ม่านมุ้งสีแดงถูกปลายนิ้วเกี่ยวให้สยายแผ่ลงมาปกคลุม ราวกับต้องการปิดกั้นมิให้ความวุ่นวายอื่นใดเข้ามาขัดขวางคลื่นลมวสันต์ที่ก่อตัวขึ้นมา
ร่างสูงภายใต้หน้ากากจิ้งจอกสีขาวจ้องมองร่างเล็กตรงหน้าอย่างกระหาย หากแต่ในแววตายังคงมีความกังวลฉายชัด เมื่อเหลือบเห็นหน้าท้องที่นูนขึ้นมาเล็กน้อย
ฉินเจียวเยี่ยนเห็นความกังวลนั้น จึงได้ใช้มือประคองแก้มของเขาไว้ แล้วโน้มใบหน้าลงไปแนบริมฝีปาก สอดลิ้นเข้าไปตวัดลูบไล้ราวกับปลอบประโลม “หมอหลวงกล่าวว่า ขอเพียงมิให้รุนแรงเกินไปนักก็สามารถทำได้เพคะ”
สองดวงตาสบมองกันอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่เซียวชิงเฟิงจะโน้มหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายบ้าง ริมฝีปากเรียวประกบลงบนเรียวปากของนางอย่างแนบแน่น แลกเปลี่ยนความรักความคิดถึงที่ล้นอกกันไปมา
เซียวชิงเฟิงต้องเอียงใบหน้า เพื่อป้องกันมิให้ขอบหน้ากากเกี่ยวใบหน้านวลของพระชายาได้ แต่ด้วยอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงผละริมฝีปากออกมา เพื่อจัดการปัญหาตรงหน้าให้เรียบร้อยเสียก่อน
“เสี่ยวเยี่ยน เจ้าหลับตาลงครู่หนึ่งเถิด” เซียวชิงเฟิงเอ่ยเสียงทุ้ม เมื่อเห็นนางหลับตาอย่างว่าง่ายแล้ว เขาจึงได้ถอดหน้ากากของตนอ
ม่านมุ้งสีแดงถูกปลายนิ้วเกี่ยวให้สยายแผ่ลงมาปกคลุม ราวกับต้องการปิดกั้นมิให้ความวุ่นวายอื่นใดเข้ามาขัดขวางคลื่นลมวสันต์ที่ก่อตัวขึ้นมาร่างสูงภายใต้หน้ากากจิ้งจอกสีขาวจ้องมองร่างเล็กตรงหน้าอย่างกระหาย หากแต่ในแววตายังคงมีความกังวลฉายชัด เมื่อเหลือบเห็นหน้าท้องที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยฉินเจียวเยี่ยนเห็นความกังวลนั้น จึงได้ใช้มือประคองแก้มของเขาไว้ แล้วโน้มใบหน้าลงไปแนบริมฝีปาก สอดลิ้นเข้าไปตวัดลูบไล้ราวกับปลอบประโลม “หมอหลวงกล่าวว่า ขอเพียงมิให้รุนแรงเกินไปนักก็สามารถทำได้เพคะ”สองดวงตาสบมองกันอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่เซียวชิงเฟิงจะโน้มหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายบ้าง ริมฝีปากเรียวประกบลงบนเรียวปากของนางอย่างแนบแน่น แลกเปลี่ยนความรักความคิดถึงที่ล้นอกกันไปมาเซียวชิงเฟิงต้องเอียงใบหน้า เพื่อป้องกันมิให้ขอบหน้ากากเกี่ยวใบหน้านวลของพระชายาได้ แต่ด้วยอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงผละริมฝีปากออกมา เพื่อจัดการปัญหาตรงหน้าให้เรียบร้อยเสียก่อน“เสี่ยวเยี่ยน เจ้าหลับตาลงครู่หนึ่งเถิด” เซียวชิงเฟิงเอ่ยเสียงทุ้ม เมื่อเห็นนางหลับตาอย่างว่าง่ายแล้ว เขาจึงได้ถอดหน้ากากของตนอ
“ไท่จื่อเพคะ” ชุนเถาเรียกเซียวชิงเฟิงที่ก้าวพรวดเข้ามาในตำหนักบูรพา ก่อนจะยื่นถาดที่มีหน้ากากทรงสุนัขจิ้งจอกสีขาวที่ปกปิดเพียงครึ่งหน้าให้แก่เขาเซียวชิงเฟิงเห็นเพียงเท่านั้นก้รู้ได้ในทันทีว่า ปัญหาแพ้ท้องของนางมีวิธีแก้ไขแล้ว เขาจึงเอื้อมมือหยิบมาสวมใส่ในทันทีอย่างไม่มีข้อซักถามหรือโต้แย้ง ในขณะที่ได้ยินเสียงชุนเถารายงานเจื้อยแจ้ว“ช่วงที่ไท่จื่อไม่อยู่ ไท่จื่อเฟยบ่นคิดถึงพระองค์อยู่ตลอดเวลาเลยเพคะ พระนางจึงได้คิดหาวิธีว่า หากไม่เห็นใบหน้าทั้งหมด ก็น่าจะพออยู่ใกล้ให้หายคิดถึงได้เพคะ”เซียวชิงเฟิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ พลางเดินเข้าไปในห้องเสวยที่มีอาหารหอมกรุ่นวางเรียงราย ครั้นเห็นร่างบอบบางที่คิดถึงอยู่ทุกลมหายใจกำลังยืนรอต้อนรับ หัวใจที่เคยเย็นเยือกราวกับตกอยู่ในเหมันต์ฤดูกลับมาอบอุ่นด้วยรอยยิ้มลมวสันต์ของนางอีกครั้ง“ท่านพี่...” ฉินเจียวเยี่ยนสวมชุดกระโปรงหลวม ๆ ก้าวเดินไปหาสวามีที่ไม่เห็นหน้าเสียหลายวันเซียวชิงเฟิงรีบก้าวเข้าไปหาทันที สองแขนอ้าออกกว้าง ป้องกันนางล้มลง “เสี่ยวเยี่ยน เจ้าอย่าเดินเร็วนัก”เห็นหน้ากันไม่กี่อึดใจ เขาก็ดุนางเสีย
“ฎีกานี้ ผู้ใดเป็นคนเขียน?” เสียงทรงอำนาจถามขึ้น พาให้ขุนนางที่เข้ามาถวายฎีกาต่างก้มหน้าหลบสายตาดุดันนั้นเป็นแถว เมื่อไม่เห็นผู้ใดกล้าออกมายอมรับ เซียวชิงเฟิงจึงโยนฎีกานั้นลงพื้นแล้วร่ายจุดผิดออกมายาวเหยียด“ฎีกานี้ เจ้าจะเอ่ยถึงผู้ใด ฉู่ซิงปู้ซ่างซูหรือเมิ่งหลี่ปู้ซ่างซู เนื้อหาภายในรายงานความต่อเนื่องของคดีวางยาของหออวี่หลิน กลับเรียกฉู่หลี่ปู้ซ่างซู ทำไม? เจ้ามีอำนาจมากเพียงใดจึงสามารถย้ายตำแหน่งของฉู่ซิงปู้ซ่างซูได้หรือ?”“สิ่งที่เจ้าต้องการรายงานคือหมอหลวงจากตำหนักบูรพาสามารถคิดค้นยารักษาอาการของชาวบ้านที่ถูกวางยาได้แล้วมิใช่รึ? แต่เจ้ากลับเขียนว่าเป็นฝีมือของหมอหลวงจากตำหนักอุดร เจ้าต้องการเปลี่ยนชื่อตำหนักของข้าหรือ?”“แล้วภาษาที่ใช้ก็เขียนได้วกวน ไม่เข้าเรื่องเสียที ผู้ใดสอนให้เขียนเนื้อหาเช่นนี้กัน? ลายมือก็แย่นัก ปลายพู่กันเจ้าจะตวัดให้ถึงขอบหน้าต่างของวังหลวงเลยหรือ? ไป! เอาออกไปแก้มาใหม่”บรรดาขุนนางเห็นช่องทางในการหลบหนีจากอารมณ์โกรธกริ้วของไท่จื่อ จึงได้รีบวิ่งเข้าไปเก็บฎีกาที่หล่นเกลื่อนพื้น แล้วหอบหนีลมมรสุมออกมากันแทบไม่ทัน“เหตุใด
“ถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” เสียงถวายบังคมดังขึ้น ทำให้ฮ่องเต้เจิ้นหลงต้องเงยพระพักตร์ขึ้นจากกองฎีกา จึงได้เห็นหน้าบูดบึ้งขององค์รัชทายาทที่เพิ่งส่งคนมาทูลรายงานข่าวดีว่า ไท่จื่อเฟยทรงพระครรภ์แล้วอีกทั้งยังกล้าทูลขอลาพักงานอีกเก้าเดือน ทำพระองค์กริ้วจนกวาดกองฎีกาบนโต๊ะลงกระจายเกลื่อนพื้น ลำบากโจวกงกงและบรรดาขันทีต้องวิ่งเก็บฎีกาขึ้นมาเรียงบนโต๊ะใหม่หากแต่ยังไม่พ้นชั่วยามเดียว เจ้าตัวปัญหาก็กลับมาคุกเข่าตรงหน้าเขาถึงห้องทรงอักษรในตำหนักทรงงาน“ครั้งนี้ เจ้าจะมาทูลขอสิ่งใดอีกเล่า?” ฮ่องเต้เจิ้นหลงตรัสถามอย่างหวาดระแวง “ข้าก็อนุญาตให้เจ้าลาพักงานเก้าเดือนไปแล้วมิใช่รึ?”ยิ่งได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเซียวชิงเฟิงก็ยิ่งบึ้งตึงหนักขึ้น แผ่รังสีขุ่นเคืองจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆเซียวชิงเฟิงกัดฟันแน่น ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “กระหม่อมได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท การลาพักงานเก้าเดือนนั้น นับว่าไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น เพื่อที่จะแบ่งเบาราชกรณียกิจของเสด็จพ่อ กระหม่อมจึงตั้งใจมาช่วยสะสางงานพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้เจิ้นหลง “???”
เซียวชิงเฟิง “...”ไท่จื่อได้แต่ตื่นตะลึง เมื่อเห็นฉินเจียวเยี่ยนคายกุ้งตัวโตเนื้อแน่นออกจากปากในทันทีที่แตะโดนปลายลิ้น สองสายตาสบกันในทันทีฉินเจียวเยี่ยนกลืนน้ำลายเหนียว งุนงงกับปฏิกิริยาของร่างกายของนางเอง “เอ่อ...”“ข้าว่า กุ้งเมื่อครู่ พ่อครัวคงจะล้างไม่สะอาด แต่ไม่เป็นไร เจ้าลองซุปเป็ดตุ๋นยาจีนดูดีหรือไม่?”“เพคะ” ฉินเจียวเยี่ยนตอบรับ ก่อนจะใช้ช้อนตักน้ำซุปมาดม ใบหน้ากลับย่นจมูก กลิ่นยาจีนที่เคยหอมกรุ่นชวนน้ำลายสอ บัดนี้กลับคาวคลุ้งจนน่าเวียนหัว จนนางต้องวางช้อนลงอย่างเงียบเชียบ“... สงสัย พ่อครัวคงจะใส่ยาจีนมากเกินไป เจ้าจึงไม่ชอบกลิ่น” เซียวชิงเฟิงชวนให้นางลงเปลี่ยนอาหารจานใหม่ “เจ้าลองปลาหิมะนึ่งซีอิ๊วดีหรือไม่? จานนี้ ข้ายืนควบคุมทุกขั้นตอน รับรองว่า เจ้าจะต้องชอบ”ร่างสูงพยายามใช้มือซ้ายคีบตะเกียบอย่างทุลักทุเล พยายามคีบเนื้อปลาหิมะสีขาวนวลไปที่ปากเรียวของฉินเจียวเยี่ยน นางย่นจมูกเล็กน้อย เมื่อได้กลิ่นคาว ก่อนจะใช้มือปิดปากแน่น พยายามกลั้นรสปร่าในลำคอ แต่ก็สายเกินไปฉินเจียวเยี่ยนผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้าขาวซีดเหมือนกระ
เมื่อเวลาล่วงเข้ายามโหย่ว ไท่จื่อเฟยจึงได้เสด็จกลับถึงตำหนักบูรพา สาวรับใช้รีบเข้ามารายงานฉินเจียวเยี่ยนในทันที“ทูลไท่จื่อเฟย ไท่จื่อกำลังรอเสวยมื้อค่ำร่วมกันที่ห้องอาหารเพคะ”ฉินเจียวเยี่ยนเลิกคิ้วขึ้นสูง พึมพำกับตนเอง “วันนี้ มิใช่ตัดสินโทษของหลิงซื่อจื่อหรอกหรือ? เหตุใดท่านพี่จึงกลับมาเร็วนัก”สองมือเล็กยกชายกระโปรงขึ้นสูง เร่งก้าวเท้าตรงไปยังห้องอาหาร จึงได้เห็นโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง บรรดาอาหารเลิศรสมากมายถูกจัดวางอย่างประณีตไอน้ำจาง ๆ ลอยกรุ่นจากซุปหูฉลามน้ำแดงที่อยู่ในชามกระเบื้อง ปลาหิมะนึ่งซีอิ๊วที่ยังคงความร้อน บนโต๊ะยังมีผักสดนานาชนิดที่ถูกแกะสลักเป็นรูปดอกไม้ประดับจานอย่างสวยงามร่างสูงในชุดสีดำสง่างามนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ ดวงตาคมกริบของเขาไม่ได้สนใจอาหารตรงหน้าแม้แต่น้อย แต่กลับจับจ้องไปที่ประตูทางเข้าอย่างใจจดใจจ่อ จนเมื่อได้เห็นฉินเจียวเยี่ยนปรากฏตัวขึ้น ริมฝีปากที่เคยเป็นเส้นตรงกลับวาดเป็นเส้นโค้งในทันที“เสี่ยวเยี่ยน” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกชื่อของนางอย่างคิดถึง กอปรกับร่างกำยำที่ผุ