หิมะตกหนักจนทั่วทุกแห่งหนขาวโพลน
อาณาเขตกางกั้นระหว่างรัฐหลู่และนอกด่านมีกำแพงขวางกั้นสองชั้น แบ่งเป็นชั้นนอกและชั้นใน จินเฟยจอดรถม้าเมื่อถึงที่หมาย เขาห่อตัวเหยาอี้เหยาเอาไว้ในเสื่อเก่าๆ จึงดูไม่ต่างอะไรกับศพ อีกทั้งร่างกายของนางยังแผ่พลังหยินอันมหาศาล จนคนทั่วไปรู้สึกได้ สิ่งที่อยู่ในห่อผ้าให้อารมณ์เฉกเช่นศพ ผู้อาวุโสฉู่ยืนอยู่หลังกำแพงชั้นใน หลุบตามองม้วนเสื่อเก่าๆ อย่างเงียบๆ เขาได้รับจดหมายจากฉู่ซีเย่ว่าวันนี้จะนำตัวสายของไท่จื่อหย่งสวินมาฝากไว้ ในความหมายเหมือนจะบอกให้เขาคุมขังนางไว้ในนอกด่านตลอดชีวิตนาง ทว่าด้วยสภาพของนางในตอนนี้ อาจจะไม่ใช้เวลานานก็เป็นไป ไม่แน่วันนี้มะรืนนี้ นางอาจจะจากไป เพราะพลังหยินของนางไม่สมดุล สายตาของผู้อาวุโสเฉียบคม วิชาแพทย์ขั้นสูงของเขาทำให้มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่านางถูกพิษแมลงคุณไสย ซึ่งไม่มียาถอน ชีวิตนางคงอยู่ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา “เรียนผู้อาวุโสฉู่ ซื่อจื่อให้บอกท่านว่านางเป็นของท่านแล้ว ท่านจะทำอย่างไรกับนางก็ถือเป็นสิทธิ์ขาดของท่าน ขอเพียงไม่ให้นางออกนอกด่านอีกเป็นพอขอรับ” “นางเป็นลูกหลานสกุลใด” อย่างน้อย หากนางตายไป เขาจะได้เขียนป้ายให้สักคำ “สกุลเหยาขอรับ เป็นบุตรสาวของเหยาซือหม่า” ผู้อาวุโสฉู่เงียบไปพักหนึ่ง หลังจากนั้นจึงเปิดม้วนเสื่อออก เหยาอี้เหยายังคงอยู่ในท่าเดิมคือกอดปิ่นเงินของท่านแม่นางไว้แนบอกราวกับของรักของหวง ปิ่นเงินนั้นเรียบง่ายธรรมดา ทว่าตรงปลายด้ามกลับสลักตัวอักษรไว้ตัวหนึ่ง เป็นชื่อของผู้อาวุโสฉู่...สุยโจว ผู้อาวุโสฉู่หันกลับมามองเหยาอี้เหยา สายตาเขาบอกว่าชัดว่าตราบใดที่เขายังอยู่ นางก็จะไม่ตาย รัชศกต้าหย่ง ปีที่ 44 ราชวงค์ต้าหย่งเป็นที่ครหาของประชาชน เนื่องด้วยเรื่องในอดีตซึ่งไท่จื่อหย่งสวินเคยกระทำต่อพี่น้องร่วมสายโลหิตอย่างองค์หญิงเจ็ดแดงขึ้นมา แรกทีเดียวไม่มีผู้ใดกล้าเชื่อว่าองค์หญิงซึ่งจากไปหกปียังคงมีพระชมม์ชีพอยู่ แต่การปรากฏตัวของพระองค์คือหลักฐานอันไม่อาจปฏิเสธได้ ด้วยเหตุนี้ ไท่จื่อหย่งสวินจึงถูกปลดออกจากตำแหน่งและเนรเทศออกจากเมืองหลวง ฮ่องเต้หย่งฉีได้แต่งตั้งองค์หย่งหยวนหยวน ขึ้นเป็นองค์ชายรัชทายาท นับตั้งแต่วันประกาศ ทิศทางคลื่นลมในวังไม่สงบอีกเลย 6 ปีต่อมา ถ่านสีดำสนิทถูกหยิบขึ้นมาจากตะกร้า เหยาอี้เหยากำลังบรรจงขีดเส้นทับไปบนเสาของห้องตนเอง ก่อนจะถอยออกมามองด้วยความกลัดกลุ้มจนใบหน้านวลที่เริ่มเผยโฉมของความงดงามต้องหม่นหมอง “ปีหน้าข้าจะอายุสิบห้าแล้ว...” เหยาอี้เหยาจดจำได้ไม่ลืม เมื่อหกปีก่อนฉู่ซีเย่บอกนางไว้ว่าต่อให้นางจะกินยาระงับพิษ แต่นางจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงแค่อายุสิบห้าปี ตอนนั้นนางไม่ค่อยเชื่อ ทั้งยังมีความหวังว่าฉู่ซีเย่อาจจะคิดค้นยาถอนพิษขึ้นมาได้ แต่ไม่เลย เขาไม่ได้คิดค้นยาถอนพิษใดๆ และส่งตัวนางมาอยู่นอกด่านกับผู้อาวุโสฉู่ที่ไม่โปรดปรานนางแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้นเขาจะเมินเฉยต่อนางเช่นนี้หรือ เหยาอี้เหยาจำได้ดีว่าถึงวันแรกที่ฟื้นขึ้นมาจากการหลับใหลนั้นถูกปฏิบัติอย่างเย็นชาเพียงใด ผู้อาวุโสฉู่ให้คนนำนางไปอยู่ในเรือนหลังเล็ก ติดกับกำแพงชั้นในของด่าน ตั้งกฎเกณฑ์และข้อห้ามกระทำให้นางปฏิบัติ เช่น ห้ามออกนอกด่าน ห้ามไปที่สุสานของท่านตา และห้ามนางเรียนวิชาแพทย์ ข้อห้ามออกนอกด่านนางเข้าใจดีว่าเป็นฉู่ซีเย่ไม่ให้นางทำ ส่วนห้ามไปสุสานท่านตานั้นเป็นเพราะว่าในตัวของนางมีแมลงคุณไสย พลังหยินในสุสานเป็นปรปักษ์ต่อนาง แต่ห้ามเรียนวิชาแพทย์คืออันใด? ตอนนั้นนางคิดว่าไม่เป็นอะไร เขาไม่สอนนาง นางไปหาอาจารย์ท่านอื่นก็ได้ ทว่าชุมชนนอกด่านคับแคบ เมื่อผู้อาวุโสฉู่ไม่สอนนาง ใครก็ไม่กล้าสอนนางเช่นกัน ความจริงเหยาอี้เหยาไม่สนใจวิชาแพทย์นักหรอก นางชอบงานสำรวจสำมโนครัวที่นางทำในตอนนี้มากกว่า ทว่าร่างกายของนางมีสิ่งมีชีวิตซึ่งสามารถพรากลมหายใจนางไปได้ นางจึงสนใจวิชาแพทย์เหนือสิ่งอื่นใด แต่กลับไม่มีผู้สอน ไม่มีหนังสือ ตำราหรือความรู้ใดๆ ให้ศึกษาเรียนรู้ เหยาอี้เหยาอยู่ใกล้ชิดผู้อาวุโสฉู่หกปี เขาพูดกับนางแค่สี่ประโยค คือข้อห้ามทั้งหมดที่กล่าวมา หลังจากนั้นแค่หน้านางเขาก็ไม่มอง ปล่อยให้นางเติบโตเพียงลำพังในซอกกำแพง ให้ยาระงับพิษนางทุกๆ เดือนไม่ขาด เลี้ยงนางให้ไม่ตายเท่านั้น วันเวลาผ่านพ้นอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็หกปีแล้ว ปีนี้นางสิบสี่ปี เหลือเวลาอีกหนึ่งปีก่อนที่จะต้องตาย คิดแล้วนางก็เศร้า แต่ชีวิตมักเล่นตลกกับนางเสมอ นางจึงมีแนวคิดในการเอาชนะความยากลำบาก เชื่อเสมอว่ามันต้องมีหนทางในการเอาตัวรอดแน่ หากประตูปิดสิบบาน หน้าต่างต้องเปิดอยู่แน่ บานหน้าต่างที่เปิดอยู่คือเมียนเมี่ยน เหยาอี้เหยาพบกับนางตั้งแต่เดือนแรกที่มาถึงนอกด่าน และเป็นนางอีกเช่นกันที่คอยคุ้มกันไม่ให้คนนอกด่านทำร้ายตนได้ นางจึงได้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางแผ่นดินอันนองเลือด นอกจากนี้เมียนเมี่ยนยังเป็นธุระคอยส่งข่าวจากทางจี๋เฉวียนและพี่ชายให้นาง ไม่เช่นนั้นนางคงไม่สบายใจเช่นนี้ ทุกวันเหยาอี้เหยาจะไปทำงานที่กรมสำรวจสำมโนครัวที่มีนางเป็นเจ้าหน้าที่เพียงคนเดียว หน้าที่ความรับผิดชอบของนางคือการลงทะเบียนเข้าออกของคนในด่านและนอกด่าน แม้ว่างานสำรวจสำมโนครัวจะดูไม่น่าเชิดหน้าชูตา แต่งานสำรวจสำคัญมาก ทำให้รู้จำนวนประชากรที่อยู่ในด่านทั้งหมด การส่งเสริมให้คนลงทะเบียนมีตัวตนลดการก่ออาชญากรรมได้ ทั้งยังเป็นฐานข้อมูลสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรที่จำกัด รวมทั้งยังสามารถใช้ข้อมูลในทะเบียนบ้านเพื่อตามหาคนที่นางต้องการ เช่นคนที่รู้เรื่องพิษแมลงคุณไสย... กรมสำมโนครัวอยู่ทิศใต้ของกำแพง ห่างจากด่านชั้นนอกไม่มาก วันนี้เหยาอี้เหยาพบเรื่องสำคัญเข้าแล้ว นางจึงเรียกเด็กรับใช้ซึ่งทำงานปัดกวาดในกรมมาส่งจดหมายไปหาเมียนเมี่ยน ไม่นานเด็กรับใช้ชื่อ ‘ฟั่นฟั่น’ ก็กลับมารายงาน “นายน้อย นายหญิงตกลงที่นัดหมายตามที่เขียนในจดหมาย แต่ขอเปลี่ยนเวลาเป็นตอน*จงอู่ (ตอนเที่ยง) ” เหยาอี้เหยาพยักหน้าพอใจ แล้วให้เงินฟั่นฟั่นไป ทว่าเจ้าหนูยังอยู่ที่เดิม ท่าทางเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดอีก “มีอันใดอีก” “ข้อน้อยมีข่าวจะรายงานท่านด้วย” แน่นอนว่าข่าวทุกอย่างคือเงิน ฟั่นฟั่นแบมือขอพร้อมกระพริบตาปริบๆ “สองอีแปะ ลดให้ท่านสองเท่าเพราะเป็นลูกค้าประจำ” “ติดไว้ก่อน ถ้าเป็นข่าวสำคัญพรุ่งนี้จะเอามาให้สี่อีแปะ” “ย่อมเป็นเรื่องสำคัญ” ฟั่นฟั่นกวักมือว่าให้เหยาอี้เหยาเอียงหูมาฟังดีๆ “นายน้อย ข้าได้ข่าวของแม่นางที่ท่านพยายามตามหาแล้ว นางถูกย้ายมาจากหอโคมเขียวที่เมือง ใช้ชื่อว่าจางเม่ยเหมย” “แน่ใจรึว่าเป็นจางลี่” ฟั่นฟั่นยืนยัน “นางมีหน้าตาเหมือนภาพที่ท่านวาด เป็นนางแน่ๆ” เหยาอี้เหยาจุ่มพู่กัน กางกระดาษ นางไม่ได้ข่าวคราวของจางลี่นับตั้งแต่เมื่อหกปีก่อน ทั้งๆ ที่คณะราชทูตทุกคนยังพอสืบหาข่าวได้ นางจึงเป็นกังวลและพยายามตามหาจางลี่มาตลอด ด้วยรู้ว่านางถูกขายต่อให้หอโคมเขียว “ฟั่นฟั่น เอาจดหมายไปให้เมียนเมี่ยนอีกรอบ บอกนางว่าข้าขอเลื่อนนัดเป็นมะรืน วันสองวันนี้ข้าจะไปทำธุระก่อน” “จะออกนอกด่านรึขอรับ แล้วเงินข้าเล่า” “กลับมาแล้วข้าจะให้เจ้า” แม้ผู้อาวุโสฉู่จะมีกฎข้อห้ามไม่ให้นางออกจากนอกด่าน แต่เหยาอี้เหยาไม่เคยทำตาม นางเคยแอบลอบหนีออกไปนอกด่านแถวๆ เส้นเขตแดนของรัฐเยี่ยนสองสามครั้งในระหว่างปีนี้เพื่อหาวิธีรักษาตัวเอง แม้จะไม่พบวิธีใดๆ แต่นางก็ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ เรื่องนี้ผู้อาวุโสฉู่เองก็คงจะรู้แจ้ง แต่เพราะนางไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากยาระงับพิษ เขาจึงไม่ได้ขัดขวางห้ามปราม ยังไงนางก็หนีไปไหนไม่ได้อยู่ดี เหยาอี้เหยาผลัดชุดจากคนนอกด่านเป็นชุดของชาวแดนเหนือ เวลานี้เป็นเทศกาลฤดูหนาว ประตูที่ปิดตายของชายแดนจึงเปิดออก การเข้าออกง่ายกว่าช่วงเวลาอื่นๆ เพียงแต่ต้องมีป้ายชื่อ ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่นางชอบงานในกรมสำมโนครัว ...เพราะนางปลอมป้ายชื่อได้ “ป้ายชื่อ” “นี่ขอรับพี่ชาย” เหยาอี้เหยาดัดเสียงให้ต่ำเล็กน้อย นางแต่งตัวเป็นบุรุษตั้งแต่ในด่านเพื่อปกป้องตัวเอง เขตชายแดนเป็นพื้นที่ป่าเถื่อน นางต้องระมัดระวังตนเองให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจถูกลากไปทำร้ายก็ได้ “เข้าไปได้” ทหารรักษาการณ์ให้นางเข้าไปได้ เหยาอี้เหยากล่าวขอบคุณซ้ำๆ ก่อนจะแทรกซึมเข้าไปในเมืองโจวอี้เป็นครั้งแรกในรอบหกปี เมื่อถึงตัวเมืองอันเป็นศูนย์กลางย่านเริงรมย์ในยามกลางคืน ฟ้าก็ได้มืดสนิทแล้ว เหยาอี้เหยาไม่ได้ตรงไปที่หอโคมเขียวเลย แต่นางลอบสังเกตการณ์และดูลาดเลาอยู่แถวนั้น ไม่เข้าไปใกล้ หอโคมเขียวหรูหราประดับประดาไปด้วยไฟหลากสี กลิ่นเครื่องหอมจรุงใจลอยอวลอยู่ในหอประหนึ่งร้านขายถุงหอมจนโชยออกมาด้านนอก เหล่าหญิงงามและแขกของหอกำลังหยอกล้อคลอเคลีย นางใดซึ่งได้ตกลงซื้อขายกันแล้ว ต่างพากันขึ้นไปเสพสังวาสด้านบน เหยาอี้เหยาซึ่งภายนอกเหมือนเด็กหนุ่มหน้าหวานผู้มาเปิดประสบการณ์ชีวิตครั้งแรกเป็นเป้าสายตาของแม่เล้าในทันที ทั้งๆ ที่นางอยู่ในชุดมอมแมมยิ่ง หากได้คุณชายมาเป็นเด็กในหอโคมเขียว กิจการต้องรุ่งเรืองแน่ “คุณชายน้อยท่านนี้ ไม่ทราบว่าเป็นคุณชายบ้านใดหรือเจ้าคะ” สายตาเฉียบแหลมของแม่เล้าจดจ้องนาง มองด้วยประสบการณ์อันช่ำชอง ปราดเดียวก็ดูออกว่าเหยาอี้เหยาไม่ใช่คุณชายน้อยขี้เหร่ทั้งยังมีรูปร่างหน้าตาที่น่าทะนุถนอมยิ่ง... “เรียนแม่นาง ข้าน้อยมาตามหาคนผู้หนึ่ง” เหยาอี้เหยายิ้มน้อยๆ พยายามไม่แสดงความรู้สึกเมื่อถูกแม่เล้าประชิดตัวอย่างรวดเร็ว “ผู้ใดกันจึงทำให้คุณชายน้อยถึงขั้นมาตามหาได้ มิสู้เรามานั่งคุยกันในหอของข้าดีหรือไม่” แม่เล้ายิ้มหวาน ลอบมองเด็กหนุ่มที่งดงามอ่อนเยาว์ด้วยหัวใจเต้นระรัว ผิวกายเนียนนุ่มละเอียดดุจผิวทารกใสกระจ่าง ใบหน้าจิ้มลิ้มหวานละมุน ผมเงาดำขลับดุจเส้นไหม ดวงตากลมโตสุกใสดั่งดวงดารา...เด็กหนุ่มคนนี้สามารถทำเงินให้นางในระดับมหาศาลได้แน่ “ไม่รบกวนแม่นางดีกว่าขอรับ ข้าน้อยสวมชุดไม่สะอาด เกรงจะทำกิจการของท่านมัวหมอง” เหยาอี้เหยามั่นใจว่าตนเองปลอมตัวได้ดีมาก แล้วเหตุใดแม่เล้าผู้นี้จึงทำเหมือนจะอยากได้ตัวนางไปเป็นเด็กในเล้า หรือแม่เล้าจะขายเด็กหนุ่มด้วย? แม้จะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าหอโคมเขียวขายบริการเด็กหนุ่มด้วย “คุณชายน้อย ท่านจะไปไหนเจ้าคะ” เหยื่อเริ่มรู้สึกตัวแล้ว นางจึงคว้าแขนไว้ “ข้ามีธุระ แม่นาง ข้าขอตัวก่อน” เหยาอี้เหยารั้งแขนตนเองกลับมาจากมือของแม่เล้าแล้วรีบสืบเท้าจากไป ทว่าแม่เล้าถูกใจนางยิ่ง “ไปจับตัวคุณชายน้อยมาให้ข้า” มีคนไล่ตามมา เหยาอี้เหยาประสบเรื่องยุ่งยากเข้าเสียแล้ว เบื้องหน้านางคือทางตันสายหนึ่ง เหยาอี้เหยาไม่เคยหัดวรยุทธ์เพราะเมียนเมี่ยนบอกว่านางไม่มีกระดูกของผู้ฝึกยุทธ์ ทั้งร่างกายยังมีแมลงคุณไสย นางจึงอ่อนแอกว่าคนทั่วไป ทำให้นางต้องคิดหาทางเอาตัวรอดโดยอาศัยสมองอย่างเดียวเท่านั้น เหยาอี้เหยาตัวเล็ก นางสามารถมุดเข้าไปในซอกกำแพงหรือช่องเล็กๆ ได้ แต่นางเสียเปรียบเรื่องความรู้ทางภูมิศาสตร์ของตรอกซอกซอยต่างๆ ทั้งคนของแม่เล้ายังเป็นคนงานที่ใช้ได้ ตามติดชนิดนายพรานล่าเหยื่อ นางจึงถูกต้อนเข้าไปในงานเทศกาลฤดูหนาว ทั้งๆ ที่นางรู้ดีว่าการมาเยือนในสถานที่แห่งนี้ เสี่ยงมากที่จะบังเอิญพบกับฉู่ซีเย่ แต่ไม่มีทางเลือกแล้ว ทันทีที่นางวิ่งเข้างานเทศกาลฤดูหนาวได้ คนในงานนับหมื่นคนช่วยรั้งคนของแม่เล้าไว้ที่ปากทาง ส่วนเหยาอี้เหยาที่ตัวปราดเปรียวผอมบาง วิ่งแทรกซึมไหลไปตามมวลชนจนพ้นแล้ว ทว่าก็ยังวางใจไม่ได้ นางเกรงว่าจะมีคนคอยดักนางอยู่ที่ทางเข้า จึงตัดสินใจออกไปทางด้านหลังของงาน ซึ่งนั้นหมายความว่านางจะต้องเดินไปจนสุดถนนสายนี้ให้เร็วที่สุด สายลมพัดโชยมาจากทางเหนือพัดผ่านร่างเขาไป ฉู่ซีเย่หยุดมือที่กำลังยกจอกสุรา เขาจดจำพลังหยินที่รุนแรงเช่นนี้ได้ ...นางแอบหนีมาหรือ? “มีอะไรหรืออิ่นจื่อ” ฉู่ซีเย่ยิ้มเล็กน้อย พลางจิบสุราทิ้งท้าย “ไม่มีอะไร” ฉู่ซีห่าว “ไม่มีอะไรแล้วเจ้าจะไปที่ใด” “จับลูกหนู ข้าได้กลิ่นมันมาปวนเปี้ยนแถวนี้” ฉู่ซีเย่เดินลงจากหอชมจันทร์ถึงชั้นสี่ ประสาทสัมผัสพลันตื่นขึ้น เขาไวต่อพลังหยินของนางจนไม่อาจจะนิ่งเฉย ดวงตาสีอ่อนราวผลึกแก้วหลุบลง สายลมพัดโชย ระบุตำแหน่งของนางที่อยู่ระหว่างร้านสินค้าของนอกด่าน นางดู...โตขึ้นไม่น้อย? แผ่นหลังของนางพลันร้อนผ่าน ราวกับมีสายตาของคนผู้หนึ่งจดจ้องอยู่ เหยาอี้เหยาสอดส่ายสายตาไปทั่ว นางรู้สึกว่ามีคนมองจากที่ไหนสักที่ แต่ที่ไหนหรือใครกัน นางยากจะระบุทิศทางหรือตำแหน่ง น่ากลัวยิ่ง ใครกันที่จ้องนางปานจะฆ่าแกง! เหยาอี้เหยาไม่สบายอย่างยิ่ง นางจึงสาวเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม หวังว่าจะรีบออกไปจากงานเทศกาลให้เร็วขึ้นอีกสักนิด แต่คนของแม่เล้าแสระยิ้มอยู่สุดทางเดิน ครั้นนางรู้ตัว ทางทั้งหมดก็ถูกล้อมเอาไว้แล้ว “คุณชายน้อย อย่าหนีให้เหนื่อยอีกเลย ไปกับพวกข้าดีๆ จะได้พอใจกันทุกฝ่าย” เหยาอี้เหยาปั้นหน้ายิ้ม นางสัมผัสได้ว่าคนที่จ้องนางกับคนของแม่เล้าเป็นคนละกลุ่มกัน “พี่ชายท่านนี้ ข้าน้อยไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องไปกับพวกท่านด้วย ข้าติดหนี้อะไรพวกท่านงั้นหรือ” “ไม่ติดหนี้พวกข้า แต่เจ้าต้องไปพบนายหญิงกับพวกข้า” “ย่อมได้ๆ แต่วิ่งหนีมานานรู้สึกเหนื่อยมาก คงจะเดินต่อไปไม่ไหวแล้วล่ะพี่ชาย ถ้าท่านอยากให้ข้าไปด้วย ขอรถม้าสักคันเถอะนะ” ไม่รู้ทำไม แต่นางรู้สึกว่าสายตาของคนที่มองนางน่ากลัวคนของแม่เล้า ดังนั้นขอไปกับคนของแม่เล้าดีกว่า “ได้ แต่เพื่อกันเจ้าหนี คงต้องมัดมือสักหน่อย” คนพวกนั้นมองหน้ากัน ก่อนจะยอมรับเงื่อนไข ด้วยนางคือสินค้าชั้นยอดในอนาคต “ได้สิ” เหยาอี้เหยายอมให้มัดมือดีๆ ก่อนจะขึ้นไปบนรถม้า นางทำตัวว่านอนสอนง่ายไม่ดื้อรั้น เก็บเรี่ยวแรงเอาไว้เพื่อเล่นงานคนพวกนี้ทีหลัง พ้นจากภัยอันตรายของคนในมุมมืดเมื่อไหร่ นางจะสั่งสอนคนพวกนี้แน่ คอยดูเถิด!ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”