึก ไป ๆ เอ็งพาแม่หนูนี่เข้าบ้าน เดี๋ยวข้าจะทำแผลให้” ป้าสาพูด พร้อมกับประเมินอาการภายนอกของดาริน อดีตของป้าสาเคยเป้นผู้ช่วยพยาบาลเก่า พอจะดูออกบ้าง “รบกวนหน่อยนะป้า” “เออ ๆ รีบ ๆ เข้า ข้าจะได้นอน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า” “ได้ครับ” ชัชชัยพยักหน้ารีบอุ้มคนตัวเล็กเข้าไปยังเรือนคนใช้ เขาช่วยได้เพียงเท่านี้ ที่เหลือก็แล้วแต่เวรแต่กรรม แล้วแต่เจ้านายของเขาก็แล้วกัน 3 วันผ่านไป ภายในห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีขนาดสี่คูณสี่ตารางวา มีหญิงสาว คนหนึ่งนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง เมื่อ 3 วันที่แล้วเธอมีใบหน้าสีขาวซีดราวกับกระดาษ ทว่าตอนนี้สีหน้ากลับดูมีชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด ฟู่ว~ เสียงลมพัดเข้ามาจากทางหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวบาง ๆ พริ้วไหวไปตามแรงลม ลมพัดเข้ามาเอื่อย ๆ ปะทะกับใบหน้าเนียน ทำให้เธอเริ่มรู้สึกตัว เจ้าของใบหน้าสวยค่อย ๆ ลืมตา จากนั้นกะพริบตาถี่ ๆ อยู่หลายครั้งเพื่อปรับการมองเห็น ทว่าอาการเจ็บแปล๊บที่บริเวณศีรษะได้แล่นเข้ามา ทำเอาเธอร้องเสียงหลง “โอ้ย!!” มือเรียวบางรีบยกมากุมขมับโดยอัตโนมัติ “อะไรนังหนู!!” เสียงป้าสาที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว รีบวิ่งขึ้นมาบนบ้านชั้นที่ 2 เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กส่งเสียงร้องเสียงหลง “คุณเป็นใครคะ?” เรียวปากสีหวานเอ่ยถามโดยที่มือทั้งสองข้างยังกุมขมับอยู่ “อ๋อ ฉันเป็นแม่บ้านที่นี่จ้ะ เป็นคนดูแลที่นี่ แล้วก็ดูแล หนูด้วย” หัวหน้าแม่บ้านอธิบายอย่างใจเย็น “แล้วหนูเป็นอะไรงั้นเหรอคะ ทำไมป้าต้องมาดูแล” ดารินเอียงคอถาม ทำไมเธอจำอะไรไม่ได้เลย ทำไมเรื่องราวในสมองมันว่างเปล่า แม้กระทั่งชื่อตัวเองก็ยังจำไม่ได้ เธอก้มหน้าต่ำลง ถามตัวเองซ้ำ ๆ อย่างสับสน “หนูประสบอุบัติเหตุจ้ะ นอนไป 3 วันเต็ม ๆ แล้วชื่ออะไรจ้ะนังหนูป้าจะได้เรียกถูก” “หนูชื่อ ชื่ออะไร จำไม่ได้เลยค่ะ” “ว่ายังไงนะ นังหนูนี่เอ็งจำอะไรไม่ได้เลยหรือ” ป้าสาทวนถามอีกครั้ง ส่วนดารินได้แต่ส่ายหัวเบา ๆ ในขณะเดียวกันนวล หลานสาวป้าสาได้ขึ้นมาได้ยินเรื่องราวพอดี จึงกระซิบกระซาบถามป้าว่า “นี่เธอความจำเสื่อมเหรอป้า” “ดูท่าทางจะเป็นอย่างนั้น” “แล้วจะทำยังไงกันดีอ่ะป้า จะไปส่งที่บ้านเธอยังไง” “เอ็งคิดว่าคุณโจชัวพาผู้หญิงคนนี้มาที่นี่ เพื่อพากลับบ้านหรือนางนวล” ป้าสาย้อนถาม เพราะพอจะเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ ออก “ก็จริง ถ้าจะพากลับบ้านคงพาไปโรงพยาบาลตั้งแต่แรก ใช่ไหมป้า” “ก็เออสิวะ เอ็งก็ฉลาดนี่ ถ้าอย่างนั้นเอ็งต้องรู้ว่าจะทำอะไรต่อไป” “บอกพี่ชัยให้ไปแจ้งกับคุณโจชัวใช่ไหมป้า” “เออสิวะ จะชักช้าอยู่ทำไม” “โอเค ๆ งั้นเดี๋ยวฉันมานะ” ดารินได้แต่มองป้าสาและหลานสาวยืนคุยกัน แต่ฟังไม่ได้ศัพท์ ท่าทางดูร้อนรนแปลก ๆ แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เพราะอาการปวดหัวได้แทรกเข้ามาเป็นพัก ๆ มันทำให้เธอต้องเอนตัวลงบนเตียง จากนั้นหลับตาลงเพื่อพักผ่อนอีกครั้งหนึ่งณ สวนหลังบ้านคฤหาสน์เพมเบอร์ตันดอกทิวลิปหลากสีบานสะพรั่งท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ ของยามเช้า สวนทิวลิปทอดยาวไปจนสุดสายตาในพื้นที่จำนวน 1 ไร่ของบริเวณหลังบ้าน ดอกสีแดงสดของดอกทิวลิปตัดกับสีเหลืองสดใสขาวบริสุทธิ์ และชมพูอ่อน ทั้งหมดเรียงรายกันเป็นแถว กลิ่นหอมของดอกไม้ถูกลมพัดเบา ๆ นำพาความสดชื่นไปทั่วบริเวณ สวนดอกไม้แห่งนี้เป็นสวนดอกไม้ในฝันของโจลีนน้องสาวของเขา ทว่าน่าเสียดายที่น้องสาวของเขาไม่มีโอกาสได้เห็นสวนแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว“คุณโจชัวครับ คุณโจชัว!!”เสียงกึ่งวิ่งกึ่งตะโกนของชัชชัย ดังแว่วมาแต่ไกล ทำให้โจชัวที่ใช้กรรไกรตัดแต่งต้นไม้อยู่หยุดชะงักเพื่อรอฟังข่าวเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนจากก้มหน้า มายืนในท่าปกติ มือหนึ่งถอดถุงมือผ้าออกจากอีกข้าง ก่อนจะเปลี่ยนมาถอดอีกข้างหนึ่ง จากนั้นใช้หลังมือปาดเหงื่อเม็ดเล็กที่ซึมผุดออกมาจากใบหน้า แล้วรอฟังอย่างใจเย็นแฮ่ก แฮ่กเสียงหอบพร้อมกับเสียงสูดลมหายใจเข้าของชัชชัย ทำให้โจชัวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มันเรื่องอะไรที่ทำให้ลูกน้องของเขาวิ่งหน้าตั้งมาขนาดนี้ หรือเป็นเพราะว่าผู้หญิงคนนั้นตายแล้ว“ว่ามา”“ผู้หญิงคนนั้นฟื้นแล้วครับ”“บอกแ
3 ชั่วโมงผ่านไปบรืนน...เอี๊ยด...!เสียงรถคันหรูได้เคลื่อนเข้ามาจอดภายในคฤหาสน์ของตระกูลเพมเบอร์ตัน ซึ่งโจชัวได้ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่ต่างจังหวัด ที่ดินตรงนี้เป็นมรดกตกทอดมาหลายรุ่น มีพื้นที่มากกว่า 100 ไร่ โดยส่วนใหญ่ ครอบครัวของเขาจะมารวมตัวกันทีนี้ปีละครั้ง เพื่อใช้พื้นที่ล่าสัตว์ป่า ทว่าในครั้งนี้มันต่างกันออกไป เขาไม่ได้มาล่าสัตว์ แต่มาเพื่อแก้แค้นคฤหาสน์ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงปกคลุมไปด้วยหมอกบาง ๆ ด้านซ้ายล้อมรอบไปด้วยแม่น้ำขนาดใหญ่ ทางหลังบ้านปลูกดอกไม้เอาไว้ประมาณ 1 ไร่ เพราะโจลีนน้องสาวของเขานั้นชอบแม้ภายนอกจะดูหรูหรา ภายในคฤหาสน์นั้นยิ่งใหญ่ไม่แพ้ภายนอก โถงใหญ่มีเพดานสูงโอ่อ่าประดับด้วยโคมระย้า คริสตัลห้อยระยิบระยับ ผนังปูด้วยวอลเปเปอร์สีทองจาง ๆ พื้นที่ของคฤหาสน์นั้นดูกว้างขวางแต่กลับไม่มีใครอาศัยอยู่สักคน นอกจากคนสวนกับแม่บ้านประมาณ 10 กว่าคน แต่ทุกคนได้ไปอยู่เรือนคนใช้ซึ่งอยู่ห่างออกไปเกือบหนึ่งกิโลเมตร“เชิญครับคุณโจชัว ภายในบ้านผมให้แม่บ้านทำความสะอาดและจัดห้องนอนไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ”ชัชชัยพูดพลางวิ่งไปเปิดประตูอีกฝั่งให้เจ้านาย พร้อมกับเอ่ยถามอีกครั้งว่า“
1 เดือนผ่านไปตึก ตึก !เสียงเท้าเล็กที่ใส่รองเท้าส้นสูงสีแดงสูงขนาด 3 นิ้ว ก้าวเดินมาเป็นจังหวะเนิบตามเดินตามข้างถนน วันนี้เป็นวันที่เธอเหนื่อยมาก เนื่องจากการประชุมที่บริษัท เธอทำออกมาด้ไม่ดีพอ แถมยังต้องโดนผู้เป็นมารดาต่อว่ากลับมาอีก ดารินใช้ชีวิตเป็นไอด้ามาได้ 1 เดือนเต็ม ไม่เคยมีวันไหนที่เธอได้ใช้ชีวิตเป็นตัวเอง ตั้งแต่ที่คนตัวเล็กก้าวขาเข้ามาในบ้านตระกูลไพศาลสกุลรัตน์ ความอึดอึดมันเริ่มถาโถมเข้ามาในชีวิตของเธออย่างไม่จบไม่สิ้น และดูเหมือนว่าวันนี้มันเลยขีดจำกัดของดารินแล้ว ดังนั้นหญิงสาวจึงเดินออกมาจากบริษัทของไอด้า ด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่งทว่าในใจรู้สึกเศร้าจนถึงขีดสุด เธอเดินมาเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จุดหมายปลายทางเดินมาตลอดเป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว บรรยากาศโดยรอบแสงสว่างเริ่มเลือนหายไป ความมืดได้เริ่มคืบคลานเข้ามา จนกระทั่งฝนเริ่มลงเม็ดปรอย ๆ จากนั้นตกแรงขึ้นเรื่อย ๆซ่าส์ ซ่าส์ !เสียงฝนกระทบกับพื้นดิน เม็ดฝนใหญ่ ๆ สัมผัสกับใบหน้าเนียน นั่นทำให้ดารินเงยใบหน้าขึ้นมา สายตาเรียวกวาดมองไปรอบ ๆ พบว่าตัวเองเดินมาไกลจนไม่พบบ้านคนสักหลัง พื้นที่รอบ ๆ
ในห้องรับแขกของตระกูลไพศาลสกุลรัตน์ หลังจากที่คุณหญิงและไอรินออกไปแล้ว ดารินนั่งเงียบก้มหน้า ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นและถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้เธอจะไม่เข้าใจว่าทำไมตั้งแต่วันแรกผู้เป็นแม่จึงดูเย็นชาและห่างเหินกับเธอเช่นนี้ ท่าทีของมารดาเหมือนละครหลังข่าวที่แม่เลี้ยงมักตั้งแง่ใส่ลูกเลี้ยง“คุณดารินคะ เดี๋ยวไปที่ห้องของคุณไอด้าเลยค่ะ” ทิพย์ เลขาส่วนตัวของบ้าน พูดขึ้น พร้อมส่งสัญญาณให้เจ้หยาดกับลูกน้องตามไปด้วย “ทำไมต้องไปที่ห้องของพี่ไอด้าด้วยล่ะคะ” ดารินถามด้วยความสงสัย เธอไม่อยากจะบุกรุกห้องของคนอื่น “นับจากนี้ ทิพย์จะเรียกคุณดารินว่า ‘คุณไอด้า’ นะคะ เพื่อให้คุณซึมซับความเป็นคุณไอด้าได้เร็วที่สุด คุณต้องเข้าไปอยู่ในห้องและดูวิถีชีวิตของเจ้าของห้อง จะได้ไม่มีข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับชื่อเสียงของตระกูลค่ะ”ดารินพยักหน้าเบา ๆ “ค่ะ เรียกได้เลย เพราะชีวิตฉันไม่เคยเป็นของตัวเองอยู่แล้ว” เธอตัดพ้อ ก่อนก้าวเท้าไปยังห้องนอนของพี่สาว เมื่อมาถึงห้องสุดหรูของไอด้า ห้องตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์นำเข้า โทนสีเข้ม เฟอร์นิเจอร์เป็นระเบียบ เตียงคิงส์ไซส์ตั้งอยู่ใกล้หน้าต่าง ห้องกว้
กริ้ง!เสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้งที่ประตูบ้านหรูหราสไตล์คลาสสิก หน้าบ้านมีเหล่าสาวประเภทสองที่รูปร่างกำยำแต่ใจเป็นหญิงสองคน และลูกน้องสาวอีกหกคนยืนเรียงกันเป็นแถว สีหน้าบ่งบอกถึงความตื่นเต้นและสงสัยในงานที่ได้รับ“เจ้ เรามาแต่งให้ใครกันเนี่ย ขนกันมาเยอะขนาดนี้ จ้างแต่งหน้ากี่คนกันนะ” เจน ลูกน้องคนสนิทของเจ้หยาดเอ่ยขึ้นเสียงเบา ดวงตาเป็นประกาย ตื่นเต้นเมื่อคิดถึงค่าจ้างที่ได้รับ ซึ่งมากกว่าทำงานทั้งเดือนเสียอีก “จุ๊ ๆ ฟังนะพวกเธอ ห้ามแพร่งพรายอะไรไปเด็ดขาด งานนี้มันความลับของตระกูลเขา ถ้าพูดมากระวังตายไม่มีศพนะ” เจ้หยาดบอกอย่างจริงจัง น้ำเสียงนิ่ง แต่ทว่ามีประกายความขบขันในแววตา แอบปรายตาไปทางลูลู่ เพื่อนซี้หุ้นส่วนร้านที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “เอ้า! อีเจ้นี่หมายความว่าไง ว่าฉันปากหมางั้นเหรอ!!! แหม ยุ่งหน่อยก็ตายไม่มีศพเหมือนกันทั้งนั้นแหละ” ลูลู่รีบตอบพลางจีบปากจีบคอ หันมองเพื่อนรักแบบประชดประชัน “อ้าวอีลูลู่!”“ว่าไงล่ะ อีเจ้!”สองสาวประเภทสองเริ่มโต้เถียงกันเสียงดังอย่างที่ทำให้ลูกน้องพากันถอนหายใจไปตาม ๆ กัน ก็เรื่องปากนี่แหละที่ทำให้ทั้งคู่เป็นเพื่อนซี้กันมาได้“เจ้ ๆ ค
“สวัสดีค่ะ คุณหญิงลดา คุณหนูไอริน” เสียงของสาวใช้ดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้ดารินหันไปมอง นัยน์ตาสีน้ำผึ้งจ้องไปยังมารดาผู้ให้กำเนิด ความรู้สึกวูบไหวแล่นเข้ามาในใจเธอโดยไม่อาจห้าม คุณหญิงลดาเพียงปรายตามองลูกสาวที่พลัดพรากไปนานถึง 24 ปี ใบหน้าของดารินเหมือนกับไอด้า ลูกสาวคนโตแทบจะถอดแบบกันออกมา แต่สิ่งที่ต่างคือแววตา ไอด้ามีแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจเด็ดเดี่ยว ผิดกับดารินที่แววตาดูอ่อนแอและไม่กล้าสู้ใคร“อ้าว คุณกลับมาแล้วหรือ มานั่งนี่สิ มานั่งใกล้ ๆ” เกรียงไกรส่งยิ้มพร้อมผายมือเชื้อเชิญภรรยาของเขาให้นั่งข้างดาริน “ผมดีใจจริงๆ ที่ครอบครัวเราได้กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง”“ไม่ล่ะ ฉันจะนั่งกับไอริน แค่เห็นหน้าก็พอแล้ว” น้ำเสียงเย็นชาของคุณหญิงลดาทำให้ดารินนั่งตัวแข็ง เธอพยายามบังคับใจให้สงบ แม้ลึก ๆ แล้วรู้สึกได้ว่าการกลับมาครั้งนี้อาจไม่เป็นที่ต้องการ“เอาล่ะๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมนั่งข้างลูกเอง” เกรียงไกรยิ้มบาง พลางส่งสายตาปลอบใจดารินขณะนั่งลงข้างเธอ “วันนี้ผมให้แม่บ้านเตรียมอาหารเยอะแยะเลยนะ จะได้ฉลองที่เราได้ลูกกลับมา”“โอ้ย จะฉลองอะไรคุณ เวลานี้มันใช่เวลาฉลองไหม ไ







