หญิงสาวตื่นมาอีกทีในตอนเช้าของอีกวัน เวลาเดียวกับที่ศิวัชเปิดประตูห้องน้ำออกมา
“พี่ทำออตื่นเหรอเปล่า” เขามองหน้าเธออย่างเป็นห่วง อังมือกับหน้าผากของเธอทำท่าโล่งใจ
“ดีนะ ออไม่มีไข้”
“กี่โมงแล้วคะ ลูกล่ะ” เธอถาม
“ตอนนี้เพิ่งหกโมงเช้าเอง ลูกอยู่กับแม่น่ะออ แม่กับพ่อมาถึงเมื่อคืนตอนเที่ยงคืน ออหลับอยู่พี่เลยไม่ได้ปลุก”
“ค่ะ เลยทำคนอื่นลำบากกันไปหมด”
“อย่าพูดแบบนั้น ทุกคนที่พูดถึงก็ครอบครัวทั้งนั้น” ศิวัชปลอบ รู้ว่าอรุณีมาลายังกลัวอยู่
“ออย้ายไปอยู่บ้านพี่นะ” ศิวัชบอกเมื่อเห็นเธอพยักหน้าเขาจึงพูดต่อว่า
“เดี๋ยวพี่ให้คนไปเก็บของให้ ถ้าออยังกลัวก็ไม่ต้องไปเอง”
“อิ๋วด้วยนะคะ ให้มาอยู่ดูแลเด็กๆ ด้วยได้ไหม” อรุณีมาลาห่วงคนของตัวเอง ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างโดนทำร้ายอะไรตรงไหนเธอยังไม่ทันได้ดูเลย
“ได้จ้ะ พี่ให้คนของออตรวจร่างกายแล้วเมื่อคืน หมอบอกว่าไม่มีอะไรมาก ฟกช้ำนิดหน่อยตรงข้อมือที่ถูกมัด พี่เลยให้ไปอยู่ที่บ้านตั้งแต่เมื่อคืน จะได้อยู่เป็นเพื่อนต้นกล้าต้นข้าวด้วย” ศิวัชพูดเสียงนุ่ม
“ขอบคุณค่ะ” อรุณีมาลาสบายใจขึ้นบ้าง
“ออหิวไหม อยากกินอะไรรึเปล่าพี่ลงไปซื้อให้นะ”
เธอส่ายหน้า “เจ็บค่ะกินไม่ลง” หญิงสาวยกมือขึ้นลูบแก้มที่โดนตบ มันยังเป็นรอยผื่นเห็นได้ชัดเจน
ศิวัชขบกราม อรุณีมาลาตัวนิดเดียวไอ้ชัยพลมันยังลงไม้ลงมือขนาดนี้ น่าส่งไปคุยกับรากมะม่วงแต่คิดอีกทีตายทันทีอาจจะปรานีมันมากไป
“อย่านะคะ อย่าทำอะไรเขาเลยค่ะ” หญิงสาวไม่อยากให้ใครต้องมามือเปื้อนเลือดเพราะตนเอง เอาอนาคตไปแลกกับคนชั่วแบบนั้นไม่มีอะไรคุ้ม
“พี่ไม่ทำอะไรเขาหรอก ออนอนเถอะ” ศิวัชพูด แต่ที่คิดในใจคือ “ถ้าใครจะทำอะไรเขาก็คงห้ามไม่ได้เช่นกัน”
ฉับพลันเธอลืมตาขึ้นมา
“คุณศิวัช ถ้าชัยพลมาดักทำร้ายฉันแล้วพิณล่ะ นายแทนไทจะอยู่ที่ไหนคะ เขาได้ประกันตัวทั้งสองคนรึเปล่า” น้ำเสียงเธอตื่นตระหนก
ศิวัชโทรหาคิรินทร์ทันที
“มันมาที่นี่จริงๆ” คิรินทร์ตอบ เขามองอรุณประภาที่ยังหลับอยู่
“แล้วมันทำอะไรคุณพิณรึเปล่า แล้วทำไมนายไม่โทรบอกใคร” ศิวัชถามต่อ นึกโมโหคิรินทร์ที่มีอะไรไม่บอก
“ฉันจัดการแล้วเรียบร้อย นายดูแลน้องออก็พอ”
“แล้วตอนนี้คุณพิณอยู่ไหน ออเขาอยากคุยด้วย”
คิรินทร์ปรายตามองอรุณประภาอีกครั้ง
“น้องพิณหลับอยู่บนเตียง...ของฉัน ตื่นเมื่อไหร่ฉันจะให้พิณคุยกับออแล้วกัน”
คิรินทร์ตัดสายไปแล้ว คราวนี้เป็นฝ่ายศิวัชที่จะต้องพูดคำว่า
“ฉิบหายแล้ว ไอ้คิน”
และแล้วความฉิบหายของจริงก็เกิดกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการของแทนไท เมื่ออธิบดีกรมกองหนึ่งในสายงานปราบปรามถูกสั่งปลดฟ้าผ่า
“ท่านครับ ทำไมอยู่ๆ ถึงปลดผม ผมก็ช่วยท่านตั้งมากแล้วนะ”
เขากล่าวกับนักการเมืองใหญ่รายหนึ่ง
“มึงไปมีเรื่องอะไรกับสายสกุลเกียรติภากรล่ะ แทนที่จะอยู่เฉยๆ มึงเสือกแส่ไปช่วยลูกน้องมึงออกจากคุก ถ้าไม่อยากถูกโบกลงทะเลก็อยู่ไปเฉยๆ ใช้เงินที่ยังมีให้สบายใจหรือจะตายก็เลือกเอา” นักการเมืองพูดต่อ
“แล้วมึงไม่ต้องมาหากู ไม่ต้องติดต่อกูแล้ว แค่นี้กูก็มีปัญหาในพรรค สมัยหน้าจะได้ลงสมัครรึเปล่ายังไม่รู้”
“สายสกุลเกียรติภากร ผมนึกไม่ออกจริงๆ ครับท่าน” อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ยังมึน
“กูจะบอกให้เอาบุญละกัน สายสกุลเกียรติภากรที่เหลืออยู่ก็คือหม่อมหลวงศิตา เมียนายหัวภาคย์ญาติดองของตระกูลฉัตรอรุณไง มึงโชคดีแค่ไหนที่เขาใช้อิทธิพลฝั่งนี้ ถ้านายหัวลงมือเองมึงลงไปนอนก้นทะเลแล้ว เหมือนไอ้แทนไทไง”
แทนไทที่ตามไปแก้แค้นอรุณประภาถึงในฟาร์มมุกคิรินทร์ เขาโดนคิรินทร์จับได้สั่งให้คนซ้อมเสียน่วมแล้วเอาไปโยนทิ้งข้างทาง
“นายหัวผมขอไอ้นี่นะ” นายพลลูกน้องคนหนึ่งของคิรินทร์พูด
“ฉันไม่อยากฆ่าคน” คิรินทร์ตอบ เขาละคำว่า 'ถ้าไม่จำเป็น' ไว้ในใจ
“นายไม่ต้องฆ่ามัน ที่ผมขอเพราะมันเคยหลอกลูกสาวผมไปขายที่ปอยเปต นังหนูมันส่งรูปมาให้ดู” นายพลพูดถึงลูกสาวที่หนีกลับมาได้จากขุมนรก ตอนนี้อยู่ในระหว่างรักษาสุขภาพจิต
คำพูดนั้นทำให้คิรินทร์หันหลังให้
“ถือว่าฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรแล้วกัน” เดินไปได้ห้าเมตร ชายหนุ่มหยุดเดินก่อนจะสำทับโดยไม่หันมามอง
“เก็บกวาดให้เรียบร้อย อย่าให้มีขยะเหลือในฟาร์ม”
ด้านชัยพลที่ถูกควบคุมตัวไปฝากขังที่สถานีตำรวจ ในระหว่างที่ถูกนำตัวไปขึ้นศาล มีอุบัติเหตุรถกะบะไม่มีทะเบียนชนเข้ากับรถขนผู้ต้องหา ระหว่างที่เกิดความวุ่นวายมีใครคนนึงเปิดประตูไขกุญแจลูกกรงหลังรถ
ชัยพลรีบลงมาอย่างดีใจ แต่เขาไปได้ไม่ถึงสิบก้าวก็โดนรถอีกคันที่ไม่รู้มาจากไหนพุ่งชนจนตายคาที่
การตายของทั้งชัยพลและแทนไทไม่มีใครรื้อฟื้นคดีขึ้นมา ญาติพี่น้องของทั้งสองคนไม่มีใครแสดงตัวกับทางการ ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปราวสายลม
สิบสองปีต่อมา ณ เกาะพยาม อธิปหรือต้นกล้ายืนมองทะเลไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา เขาเพิ่งกลับจากการไปเรียนต่อในระดับปริญญาตรีที่สหรัฐอเมริกา ชายหนุ่มเรียนจบแล้วและตั้งใจจะมาอยู่ที่นี่สักพัก ก่อนที่จะกลับไปเรียนต่อปริญญาโทแต่วันนี้บ้านพักที่เคยสงบกลับเต็มไปด้วยผู้คนเพราะเป็นงานวันเกิดของนายหัวภาคย์ คุณปู่ของเขาเอง อธิปไม่ชอบคนเยอะเขาจึงปลีกตัวออกมาหาความสงบตามลำพัง“ต้นกล้า” เสียงเรียกของผู้หญิงคนที่เขารักที่สุดดังอยู่ด้านหลัง “คุณแม่” เขาหันกลับไปหาอรุณีมาลา แม่ของเขาในวัยสี่สิบสี่ยังสวยพริ้งเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ยังทำให้พ่อเขาหึงได้อยู่เสมอ“แม่เดินหาลูกตั้งนาน มาทำอะไรตรงนี้” เธอถามลูกชายที่โตขึ้นผิดหูผิดตา ก่อนที่เขาจะจากไปเรียนต่อในตอนอายุ 17 ปีต้นกล้ายังเป็นวัยรุ่น แขนขายาวเก้งก้างแต่สี่ปีผ่านไปเขากลายเป็นหนุ่มเต็มตัว ตัวสูงกว่าเธอเสียอีก“ผมไม่ค่อยชอบคนเยอะเลยครับแม่ รำคาญ” คำพูดของลูกชายทำให้เธอหัวเราะ“วันนี้มีแต่พี่ๆ น้องๆ ทั้งนั้นเลยลูก” เธอหมายถึงต้นข้าวและต้นน้ำ และบรรดาหลานๆ เช่น ไอย่าลูกสาวของอัญญาและเมฆา อัครินทร์และมุกจันทร์ ลูกชายลูกสาวของอรุณประภาและคิรินทร์
เวลาผ่านล่วงเลยมาสี่ปี เด็กชายต้นกล้าในวัยเก้าขวบเขาบอกมารดาว่า“คุณแม่ ต้นกล้าอยากย้ายไปอยู่กับคุณปู่คับ”อรุณีมาลาเงยหน้าขึ้นมองลูกชาย“ลูกเพิ่งเรียนเกรด 3 เองนะลูก ที่นั่นไม่มีนานาชาติให้ไปต่อนะ”“เปิดเทอมหน้าต้นกล้าก็เรียนเกรด 4 แล้วคุณแม่ ปู่บอกว่าถ้าอยากไป ก็เรียนโรงเรียนประจำที่ภูเก็ตได้ ปิดเทอมกลับไปอยู่กับคุณปู่” เด็กชายพูด“ต้นกล้าไม่อยากอยู่กับแม่แล้วเหรอ” หญิงสาวเริ่มน้อยใจลูกชายนิดๆ ศิวัชเดินเข้ามาในห้องเขาได้ยินพอดี ชายหนุ่มวางมือบนบ่าของเธอเป็นเชิงให้ใจเย็น“ลูกไม่เคยเรียนโรงเรียนประจำจะอยู่ได้เหรอลูก” เขาถามต้นกล้า“ปู่บอกว่าพ่อก็เคยเรียน พ่ออยู่ได้ต้นกล้าก็ต้องอยู่ได้ครับ” เด็กชายตอบหนักแน่นศิวัชหันไปถามต้นข้าว “ต้นข้าวล่ะลูก หนูอยากไปไหม” เด็กหญิงส่ายหน้า “หนูอยากอยู่กับพ่อแม่ค่ะ” “คืนนี้พ่อจะคุยกับคุณปู่อีกที ปิดเทอมนี้ต้นกล้าไปเยี่ยมคุณปู่ตามปกติก่อนแล้วกันลูก” ศิวัชสรุปคืนนั้นศิวัชคุยกับอรุณีมาลา เขารอจนเธอลมหายใจสงบเป็นปกติจากบทรักหนักหน่วง ชายหนุ่มดึงร่างเธอมากอดลูบแผ่นหลังเรียบเนียน“เรื่องต้นกล้า ออคิดยังไง” “ออเป็นห่วงลูกค่ะ ต้นก
หลังจากที่คู่แต่งงานใหม่ใช้เวลาด้วยกันตามลำพังสามวัน คุณปู่คุณย่าก็พาเด็กๆ ตามมาสมทบที่เกาะพยาม และเพราะว่าอยู่ในช่วงปิดเทอมใหญ่ จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องโรงเรียนของเด็กๆเช้านี้นายหัวภาคย์มีแผนจะพาเด็กๆ ไปชมปะการังโดยขึ้นเรือท้องกระจกขนาดใหญ่ ศิวัชสวมเสื้อชูชีพให้ต้นกล้าและต้นข้าว เด็กชายถามบิดาว่า“แล้วเราจะลงไปดูในทะเลจริงๆ ได้ไหมคับพ่อ”“ได้ลูก แต่ลูกต้องโตกว่านี้แล้วไปเรียนดำน้ำก่อนครับ” ศิวัชตอบลูกชายที่ตื่นเต้นกับทุกสิ่งทุกอย่างที่บ้านคุณปู่“ต้นข้าวไม่เห็นอยากลงไปเลย แม่บอกว่าเดี๋ยวตัวดำ” เด็กหญิงพูดขึ้นบ้าง“นี่มันเรื่องของลูกผู้ชาย” ต้นกล้าหันไปพูดกับน้อง เขาจำคำพูดของปู่มาใช้“ไปกันลูกเรียบร้อยแล้ว ห้ามดื้อ ห้ามโผล่หน้าออกนอกเรือ เข้าใจไหมครับ” ดร.หนุ่มบอกลูกแฝดต้นข้าวไม่เท่าไร เขากลัวต้นกล้าจะทำอะไรแผลงๆ มากกว่าเริ่มสายทั้งหมดจึงลงเรือกัน เรือที่ใช้วันนี้เป็นเรือขนาดใหญ่ มีที่ให้เดินหรือนั่งนอนได้ตามสบายตรงกลางท้องเรือเป็นแผ่นกระจกหนาเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 2.5 เมตร ทว่า..เด็กชายต้นกล้ากลับไปสนใจมองปะการังนอกตัวเรือ เขาชะโงกหน้าออกไปเรื่อยๆ “ต้นกล้า หยุ
งานแต่งงานของศิวัชและอรุณีมาลาถูกกำหนดขึ้นในอีกสองเดือนหลังจากนั้น ยิ่งช่วงใกล้วันงานทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ยิ่งมีเรื่องวุ่นวาย คุณศิตามาอยู่ยาวที่กรุงเทพฯ เพื่อช่วยเตรียมงานล่วงหน้าถึง 1 เดือนงานนี้มีเพื่อนเจ้าสาวเพียงคนเดียวคืออรุณประภา ซึ่งอรุณีมาลาต้องการให้เป็นแบบนั้น เธอถือว่าพวกเธออยู่ด้วยกันตั้งแต่เกิดดังนั้นในวันสำคัญของชีวิต เธอต้องการให้คู่แฝดรับหน้าที่นี้เพียงคนเดียวส่วนเพื่อนเจ้าบ่าวอรุณีมาลาขอว่าเธอจะเลือกเอง เธอต้องการให้สีหราชซึ่งเคยแนะนำให้เธอกับศิวัชพบกันเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ซึ่งชายหนุ่มก็ยินดีอย่างยิ่งในวันลองชุดของหนุ่มสาวสี่คน ซึ่งเป็นร้านเดียวกันในระหว่างที่สองสาวฝาแฝดอยู่ด้วยกันในห้องแต่งตัว“ออจะไปฮันนีมูนที่ไหนนะ” พี่สาวถาม“จะไปเกาะพยามน่ะ ไปรอบที่แล้วมัวแต่ทะเลาะกัน ไม่ได้ดูอะไรเลย” อรุณีมาลาพูดปนหัวเราะนิดๆ“พิณดีใจด้วยที่ออมีความสุขสักที” อรุณประภาดีใจกับคู่แฝด เธอไม่เห็นอรุณีมาลาหัวเราะได้จริงๆ มานานแล้ว“จะดีกว่านี้ถ้าเราได้แต่งพร้อมกัน” แฝดน้องพูดด้วยน้ำเสียงสดใสพวกเธอออกมาจากห้องแต่งตัว อรุณีมาลาในชุดไทยจักรพรรดิสีงาช้าง ส่วนอรุณประภาสวมชุดไทย
อรุณีมาลานอนโรงพยาบาลสองวันหมอจึงให้กลับได้ ในเช้าวันที่จะกลับบ้านเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของตัวเองที่แม่บ้านจัดมาให้ ศิวัชเปิดประตูเข้ามาหลังจากที่เขาไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายและรับยามาให้แล้ว“นี่ยานะครับออ” เขาวางถุงยาไว้บนโต๊ะ หญิงสาวเดินมานั่งที่เก้าอี้สำรวจถุงยาว่ามีอะไรบ้าง“ส่วนนี่พี่ซื้อกาแฟมาให้กับขนม” เขาวางกาแฟกับขนมถัดไปจากยา หญิงสาวพึมพำขอบคุณ“ส่วนนี่อีกอย่างครับ แม่พี่ให้มา” เขาวางกล่องกำมะหยี่ลง หญิงสาวมองของแล้วมองหน้าเขาศิวัชนั่งลงกับพื้นตรงหน้าเธอ “วันนี้ออจะได้กลับบ้านที่เป็นบ้านของเรา พี่อยากทำให้ถูกต้อง ไม่อยากให้ใครเอาออไปพูดเสียๆ หายๆ ออแต่งงานกับพี่นะครับ พี่จะได้ดูแลออได้เต็มที่” อรุณีมาลามองหน้าเขา ศิวัชเปิดกล่องแหวนมันเป็นแหวนมรกตน้ำงามล้อมรอบด้วยเพชร“แหวนนี่เป็นแหวนเก่าของท่านตาใช้สวมในท่านยายในวันแต่งงานของท่าน ตกทอดมาถึงคุณแม่ที่เป็นลูกคนเดียวแล้ววันนี้มันจะเป็นของออช่วยรับไว้เก็บไว้ให้ต้นข้าว ในวันแต่งงานของต้นข้าวนะครับ” “แต่งงานเหรอคะ” เธอพึมพำ“ครับ ถ้าออตกลงพ่อกับแม่พี่จะคุยกับคุณอัญ พี่อยากบอกออว่าทั้งหมดที่ผ่านมาพี่รักออ อยากอยู่ใกล้
หญิงสาวตื่นมาอีกทีในตอนเช้าของอีกวัน เวลาเดียวกับที่ศิวัชเปิดประตูห้องน้ำออกมา“พี่ทำออตื่นเหรอเปล่า” เขามองหน้าเธออย่างเป็นห่วง อังมือกับหน้าผากของเธอทำท่าโล่งใจ“ดีนะ ออไม่มีไข้”“กี่โมงแล้วคะ ลูกล่ะ” เธอถาม“ตอนนี้เพิ่งหกโมงเช้าเอง ลูกอยู่กับแม่น่ะออ แม่กับพ่อมาถึงเมื่อคืนตอนเที่ยงคืน ออหลับอยู่พี่เลยไม่ได้ปลุก”“ค่ะ เลยทำคนอื่นลำบากกันไปหมด” “อย่าพูดแบบนั้น ทุกคนที่พูดถึงก็ครอบครัวทั้งนั้น” ศิวัชปลอบ รู้ว่าอรุณีมาลายังกลัวอยู่ “ออย้ายไปอยู่บ้านพี่นะ” ศิวัชบอกเมื่อเห็นเธอพยักหน้าเขาจึงพูดต่อว่า“เดี๋ยวพี่ให้คนไปเก็บของให้ ถ้าออยังกลัวก็ไม่ต้องไปเอง”“อิ๋วด้วยนะคะ ให้มาอยู่ดูแลเด็กๆ ด้วยได้ไหม” อรุณีมาลาห่วงคนของตัวเอง ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างโดนทำร้ายอะไรตรงไหนเธอยังไม่ทันได้ดูเลย“ได้จ้ะ พี่ให้คนของออตรวจร่างกายแล้วเมื่อคืน หมอบอกว่าไม่มีอะไรมาก ฟกช้ำนิดหน่อยตรงข้อมือที่ถูกมัด พี่เลยให้ไปอยู่ที่บ้านตั้งแต่เมื่อคืน จะได้อยู่เป็นเพื่อนต้นกล้าต้นข้าวด้วย” ศิวัชพูดเสียงนุ่ม“ขอบคุณค่ะ” อรุณีมาลาสบายใจขึ้นบ้าง“ออหิวไหม อยากกินอะไรรึเปล่าพี่ลงไปซื้อให้นะ” เธอส่ายหน้า “เจ