ร่างบางแอ่นอกขึ้นสูง เอวคอดร่อนไปมา ราวกับกระสันในบางอย่าง
เซียวชิงเฟิงยกยิ้มที่มุมปาก แล้วจึงย้ายข้างมาจรดปลายพู่กันอีกฝั่งอย่างเท่าเทียม
ฉินเจียวเยี่ยนหลับตา สองมือกำเข้าหากัน เม้มริมฝีปากแน่น แม้ว่าจะมีเสียงครางในลำคอหลุดลอดออกมาบ้างในบางจังหวะ
เซียวชิงเฟิงไล้พู่กันหยอกล้อเม็ดอิงเถาจนบวมเป่งน่าลิ้มลอง ทำให้เขากลืนน้ำลายอย่างกระหาย
สายตาคมเหลือบไปเห็นกลีบดอกเหมยที่เริ่มหลั่งน้ำหวานออกมาจนเปียกแฉะ
“น้ำหมึกออกมาพอดีเลย”
ยังไม่ทันที่ฉินเจียวเยี่ยนจะเข้าใจความหมายนั้น นางก็รู้สึกถึงขนพู่กันหนานุ่มที่เบียดตัวแทรกเข้ามาไล้วนกวาดน้ำหมึกที่ตัวนางหลั่งออกมา “อ่ะ อ่า”
เซียวชิงเฟิงลากพู่กันที่ฉ่ำไปด้วยน้ำหมึกหวาน ๆ ไปทั่วเรือนร่างของนาง เมื่อพู่กันแห้งเหือด เขาก็วนกลับไปจุ่มน้ำหมึกและลากวนไปตามตัวนางอีกครั้ง
ทำซ้ำไปซ้ำมาจนฉินเจียวเยี่ยนแทบจะทนไม่ไหว โดยเฉพาะยามที่เซียวชิงเฟิงใช้พู่กันกดค้างตรงที่เม็ดอิงเถากลางอก จู่โจมจุดอ่อนไหวของนางอย่างไม่น่าให้อภัย
“อ่ะ อา ทะ ท่านอ๋อง ระ เร็ว” ใบหน้าเล็กแดง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะชอบใจของฉินเจียวเยี่ยนดังไปทั่วรถม้า หลังจากที่ฟังหยางเซิงรายงานความเคลื่อนไหวที่จวนหย่งอันโหว“เจ้าหัวเราะสิ่งใดกัน? คุณหนูรองเมิ่งพูดสิ่งใดผิดหรือ?”“ไม่ผิดหรอกเพคะ” ฉินเจียวเยี่ยนเช็ดน้ำตาที่ปลายหางตาออกเซียวชิงเฟิงยิ่งสงสัย “ไม่ผิด แล้วเจ้าหัวเราะสิ่งใด?”“สิ่งที่ลี่เอ๋อร์พูดไม่ผิด และก็ไม่ถูก” ฉินเจียวเยี่ยนสูดลมหายใจ ควบคุมอาการ แล้วจึงอธิบายเพิ่มเติม “ท่านอ๋อง พวกหม่อมฉันได้รับสมญานามว่า เป็นตุ๊กตากระเบื้อง มีเพียงรูปโฉมที่งดงาม แต่ไร้ซึ่งความสามารถ”เซียวชิงเฟิง “...”“แล้วท่านอ๋องคิดว่า ลี่เอ๋อร์จะจำได้หรือเพคะ ว่า ในขณะนั้น ผู้ใดจะอยู่ทางซ้ายหรืออยู่ทางขวา”เซียวชิงเฟิง “...” อีกครา“เช่นนั้น เจ้าก็หมายความว่า คุณหนูรองเมิ่งพูดส่งเดชขึ้นมาอย่างนั้นรึ?”“อืม จะว่าเช่นนั้นก็ใช่เพคะ” ฉินเจียวเยี่ยนเอียงคอนึก “ความจริงแล้ว หม่อมฉันกลับคิดว่า นางอยู่ทางด
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตักเซียวชิงเฟิงรู้สึกหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ อ้อมแขนหนากระชับแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แล้วเอ่ยเสียงอ่อน “... ขอบใจ”“หม่อมฉันเองก็ต้องขอบพระทัยท่านอ๋องที่อุตส่าห์ลุยน้ำเย็น ๆ มาพาหม่อมฉันขึ้นเพคะ อีกทั้งยังยอมสละเสื้อคลุมหนา ๆ แบบนี้ให้อีกด้วย”เซียวชิงเฟิงเริ่มยิ้มตามคนมักน้อยในอ้อมแขน ก่อนจะนึกถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง แววตาคมฉายความเย็นชาออกมาสายหนึ่ง “เหตุใดจึงไม่ยอมบอกว่า ผู้ใดที่ทำร้ายเจ้า?”ฉินเจียวเยี่ยนชะงักค้างราวกับเด็กที่ถูกจับได้ว่าแอบกินขนม ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน “หม่อมฉันสะดุดล้มเองเพคะ”เซียวชิงเฟิงหรี่ตาแคบ “เจ้ามั่นใจรึ?”“มั่นใจสิเพคะ” ฉินเจียวเยี่ยนตอบเสียงแข็งเล็กน้อย“แต่สหายเจ้ากล่าวว่า ฉินเยี่ยนฟางและกู้หลานเป็นผู้ผลักเจ้าตกสะพาน”“หืม ลี่เอ๋อร์น่าจะเข้าใจผิดนะเพคะ” ฉินเจียวเยี่ยนเริ่มหลบตาไปอีกทางเซียวชิงเฟิงข่มขู่ “หากโกหกอีกคำ คืนนี้ เจ้าไม่ต้องนอน”“ไม่รู้ว
เซียวชิงเฟิงย่อตัวอุ้มร่างฉินเจียวเยี่ยนขึ้น กระชับอ้อมแขนแน่น เช่นเดียวกับฉินเจียวเยี่ยนที่ยกแขนโอบรอบคอแกร่ง พร้อมทั้งแกว่งเท้าเบา ๆ อย่างสบายอารมณ์ขณะที่เซียวชิงเฟิงกำลังจะเดินจากไป จึงได้เห็นหลินซื่อที่รีบวิ่งเข้ามาด้วยความตกใจและเป็นห่วง“เยี่ยนเอ๋อร์ เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”“ท่านแม่ ข้าเพียงสะดุดล้มแล้วตกน้ำไปเท่านั้นเองเจ้าคะ” ฉินเจียวเยี่ยนพยายามพูดให้สั้นและเป็นเรื่องเล็กที่สุด “ไม่บาดเจ็บส่วนใดเลยเจ้าค่ะ”“ดีแล้ว ดีแล้ว แม่จะพาเจ้ากลับจวน” หลินซื่อพูดด้วยความตกใจ จึงไม่ได้สังเกตว่า ผู้ใดเป็นคนอุ้มบุตรสาวของนางอยู่“เดี๋ยวข้าจะดูแลคุณหนูรองเอง” เสียงทุ้มเอ่ยแทรก จึงทำให้หลินซื่อเพิ่งได้สังเกตเห็น“อ๊ะ ท่านอ๋อง!!” หลินซื่อรีบยอบกายทำความเคารพในทันที“ข้าจะให้หมอประจำจวนตรวจอาการของคุณหนูรองก่อน แล้วจะพานางกลับไปส่งที่จวนซ่านเต๋อโหวเอง”หลินซื่อพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย “เพคะ ท่านอ๋อง”บรรดาฮูหยินและคุณหนูยอ
ร่างของฉินเจียวเยี่ยนร่วงลงจากสะพาน ทิ้งตัวลงในน้ำเย็นยามเหมันต์ฤดู แม้ว่า คลองที่ขุดขึ้นนั้น มีความลึกเพียงหัวเข่า แต่ท่าที่ฉินเจียวเยี่ยนหล่นลงไปนั้น ก็สามารถทำให้นางเปียกชุ่มไปทั้งตัวได้ในทันที“เยี่ยนเยี่ยน!!” เมิ่งลี่โผมาเกาะที่ราวสะพาน ตะโกนเรียกสหายรัก จึงได้เห็นสภาพที่นางเปียกไปทั้งตัว ทำให้เมิ่งลี่โมโหหนักจนต้องหันไปเอาความกับสองคนที่อยู่บนสะพานด้วยเช่นกัน “ฉินเยี่ยนฟาง! กู้หลาน! พวกเจ้าผลักเยี่ยนเยี่ยนด้วยเหตุใดกัน!?”“ข้าเปล่านะ!” สองสาวปฏิเสธทันควัน ใบหน้าของฉินเยี่ยนฟางซีดเซียวสมจริง จนเมิ่งลี่เริ่มไม่แน่ใจฉินเยี่ยนฟาง “ข้าว่า ก่อนที่จะหาคนผิด รีบไปช่วยเยี่ยนเอ๋อร์ก่อนดีกว่า”ว่าแล้ว ฉินเยี่ยนฟางก็รีบวิ่งลงจากสะพาน จึงได้เห็นร่างสูงใหญ่กำยำในชุดอาภรณ์สีดำสนิททั่วร่างกำลังประคองฉินเจียวเยี่ยนไว้ในอ้อมกอด“เฟิงอ๋อง!!” บรรดาฮูหยินและคุณหนูต่าง ๆ ยอบกายทำความเคารพกันแทบไม่ทันฉินเจียวเยี่ยนใบหน้าซีดเผือดและตัวสั่นเทาด้วยลมหนาวที่พัดผ่านจนเสียดผิว ทำให้เซียวชิงเฟิงสงสารจับใ
เสียงพิณสุดท้ายค่อย ๆ เงียบลง พร้อมปรากฏเสียงปรบมือชื่นชมจากบรรดาฮูหยินและคุณหนู“ไม่นึกเลยว่า ว่าที่พระชายาเฟิงอ๋องจะมีฝีมือในการบรรเลงพิณเช่นนี้”“นั่นสิ ผู้ใดกันที่ว่า นางไม่เชี่ยวชาญพิณ เสียงพิณไพเราะเช่นนี้ ต้องฝึกฝนมาอย่างหนักแน่นอน”“จวนซ่านเต๋อโหวช่างดีนัก บุตรสาวสองนางล้วนแต่มีความสามารถ”“เจ้าต้องเรียนรู้และเป็นแบบพวกนางให้ได้ เข้าใจหรือไม่?”นอกจากเสียงชื่นชม ยังมีเสียงอบรมบุตรสาวของตนเองลอยปะปนเข้ามาด้วย ทำให้ฉินเจียวเยี่ยนนึกถึงความเชื่อใจในความพยายามของนางที่ใครบางคนเคยเอ่ยกับนางความอบอุ่นใจนั้น ยังคงตราตรึงมิรู้วาย เป็นความรู้สึกที่นางอยากร่วมแบ่งปันให้แก่ผู้อื่น“ข้าเชื่อว่า คุณหนูแต่ละท่านย่อมมีความสามารถที่แตกต่างกัน มิว่าจะมากหรือน้อย แต่อย่างไรก็ล้วนเกิดจากความพยายามฝึกฝนกันอย่างที่สุดแล้ว”ฉินเจียวเยี่ยนส่งรอยยิ้มไปทางฉินเยี่ยนฟาง ราวกับผู้อาวุโสที่เอ็นดูผู้น้อย “ข้ายอมรับว่า ข้าอาจจะไม่มีความสามารถมากเท่าพี่สาว แต่ข้าก็มั่นใจในความพยายามของ
กู้หลาน “???”เซี่ยฮูหยิน “???”ทุกคน “???”ทุกคนต่างหันไปมองฉินเจียวเยี่ยนด้วยความสงสัยเคยพบเจอแต่การเดิมพันที่ใช้สิ่งของหรือวาจา ยังไม่เคยเจอการเดิมพันที่ไหว้วานให้ผู้แพ้ไปกระทำสิ่งใดเลยฉินเจียวเยี่ยนยิ้มจาง อธิบายเสียงนุ่ม “ข้าเคยได้ยินท่านพ่อกล่าวถึงภัยพิบัติเมื่อคราก่อน ที่ทำให้มีผู้อพยพเข้ามาในเมืองหลวงมากขึ้น ครั้นเมื่อภัยพิบัติสิ้นสุดลง หลายคนก็ไม่ยินยอมกลับเมืองของตน ตั้งใจตั้งหลักปักฐานอาศัยที่เมืองหลวงต่อ”“โดยเฉพาะในเขตปกครองของเซี่ยฮูหยินที่ยินดีรับผู้อพยพมากกว่าเขตปกครองของจวนอื่น จึงทำให้มีผู้ยากไร้ในเขตจำนวนมาก ข้าจึงคิดว่า คงเป็นการดี หากคุณหนูสามตระกูลกู้ที่เป็นหลานของท่านแม่ทัพจะช่วยเกณฑ์ผู้คนมาสร้างเรือนอาศัยให้แก่ชาวบ้านเหล่านี้”“หากหนึ่งเพลงพิณของข้าจะช่วยสร้างเรือนอาศัยให้แก่ชาวบ้านได้ ข้าก็คงยินดีมาก” ฉินเจียวเยี่ยนยิ้มอย่างไร้เดียงสา ก่อนจะทำทีนึกขึ้นได้ แสร้งยกมือขึ้นปิดปาก เอ่ยถามอย่างเกรงใจ“โอ ข้าช่างเลอะเลือนนัก ข้ายังไม่ได้สอ