หอสราญรมย์มีแขกผู้ไม่คาดฝันมาเยือนในยามวิกาล เจ้าของหอรีบลงมาต้อนรับโดยทันที ไม่กล้าชักช้า
"หากผู้น้อยต้อนรับผิดพลาดประการใด ขอซื่อจื่อโปรดอภัย" หอสราญรมย์ขึ้นชื่อเรื่องอาหารและที่พัก แขกของหอเป็นคนชั้นสูงมีเงิน แต่ฉู่ซีเย่คือระดับสูงกว่านั้น จนทำให้หอเลื่องชื่อเป็นเพียงที่พักดาษดื่น เถ้าแก่ถึงกลับต้องตบหน้าตนเองสามครั้ง ถึงจะเชื่อว่าไม่ได้ฝันไป "ซื่อจื่อขอรับ ไม่ทราบว่าท่านต้องการห้องแบบใด ผู้น้อยจะจัดการหาให้ท่านโดยทันที" ฉู่ซีเย่กล่าวยิ้มๆ ไม่อยากให้ทำเป็นเรื่องใหญ่ "ขอทุกห้องที่ว่าง" รถม้าเคลื่อนที่ไปบนถนนหินของเมือง ผ่านร้านรวงสองข้างทาง จนออกมานอกงานเทศกาลฤดูหนาวอันครึกครื้นในเวลาต่อมา กระแสอำมหิตที่นางเคยรู้สึกหายไปแล้ว จึงเตรียมตัวที่จะหลบหนีไปจากตรงนี้ เหยาอี้เหยาแก้เชือกที่มัดมืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะรั้งเชือกเอาไว้ในมือ ผูกเป็นปมให้คล้ายนางยังถูกมัดอยู่ แต่กระตุกนิดเดียวก็หลุด คนของแม่เล้าควบคุมรถม้าอยู่หนึ่งคน ส่วนที่เหลือขนาบข้างซ้ายขวา ดื่มสุราในขวดน้ำเต้าพร้อมพูดคุยอย่างออกรสชาติ มึนเมาพอสมควร ถนนเส้นนี้เป็นถนนสายรอง ยามปกติก็ไม่ค่อยมีคน ยิ่งยามนี้มีงานเทศกาลฤดูหนาวพอดี จึงเปลี่ยวร้าง มีเพียงคนเคาะกระบอกไม้ไผ่คอยบอกเวลาและย้ำเตือนเรื่องฟืนไฟผ่านไปอย่างงกๆ เงิ่นๆ เหยาอี้เหยายกเท้าขึ้นมากระแทกไปยังผนัง เสียงดังปังๆ “อัยย่า! พี่ชายโปรดหยุดก่อน! ข้าน้อยปวดเบากะทันหัน โอ๊ย! ไม่ไหวแล้ว จะราดแล้ว!” “ใครให้เจ้าส่งเสียงดัง” อาหนงมาดูด้วยใบหน้าทะมึนจากช่องหน้าต่าง “อย่ามาลูกไม้ให้ยาก ถ้าจะราดก็ราดตรงนี้เลย!” “โธ่ พี่ชาย ข้าน้อยจะกล้าทำรถม้าของพวกท่านเปรอะเปื้อนสิ่งปฏิกูลของข้าได้อย่างไร” นางพูดต่อ “หรือถ้าพวกท่านไม่ถือจริงๆ งั้นข้าราดตรงนี้นะ เอาล่ะ จะปลดปล่อยเดี๋ยวนี้” “หยุดๆ ทำเช่นนี้ไม่ได้! ก็ได้ ข้าจะยอมให้เจ้าลงมาปลดเบาก็ได้” รถม้าคันนี้เช่ามา ถ้าสกปรกขึ้นมาคงต้องจ่ายเพิ่มโดยใช่เหตุ แต่อาหนงก็รอบคอบให้คนมายืนดักไว้ พร้อมทั้งไม่ลืมดูว่ามือนางยังถูกมัดไว้หรือไม่ “ขอบคุณพี่ชาย” ประตูรถม้าเปิดออก เหยาอี้เหยาดวงตาเปล่งประกาย นางกระโดดเตะหน้าอาหนงแล้วพุ่งตัวหนีอย่างรวดเร็ว “เจ้า!” “ลาก่อนพี่ชาย!” “จับมันเร็วเข้า!!!” ช้าไปแล้ว เหยาอี้เหยาเหมือนลูกธนูพุ่งออกจากสาย นางใช้ชีวิตในพื้นที่ป่าเถื่อนที่สุดของแดนเหนือโดยไร้วิชายุทธ์ สมองและสองขาจึงยอดเยี่ยม เมียนเมี่ยน ‘อี้เหยา เจ้าน่ะฝึกวิชายุทธ์ไม่ได้จริงๆ แต่สมองเจ้าดีมาก’ จี๋เฉวียน ‘คุณหนูเหยา เวลาเกิดเรื่องอะไร ไม่ต้องคิดมากหรอก วิ่งให้เร็วเป็นพอ’ การวิ่งนี่นางฝึกมาหกปีแล้ว หากไม่ใช่ผู้มีวิชาอย่างเมียนเมี่ยน จ้างให้ตายก็ไม่มีใครตามนางทันแน่ ส่วนเรื่องเอาคืนคนพวกนี้ เหยาอี้เหยาจะไม่ปรานี! “เอานี่ไป เป็นของที่ระลึกจากข้า” เหยาอี้เหยาปิดจมูก นางโปรยผงบดของพืชไปทางพวกอาหนง ทุกคนผงะถอยหลังแต่ไม่ทันแล้ว ค่ำคืนนี้สายลมยังเป็นใจให้นาง “อ้าก! ลูกพี่ หญ้าเถาคัน!” “อย่าให้ข้าจับเจ้าได้นะ!” “ยินดียิ่ง มาตามจับข้าเร็วๆ ล่ะ” เหยาอี้เหยายิ้มกว้าง นางไม่เคยเรียนวิชายุทธ์หรือวิชาแพทย์ แต่ลูกไม้พวกนี้เป็นนางจำมาจากจี๋เฉวียน เขาชอบใช้พืชเถาที่มีพิษคันเป็นพิเศษมาล้อเล่นกับคนอื่น อาการหลังโดนพิษไปจะคันสมชื่อ สองสามวันให้หลังจะหายได้เอง ไม่มีพิษภัยถึงชีวิต เหยาอี้เหยายิ้มหน้าระรื่น วิ่งหายไปจากหัวมุมถนนทันที คณะทูตจากต้าหย่งยังคงปฏิบัติงานอยู่ในแดนเหนือ ขยับขยายฐานะจากหกปีก่อนเพียงเล็กน้อย อันที่จริงพวกเขาได้ปลดประจำการเมื่อปีก่อน แต่ทั้งสามคนปฏิเสธและขออยู่ต่อ จนกว่าจะตามหาเหยาอี้เหยาพบ พวกเขาเชื่อฝังใจตรงกันว่าการหายตัวไปของนางต้องเป็นฝีมือของคนอำมหิตฉู่ซีเย่แน่ แต่ก็ไร้หลักฐาน… ทำได้เพียงสืบหาข้อมูลเบาะแสลับๆ อย่างไม่เปิดเผย แต่ช่วงนี้สถานการณ์ทางราชวงศ์ส่งผลมาถึงพวกเขา การสิ้นอำนาจของไท่จื่อหย่งสวินทำให้ขยับตัวลำบาก อีกไม่นานพวกเขาคงถูกฉู่ซีเย่บีบให้กลับเมืองหลวง จึงพยายามตามหาเหยาอี้เหยาสุดความสามารถในทุกๆ วัน ทว่าผลลัพธ์ช่างน่าผิดหวัง ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ระย่อท้อ ยังคงมีความหวังต่อไปว่าสักวันจะพบนาง ลู่หมิงมีความรู้สึกผิดต่อนางอยู่มากใช้เวลาค้นคว้าหกปี ประดิษฐ์ของเล่นชิ้นหนึ่งขึ้นมา เป็นเข็มทิศตรวจจับพลังหยินด้วยกลไกพิเศษ ตลอดปีนี้มันไม่เคยขยับเลย จนกระทั่งคืนนี้ ลู่หมิงสืบเท้าขึ้นบันได แทรกตัวขอทางคนในงานเทศกาลฤดูหนาวเพื่อไปหากงจิ้งและซ่างเจวี๋ย “เข็มมันขยับ อี้เหยาอาจจะอยู่ในเมือง” “เจ้าแน่ใจแค่ไหน” ปีก่อนที่เข็มทิศยังอยู่ในขั้นทดลอง มันเคยขยับมั่วซั่วตรวจจับพลังหยินของศพ ทำให้พวกเขาหัวใจชาเหน็บทุกครั้งที่ต้องไปเจอร่างไร้วิญญาณ …กลัวเหลือเกินว่านั่นอาจจะเป็นนาง “ที่ใด ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ขอแค่มีเบาะแส ที่ใดซ่างเจวี๋ยก็ไป ลู่หมิงหมุนตัวไปตามเข็ม จากชั้นเจ็ดของหอสุรา เขางุนงงเล็กน้อยเพราะเข็มทิศชี้ไปยังทิศใต้ ยอดหออันเด่นสะดุดตาเห็นอยู่ใกล้ๆ หอโคมเขียวรึ? ลู่หมิงขยับสายตาไปอีกหน่อย หรือหอสราญรมย์? ม่านลูกปัดระย้าถูกมือเรียวเปิดออก เรือนร่างเย้ายวนอวบอิ่มกรีดกรายเข้ามาในห้อง ครั้นถึงตำแหน่งที่พอเหมาะ จางลี่ประสานมือแล้วยอบกายอย่างแช่มช้อย “หวงมามา ข้าน้อยได้ยินว่าท่านเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย จึงตั้งใจชงชาดอกไม้มาให้เจ้าค่ะ" “ข้าบอกแล้วไม่ใช่รึ ว่าข้าขออยู่เงียบๆ” หวงมามาเหลือบตาขึ้นมอง พ่นควันจากยาสูบออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เนื่องจากลูกน้องที่ถูกส่งไปจับ ‘เหยื่อ’ พลาดท่าอย่างน่าหงุดหงิด “ข้าน้อยได้ยินว่าท่านให้พวกอาหนงไปจับคุณชายน้อยท่านหนึ่ง แต่ไม่สำเร็จ” “เจ้าจะมาตอกย้ำข้ารึ?!” หวงมามาดีดลูกคิดไว้หมดแล้ว นางให้คนสืบหาประวัติเด็กหนุ่มคนนั้นก่อน พบว่าเป็นเพียงเด็กกำพร้าไร้ญาติสนิทมิตรสหายนางจึงใจกล้าส่งคนไปจับตัวมา แต่ลูกน้องนางช่างไร้สมอง ถูกเด็กคนหนึ่งเล่นงานจนต้องหามไปโรงหมอ คิดแล้วนางก็อารมณ์ขึ้น สูบยาเข้าปอดแรงๆ! “หวงมามาอย่างเข้าใจผิด ข้าน้อยมาหาท่านเพราะเห็นว่าข้าอาจจะช่วยท่านพาตัวคุณชายน้อยมาให้ท่านได้…” “เจ้าว่าอันใดนะ” หวงมามาเอ่ยถาม รู้จักนิสัยนางดีว่าถึงแม้จางลี่จะไม่ได้งดงามหยาดเยิ้ม แต่นางคนนี้ฉลาด ทำเงินให้หอโคมเขียวไม่น้อยตั้งแต่เข้ามา “หวงมามา ข้าน้อยขอสอบถามอะไรสองสามข้อ เพื่อยืนยันว่าสามารถช่วยท่านได้หรือไม่” “ว่ามา” “คุณชายน้อยท่านนั้นอายุอานามเท่าใดหรือเจ้าคะ” “สิบสามสิบสี่ ไม่เกินนี้แน่” “หวงมามา เช่นนั้นเด็กหนุ่มคนนี้หน้าตาอย่างไร” “แม้จะทาถ่านไว้ที่หน้าแต่ข้าแอบเห็นผิวใต้แขนเสื้อ เนียนละเอียดยิ่ง เค้าโครงหน้ากระจุ๋มกระจิ๋ม น่ามองไปทุกส่วน หากจับมาอาบน้ำล้างตัวดีๆ ขี้คร้านจะมีแต่คนขนเงินขนทองมาแลกกับเขา” จางลี่ยิ้มพลางพยักหน้า “แค่ฟังท่านพูดก็รู้เลยว่ารูปงามนัก คุณชายน้อยผู้นี้ใช้ปิ่นลักษณะใดหรือเจ้าคะ?” หวงมามานิ่งคิด ตอนที่นึกออก จางลี่ก็พูดขึ้นมา “ใช้ปิ่นเงินเรียบๆ ดอกสาลี่หรือเปล่าเจ้าคะ” “ใช่ๆ เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” “หวงมามา ถ้าข้าน้อยพาตัวคุณชายน้อยมาให้ท่านได้ ท่านจะให้อะไรตอบแทนแก่ข้า” หวงมามาเอ่ยถาม หากนางพาคุณชายน้อยมาได้ เงินมากมายหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายแน่ “เจ้าอยากได้สิ่งใด” จางลี่รู้ว่าฉู่ซีเย่ขายนางให้หวงมามาเพราะรู้กิตติศัพท์ความเลวร้ายของหอโคมเขียว นางทนทุกข์ทรมานในหอแห่งนี้มาหกปีแล้ว “ข้าต้องการอิสระ” กลางคืนอากาศหนาวเย็น เหยาอี้เหยาคลุมกายด้วยผ้าสีดำ ซุกตัวอยู่หลังกองหินในอารามร้างเพื่อนอนหลับ แสงจันทร์ทอประกายสีเงินยวง นางหยิบปิ่นปักผมของท่านแม่มาลูบคลำเพื่อคลายความกังวล อันที่จริงปิ่นเงินชิ้นนี้เป็นของบุรุษ เมื่อก่อนนางคิดว่าอาจจะเป็นของท่านพ่อที่ท่านแม่เก็บไว้ แต่พอเห็นตัวอักษรตรงด้ามปิ่น นางถึงเข้าใจว่าปิ่นนี้น่าจะเป็นของผู้อื่น เหยาอี้เหยาจินตนาการไม่ออกว่าผู้ใดกันที่ทำให้ท่านแม่อยากเก็บทะนุถนอมไว้ถึงเพียงนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่นางกลัวหรือเหนื่อย นางจะกุมปิ่นไว้ในมือ แล้วฝากความกังวลไว้ที่ปิ่น เท่านี้เรื่องหนักหนาก็วางลงได้ “ท่านแม่ ข้าจะหลับแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะเจ้าค่ะ” นางหลับตาพักผ่อน ท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงเสียงแมลงร้องเหยาอี้เหยาได้ยินเสียงฝีเท้าคนพร้อมกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เหยาอี้เหยาไม่อยู่เฉย นางซ่อนตัวโดยพลัน เพื่อสังเกตการณ์ เกรงว่าอาจจะเป็นเรื่องต้มตุ๋น ส่งคนมาเป็นนกต่อ สองมือนางแนบกับฐานไม้ มองลอดออกไปผ่านช่องเล็กๆ ก่อนจะตกใจเมื่อเห็นว่าจางลี่กำลังถูกคนร้ายไล่ล่าจนต้องวิ่งเข้ามาในอารามร้าง จางลี่… “ช่วยข้าด้วย! ช่วยข้าด้วย!” เหยาอี้เหยาหันซ้ายขวา ก่อนจะพบท่อนไม้อยู่ใต้เทวรูป นางรีบไปหยิบมาถือไว้ในมือ ย่องออกไปจากขอบผนัง หมายจะตีหัวคนไล่ที่กำลังคว้าคอจางลี่ไว้แน่น “อะ…อึก…” จางลี่ใกล้จะหมดลมแล้ว เหยาอี้เหยากำไม้ไว้แน่น นางโฉบตัวออกไปใช้ไม้ฟาดใส่ศีรษะของคนร้าย จางลี่กรีดร้องอย่างตะลึงพรึงเพริด “กรี๊ด!” “หนีเร็ว!” คนร้ายไม่ได้หมดสติ เขาเพียงถูกเหยาอี้เหยาฟาดซ้ำๆ จนต้องปล่อยมือจากจางลี่ ทว่าเหมือนจางลี่จะช็อก ไม่ยอมวิ่งหนี เหยาอี้เหยาจึงทิ้งไม้ในมือ แล้วคว้ามืออีกฝ่ายมาวิ่งหนี “เร็วเข้า วิ่งตามข้ามา” เหยาอี้เหยาคร่ำเคร่ง นางเกรงว่าคนร้ายจะตามมาทันจึงพาจางลี่วิ่งหนีไปไกลมาก จนสองเท้าเริ่มล้า หายใจหอบจึงหยุดพัก “พักก่อนเถอะแม่นาง เราน่าจะมาไกลมากแล้ว” นางปลอมตัวมาดี ทั้งยังไม่อยากให้จางลี่รู้ว่านางเป็นใครจึงไม่คิดจะบอก “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” “มะ…ไม่เจ้าค่ะ ข้าน้อย…” จางลี่ยกมือปิดหน้าแล้วร้องไห้โฮทันที “แม่นาง ไม่ต้องกลัว เจ้าปลอดภัยแล้วล่ะ” จางลี่สะอึกสะอื้น “คุณชายน้อย ข้ากลัวเจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าเกือบจะไม่รอด” “แม่นาง ท่านคงลำบากมามากสินะ” เหยาอี้เหยาสงสารนางจับใจ ไม่รู้หกปีมานี้เจอเรื่องอันใดมาบ้าง จางลี่ที่เข้มแข็งจึงร้องไห้จนสั่นเทาได้ขนาดนี้ “คุณชายน้อย ขอบคุณท่านจริงๆ ที่ช่วยชีวิตข้า ข้าน้อยมีฐานะต่ำต้อย ไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณคุณชายน้อยได้อย่างไร” “ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด” เหยาอี้เหยาเอ่ยถามเพราะอยากรู้ว่าจางลี่มาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร “แม่นาง ท่านมาทำอันใดแถวนี้หรือ คนร้ายไล่ตามท่านได้อย่างไร” “ข้าน้อยนั่งเกี้ยวจะกลับหอโคมเขียว แต่ถูกเจ้าคนถ่อยดักปล้น…ข้าเกือบจะถูกทำมิดีมิร้ายแล้ว” “เรื่องเป็นเช่นนี้นี่เอง” “คุณชายน้อย ถ้าข้าจะขอร้องให้ท่านไปส่งข้าที่หอโคมเขียวหน่อย จะเป็นการรบกวนหรือไม่เจ้าคะ” เหยาอี้เหยาไปไม่ได้ แต่พอเห็นว่าจางลี่จับมือนางด้วยท่าทีน่าเวทนา นางก็ใจอ่อน “เท้าเจ้าบาดเจ็บคงจะเดินไม่ไหว ข้าจะไปจ้างรถม้ามาให้ คอยอยู่ตรงนี้นะ” “รบกวนด้วยเจ้าค่ะคุณชาย” เหยาอี้เหยาจ้างรถม้าพาจางลี่ไปส่งที่หอโคมเขียว ระหว่างทางไม่ได้มีบทสนทนาอันใด นางจึงชงชาในรถม้าให้จางลี่จิบสักหน่อย ส่วนนางเองก็กินไปหลายอึก “แม่นาง เจ้าไปต่ออีกหน่อยก็ถึงหอโคมเขียวแล้ว” เมื่อใกล้ถึงหอโคมเขียวแล้ว เหยาอี้เหยาจึงขอลง ให้เหตุผลว่านางไม่สะดวกไปถึงหอโคมเขียว แต่ก่อนจะลงนางหยิบถุงทองซึ่งเป็นค่าไถตัวจางลี่ทิ้งไว้ในรถม้า นางจะได้เป็นอิสระจากหอโคมเขียว “คุณชายน้อย ท่านเป็นคนดีเสมอเลยนะเจ้าคะ” คำพูดประโยคนั้นของจางลี่ทำให้เหยาอี้เหยาต้องหันกลับมามองนาง “แม่นาง ท่าน…” “คุณหนูเหยา ข้าน้อยยอมรับว่าจำท่านไม่ได้ แต่ปิ่นปักผมของท่านทำให้ข้ารู้ตัวตนของท่าน” “ที่แท้เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นใคร จางลี่ ข้าขอโทษที่ไปไม่บอกเจ้า ทำให้เจ้าถูกขายมาหอโคมเขียว” นางรู้สึกผิดตลอดมาที่เป็นต้นเหตุให้จางลี่ต้องมีชีวิตเช่นนี้ “คุณหนูเหยา ข้าน้อยเองก็ขอโทษนะเจ้าคะ” ยาในชาเริ่มออกฤทธิ์ เหยาอี้เหยารู้ตัวว่าตนเองคงถูกวางยา “จางลี่ เจ้า…” เหยาอี้เหยาทรุดตัวลงบนกองหิมะ สายตาพร่ามัว หัวสมองชาหนึบ และไม่รู้สึกตัวอีกเลย เมื่อได้สติขึ้นมา เหยาอี้เหยาก็พบว่าตนเองถูกมัดตัวอยู่ในห้องอาบน้ำ ไร้ผู้คนอยู่ด้วย ฤทธิ์ยาทำให้นางมึนงงอยู่บ้าง แต่ก็มีสติแจ่มแจ้งดี หลังพักนิ่งๆ สักครู่จนเรี่ยวแรงกลับมา นางก็เริ่มมองไปทั่วห้อง สภาพห้องเป็นสี่เหลี่ยม มีอ่างน้ำร้อนอยู่ใกล้ๆ เหยาอี้เหยาดิ้นเล็กน้อย พยายามพาตัวเองไปที่เทียนไข ตั้งใจจะล้นเทียนเพื่อให้เชือกไหม้ แต่ไม่สำเร็จมีคนเข้ามาขัดขวาง “ปล่อยข้านะ!” “อยู่เฉยๆ พวกเราจะจับเจ้าอาบน้ำ” อาบน้ำ! “ไม่ ปล่อยข้า!” นางดิ้นสุดแรงเกิด แต่สาวรับใช้สี่คนเข้ามากดนางใส่อ่าง แก้เชือกแก้ผ้าอย่างจริงจัง “มามา ตาแหลมนัก เจ้าดูสิ เด็กสาวผู้นี่งดงามยิ่ง หากขัดถ่านออกไปคงน่ามองไม่น้อย” เหยาอี้เหยาเหน็ดเหนื่อยจะดิ้นรน นางปล่อยให้สาวรับใช้ทึ้งเสื้อผ้าออก “ปล่อยข้า!” เหยาอี้เหยาสะบัดมือพร้อมยาเถาคัน กล่าวขอโทษในใจแล้วผลักพวกนางจนล้ม ก่อนจะคว้าชุดบ่าวรับใช้แล้วรีบวิ่งออกจากห้องอาบน้ำ เสียงตะโกนดังขึ้นทันที “จับนางไว้!!!” เหยาอี้เหยาไม่หยุด นางวิ่งโฉบไปทั่วหอโคมเขียว หลบหนีการไล่ล่า นาทีนี้นางเหมือนกวางป่า ใครก็เอาไม่อยู่ สองเท้านางวิ่ง คิดจะโดดจากหลังคาหอโคมเขียวไปที่หอสราญรมย์! “ทางนั้น เร็วเข้า!” “แย่แล้ว นางจะไปหอสราญรมย์!” เหยาอี้เหยาวิ่งไม่เหลียวหลัง กลั้นใจแล้วกระโจนเข้าไปในหน้าต่างที่เปิดไว้ของชั้นเก้า นางเลือกห้องพักที่อยู่ใกล้มือและดับไฟ แทรกตัวเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว ความมืดอำพรางตัวนางได้ดี เหยาอี้เหยามองหาประตู แต่เสียงฝีเท้าอันหนักแน่นของคนผู้หนึ่งก็ทำนางหยุดทุกอย่าง แล้วถอยไปที่ฉากกั้นหลังห้องอาบน้ำ มีคนอยู่ในห้อง! ฝีเท้านั่นขยับเข้ามาใกล้ จังหวะการก้าวเดินของเขาทำให้หัวใจเต้นระทึกอย่างไร้สาเหตุ ลางสังหรณ์ของนางร้องเตือน แต่นางปฏิเสธว่าไม่ใช่เขาหรอก พร้อมกับคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เขาจะมาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร ทว่าใบหน้าที่เห็นผ่านม่านบางๆ คือเขา ฉู่ซีเย่! เหยาอี้เหยาใกล้จะตะโกนออกมาแล้ว ดีที่ยังควบคุมสติทัน ฉู่ซีเย่ปลดสายคาดเอวออก เหยาอี้เหยาเริ่มลนลานเพราะเขากำลังเดินมาหลังจากกั้น ร่างกายตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าของนางเย็นเฉียบ หากเขาจับได้ว่านางออกมานอกด่าน เขาฆ่านางแน่! “ใครอยู่ข้างใน” สวรรค์! เขาพบตัวนางแล้ว แต่เดี๋ยวก่อน นางเหลือบไปมองเงาตนเองจากกระจกทองแดง พบว่าใบหน้านางยังกระดำกระด่างมอมแมม ทั้งยังสวมชุดคลุมป่านของเด็กรับใช้ เขาอาจจะจำนางไม่ได้ก็ได้? เหยาอี้เหยาเก็บปิ่น หมอบตัวอยู่ที่พื้น “เจ้าเป็นบ่าวรับใช้รึ?” เขาจำนางไม่ได้! “เป็นใบ้” นางพยักหน้ารัวๆ รอว่าเมื่อไหร่จะถูกไล่ให้ไสหัวออกไป “งั้นรึ” เขาเดินลงไปในอ่าง ส่งเสียงอย่างพึงพอใจออกมาจากลำคอ เหยาอี้เหยาแอบลอบมองเขาเพียงเล็กน้อย เห็นแผ่นหลังและช่วงแขนที่วางพาดอยู่ในอ่าง ใบหน้าพลันร้อนวูบ จึงหลบแล้วค่อยๆ ถอยออกไปจากห้อง คิดว่าแนบเนียนอย่างที่สุดแล้ว ฉู่ซีเย่พูดเสียงเรียบ “ใครให้เจ้าไป”ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”