ฟางเฟยในเวลานี้หัวใจเต้นกระหน่ำรัวจากการกระทำที่โจ่งแจ้งและเอาแต่ใจของหนานจวิ้นอ๋อง เขาจะกลับมาทำไมไหนบอกว่าเกลียดนางนักแล้วมาทำกับนางเช่นนี้ทำไมกัน ภายในใจดวงน้อยสับสนจนหยดน้ำตาเอ่อออกมาจวนเจียนจะไหลร่วงจากหางตาอยู่รอมร่อ
“อยากยืนตรงนั้นก็ยืนไป!” เจิ้งหนานอดที่จะเอ่ยประชดนางเสียไม่ได้ ก่อนจะใช้สายตามองนางนิ่ง ๆ แล้วพูดในสิ่งที่ตนเองเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น
“เมื่อคืนข้าถูกพิษปลุกกำหนัด ซ้ำจวนของข้าถูกคนร้ายบุก ในจวนวุ่นวายไปหมดถึงแม้จะกำจัดพวกมันได้หมดและพวกมันยอมตายไปแล้วก็ตาม ขอถามเจ้าว่าเจ้าทำไปทำไม! ห๊ะเว่ยฟางเฟย” เจิ้งหนานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุดันติดตะคอกกับการกระทำที่อุกอาจอีกทั้งน่ารังเกียจของนาง
“ขะข้าไม่ได้ทำนะ” ฟางเฟยที่ตกใจจนสะดุ้งกับน้ำเสียงดุดันของอีกฝ่ายก็เอ่ยตะกุกตะกักอีกทั้งเสียงสั่นอย่างหวาดกลัวตอบแก้ต่างให้ตนออกไป
“หึ! แน่นอนว่าผู้ร้ายย่อมไม่ยอมรับผิด ข้าถูกวางยาที่หอบุปผชาติของเจ้า หากไม่ใช่คนของเจ้าแล้วจะเป็นผู้ใดไปได้ ในเมื่อสุราที่ข้าดื่มก็เป็นสุราจากร้านเจ้า!”
“จะเป็นไปได้ยังไงกัน แต่ไม่ว่าเช่นไรก็ไม่ใช่ฝีมือของข้าดังเช่นท่านอ๋องกล่าวมาเป็นแน่ เอ่อคือข้าไม่ได้ชื่นชอบท่านอ๋องแม้เพียงนิด” ประโยคสุดท้ายฟางเฟยเอ่ยเสียงเบา แต่กระนั้นก็ดังชัดในความรู้สึกของเจิ้งหนาน เมื่อได้ฟังคนตรงหน้าเอ่ยเช่นนั้นมือใหญ่ก็เผลอกำเข้าหากันแน่นอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะคลายออกเมื่อได้สติ
“แล้วเหตุใดระหว่างรอเสี่ยวกงกงไปตามหมอหลวง เจ้าถึงได้ลอบเข้าหาข้าหากไม่ใช่ว่าทั้งหมดเจ้าคิดไว้หมดแล้ว!” เจิ้งหนานยังคงเอ่ยต้อนฟางเฟยให้ยอมรับด้วยตนเอง
“ก็ข้าแค่...แค่บังเอิญผ่านไปแล้วเสี่ยวกงกงก็ให้ข้าช่วยดูพระองค์ไว้ เป็นท่านเองที่กระทำไม่ดีกับข้า!” ฟางเฟยเอ่ยปฏิเสธด้วยใบหน้าร้านผ่าวอีกทั้งแดงก่ำราวผลอิงเถา ถึงแม้ว่านางจะเคยชื่นชมเขาแต่หลังจากที่เขาประกาศว่าเกลียดนางครั้งนั้นนางก็เก็บซ่อนมันไว้ลึกจนสุดก้นบึ่งของหัวใจก็ตามที
“เช่นนั้นหรือ หึ! แต่ไม่ว่าเช่นไรข้าต้องปิดหอบุปผชาติของเจ้า ถึงแม้เจ้าจะปฏิเสธว่าไม่ได้ทำแต่การที่ข้ามาที่นี่ แล้วเจ้าปล่อยปละละเลยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ นั่นก็ย่อมผิด” เจิ้งหนานเอ่ยเสียงเข้ม ก่อนจะสะบัดชายอาภรณ์ผ้าไหมสีดำเนื้อดีปักลวดลายด้วยดิ้นด้ายขลิบทองลุกยืนขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะสืบเท้าก้าวเดินช้า ๆ ไปยังทิศทางที่ฟางเฟยยืนอยู่ และเพียงก้าวไม่กี่ก้าวเขาก็สามารถถึงตัวนางได้ก่อนที่เจ้าตัวจะหลบหนีออกไปได้พ้น
“ไม่ได้นะ! ท่านอ๋องจะปิดไม่ได้”
“เหตุใดจะปิดไม่ได้! อยากเป็นสตรีของข้าจนถึงขั้นทำเรื่องเลวทรามต่ำช้า อย่ามาปฏิเสธว่าเจ้ามิได้ทำ หอเยว่เซียนก็ร้านของเจ้า แล้วผู้ใดจะเป็นคนทำหากไม่ใช่เจ้า หึ! บัดซบสิ้นดี"
"ท่านอ๋อง โปรดยั้งวาจาข้าหาได้กระทำการเช่นนั้นในเมื่อข้ากับท่านอ๋องอยู่ในจวนเดียวกัน ข้าวางยาท่านในจวนจะไม่ง่ายกว่าหรือ"
"ปากคอเราะร้ายเถียงคำไม่ตกฟาก ไม่ว่าเช่นไรข้าก็จะปิดหอเยว่เซียน"
"ไม่นะท่านอ๋อง! ข้าต้องใช้มัน...มันเป็นสมบัติแม่ข้า ในเมื่อเรื่องยังไม่ตรวจสอบท่านอ๋องจะปิดมันได้เช่นไรกัน"
"หึ! ทำไมไม่อยากให้ปิดหรือ เช่นนั้นก็มาเป็นสตรีของข้าสิ จะว่าไปข้อเสนอของข้าก็นับว่าไม่เลวในเมื่อเจ้าจงใจวางแผนชั่วนี้เพื่อเข้าหาข้ามิใช่รึ ช่างหวังสูงนักนะ หึ!"
"ท่านอ๋อง! ไม่มีทางไม่ว่าเช่นไรข้าก็ไม่มีทางไปเป็นสตรีของพระองค์!" ฟางเฟยอุทานตกใจกับสิ่งที่หนานจวิ้นอ๋องกล่าว เขาช่างเอ่ยไม่หน้าอายนักจะให้นางไปเป็นสตรีของเขาทั้ง ๆ ที่มีคู่หมั้นอยู่อย่างงั้นหนะหรือตลกสิ้นดี ท่านอ๋องวันนี้เกรงว่าคงกินยามาผิดกระมัง รึถูกปีศาจใดสิงสู่ถึงได้กล้าเอ่ยเช่นนี้กับข้าได้
“หึ! ก็แล้วแต่เจ้าจะตัดสินใจ อวี้หลาง!”
“ขอรับท่านอ๋อง” อวี้หลางที่ยืนอารักขาอยู่ด้านนอกเมื่อถูกเรียกก็รีบเข้ามาในทันที
“ปิดหอเยว่เซียนนี่ซะ!” เอ่ยสั่งจบก็ก้าวเดินผ่านฟางเฟยไปในทันที พร้อมมุมปากที่โค้งขึ้นคล้ายเย้ยหยันนางอยู่ในที เช่นไรข้อเสนอนี้นางก็ต้องรับ บิดาถูกจองจำนางจะหาเงินจากที่ใดไปวิ่งเต้นสืบคดีได้นอกจากหอบุปผชาติที่เป็นสมบัติของมารดานาง หึ! เด็กน้อยเจ้ายังอ่อนหัดนักเว่ยฟางเฟย
“เดี๋ยว!” ฟางเฟยที่ได้ฟังก็จำต้องปิดเปลือกตาลงอย่างยอมจำนน นิสัยของเขาหากไม่ทำตามใช่ว่าจะปราณี หากนางตามน้ำไปก่อนคงจะดีกว่าให้หอเยว่เซียนถูกปิดเป็นแน่
“หึ!” เมื่อได้ยินเสียงหวานเอ่ยขึ้น เจิ้งหนานก็กระตุกยิ้มในทันทีก่อนจะปรับสีหน้าเป็นราบเรียบเมื่อหันมามองนาง
“ตกลง! นานเท่าใดข้าต้องการเวลา” ฟางเฟยทำใจแข็งเชิดใบหน้าขึ้นมองบุรุษใจร้ายที่กล้านำสิ่งเดียวที่นางรักและเหลืออยู่มาบีบบังคับให้ต้องจนตรอก
“จนกว่าข้า...จะเบื่อ รึไม่ก็งานสมรสข้ามาถึง เจ้าอย่าได้คิดมากไป สตรีเช่นเจ้าข้าเองไม่นานก็คงเบื่อ สตรีมีมากมายเจ้าเองก็อย่าได้สำคัญตนผิดไปเล่า อวี้หลางกลับ!” เจิ้งหนานลอบยกยิ้มอย่างพอใจ ใช่! เขาเกลียดนาง แต่เมื่อคืนแม้ครั้งแรกนางเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวสมกับเป็นเจ้าหอเยว่เซียนสินะหึ! ไม่น่าเชื่อว่าจะยังบริสุทธิ์ไร้มลทิน ข่าวลือที่ว่านางมักคบหากับคุณชายตระกูลใหญ่แล้วก็พวกขุนนางคือเรื่องเท็จเช่นนั้นหรือ หึ!
“คุณหนูวันนี้มีความคืบหน้าแล้วเจ้าค่ะ” ซูหนิวที่กลับจากสืบข่าวจากจวนหนานจวิ้นอ๋อง ระหว่างทางได้พบเจอกับบุรุษจากสำนักเฉียนหลัวที่คุณหนูว่าจ้างในราคาแสนแพงให้ตามสืบคดีของท่านเสนาบดีอยู่นางจึงได้กลับมาพร้อมกัน แต่นึกไม่ถึงว่าระหว่างทางนั้นนางจะพบเจอกับคนที่นางรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีเข้า“จริงหรือ ดีจริง ๆ เลย เช่นนั้นเชิญท่านเสวียนซื่อทางนี้เถิดเจ้าค่ะ” ทั้งสามเดินเข้าไปยังห้องลับหลังประตูกลที่มีเพียงฟางเฟยและคนสนิทเช่นซูหนิวเท่านั้นที่รู้ว่ามีมันอยู่ ซึ่งเป็นเช่นนั้นเพราะฟางเฟยสร้างขึ้นมาภายหลังเพื่อไว้เป็นที่ทำการสืบคดีของผู้เป็นบิดา ในเมื่อไปร้องทางการไม่ได้ผลนางจึงต้องลำบากลงแรงเองภายในห้องที่แสงสว่างมีเพียงเปลวเทียนฟางเฟยนั่งฟังนักสืบที่ตนเองว่าจ้างด้วยราคาแสนแพงอย่างตั้งใจใบหน้านั้นเผยแววเคร่งเครียดแลจริงจัง“แม่นางเว่ยหลายเดือนมานี้ข้าได้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดและพยานที่ทำงานอยู่รอบ ๆ บิดาของท่านจนบัดนี้สืบได้แน่ชัดแล้วว่าหยกอวิ๋นหลงปี้มีความเป็นไปได้ยิ่งที่จะอยู่ในการครอบครองของผู้ใด” “ผู้ใดกัน” ฟางเฟยเมื่อได้ฟังก็ถึงกับเก็บอาการดีใจไม่อยู่ นางเผลอเอื้อมมือไปจับมือใหญ่สากของนักสื
ภายในห้องบรรทมอันโอ่อ่าที่มักอบอวลด้วยกลิ่นกำยานหอมจากแก่นไม้จันทร์แลดอกไม้หอมอยู่เสมอ บัดนี้กลับอบอวลไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพรจาง ๆ คลุ้งตลบไปทั่วทั่งบริเวณห้องกว้าง“ท่านฉี ท่านอ๋องพระองค์เป็นเช่นไรบ้าง” หลังหมอหลวงถวายการรักษาเสร็จเรียบร้อยเสี่ยวกงกงก็รีบเข้าประชิดเพื่อถามอาการผู้เป็นนายด้วยใบหน้าฉายแววกังวลแลเคร่งเครียดในใจเกิดกระวนกระวายจนเหงื่อผุดซึมออกมา‘คุณหนูเว่ยมิยอมมาท่านอ๋องมิยอมให้สตรีใดปรนนิบัติ’ แล้วหากต้องใช้วิธีเดิมเฉกเช่นครานั้นแล้วข้า ข้าจะทำเช่นไรกันเล่านี่ โธ่สวรรค์กลั่นแกล้งข้าน้อยเกินไปรึไม่’“อาการท่านอ๋องยังนับว่ามิร้ายแรงเท่าครานั้น แต่พิษแน่นอนว่าเป็นชนิดเดียวกันแต่พระองค์คงเสวยไปมิมากกระมังฤทธิ์ถึงได้เจือจางอยู่มาก”“อีกแล้วรึ! ผู้ใดช่างอาจหาญนัก แล้วเอ่อ...ต้องใช้วิธีเดิมรึไม่ ถ้าหากว่าเอ่อ...ถ้าหากมีวิธีอื่นท่านฉีเองก็ลองดูเถิด พระองค์นั้นมิยอมให้สตรีนางใดเข้าใกล้จนข้าก็จนปัญญาแล้วจริง ๆ” เสี่ยวกงกงเอ่ยด้วยสีหน้าและแววตาแบ่งรับแบ่งสู้หมอหลวงฉีนักขำขันกับท่าทางกังวลจนน่าสงสารของขันทีใหญ่แห่งจวนหนานอ๋อง จึงส่ายหน้าพร้อมทั้งอมยิ้มมุมปากน้อย ๆ บัดนี้เขาได้จัดการ
“เสี่ยวกงก! เจ้ารู้ความผิดตนเองรึไม่”“ระรู้พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องบ่าวผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ที่ทำไปนั้นล้วนหวังดีต่อพระองค์ท่านอ๋องโปรดอภัย ชะเช่นนั้นหากพระองค์มิต้องการก็คงมีทางเดียวที่พอบรรเทาอาการได้กระมัง” เสี่ยวกงกงเมื่อนึกหาหนทางได้ก็เร่งลนลานออกไปเรียกหานางกำนัลให้เตรียมน้ำเย็นอีกทั้งน้ำแข็งมาส่งที่ตำหนักในทันทีร่างกายองอาจขาวเนียนประดุงดั่งหยกมันแพะนั่งหลับตานิ่งแช่เรือนกายดั่งหยกล้ำค่าในอ่างอาบน้ำใหญ่ น้ำเย็นจัดที่โอบอุ้มเรือนกายช่วยดับทุเลาพิษในกายได้มากเลยทีเดียว แต่ถึงกระนั้นก็ช่างยากลำบากนักในความรู้สึกของเจิ้งหนาน‘เว่ยฟางเฟย! ช่างเง้างอนข้าได้ถูกเวลายิ่งนักนะ หึ!’ ดูเถิดเวลานี้เขาต้องการนางแทบตายแต่นางกลับมิรู้จักกลับบ้าน เพียงตำหนิไปสองสามประโยคถึงกลับเอ่ยปากจะย้ายออกจากจวนใหญ่ รึเป็นเพราะข้าตามใจนางมากไปกระมังถึงได้ใจกล้าทำกำเริบเช่นนี้กับข้า รึเพราะข้าแสดงออกว่าโปรดปรานเรื่องนั้นกับนางมากไปนางถึงได้สำคัญตัว ในเมื่อนางอยากย้ายออกนักข้าก็จะให้นางสมหวังอยากรู้นักนางจะอยู่ได้สักกี่วันกันเชียว หึ! ช่างเป็นสตรีที่นับว่าดื้อดึงยิ่งนักเหตุการณ์ภายในสงบดีแล้วเสี่ยวกงกงก็ปลีกตัวออก
เจิ้งหนานเวลานี้นอนกระสับกระส่ายไปมาอยู่บนเตียงใหญ่ เขาพยายามประคองสติที่เหลือเพียงครึ่งเพื่อรอคนผู้หนึ่ง เมื่อร่างกายแม้แข็งแรงกำยำเพียงคราต้องพิษปลุกกำหนักเข้าไปเช่นนี้มีหรือจะสามารถทานทนได้“บัดซบ! ผู้ใดที่บังอาจเช่นนี้” เจิ้งหานทุรนทุรายกร่นด่าในใจ แต่ที่แน่ ๆ ครานี้มิใช่กาฝากแสนหวานอย่างเว่ยฟางเฟยเพราะนางและเขาพึ่งมีปากเสียงกันมา และหากใช่นางป่านนี้เขาคงกำลังเข็ญเขี่ยวกับร่างกายของนางอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่แล้วกระมัง หึ! สตรีรูปร่างบอบบางเหตุไฉนเลยถึงปรนนิบัติเขาได้ทุกท่วงท่าอีกทั้งตั้งหลายคราในหนึ่งค่ำคืนจนเจิ้งหนานเองยังรู้สึกนับถือนางในใจ ยามค่ำคืนกอดก่ายร่วมคืนสวสันต์กับเขา ครั้นถึงบ่ายคล้อยนางลุกขึ้นแต่งกายไปดูแลกิจการได้“อ่า! นางมันปีศาจชัด ๆ สะเสี่ยวกงกง” เพียงแค่นึกถึงนางร่างกายเขาถึงกับร่ำ ๆ ทรยศ แท่งหยกร้อนกลางกายตั้งชูผงาดขึ้นอย่างน่าอายนัก จนคราแรกเจิ้งหนานไม่คิดจะง้องอนนางบัดนี้ต้องคิดเสียใหม่ในระหว่างที่เจิ้งหนานนอนทรมานอดทนอย่างอดกลั้นอยู่บนเตียงใหญ่พลันคิ้วเข้มขมวดหากแต่ยังมิยอมลืมตาเมื่อรู้สึกถึงมือนุ่ม ๆ กำลังลากไล้ไปมาบนอกแกร่งของตน พลันทำให้เขากระตุกยิ้มทั้งเ
“เสี่ยวกงกง…”“พ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวกงกงเห็นผู้เป็นนายที่หลับตานิ่งในคราแรกเอ่ยเรียก ใบหน้าก็พลันแต้มประดับรอยยิ้มดีใจอีกทั้งถอนหายใจหนัก ๆ อย่างนึกโล่งอก เขาเองเป็นเช่นไรก็เป็นเพียงบ่าวแม้จะพยายามรักษากฏทำเนียมที่ผู้เป็นนายพึงระวังแต่หากนั่นเป็นความต้องการของพระองค์เขาเองก็ย่อมมิอาจขัดพระประสงคค์นั้นได้“ส่งท่านหญิงกลับเถิด นี่ก็นับว่ามืดค่ำแล้วข้าเองก็ง่วงเต็มที!” เจิ้งหนานข่มอารมณ์เอ่ยสั่งด้วยเสียงไม่มั่นคงเท่าใดนัก แม้ร่างกายร้อนรุ่มดุจดั่งเพลิงเผาแต่ในใจเขากลับค้นพบเรื่องประหลาดมิน่าเชื่อ ตลอดทางการนั่งรถม้ากลับจวนซ่างกวนอี้เหยานั้นนางฉวยโอกาสที่เขานั้นถือครองสติเพียงครึ่งอาจหาญแตะต้องร่างกายของเขา เช่นไรนางก็สตรีอีกทั้งรูปร่างหน้าตาก็มิได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด แต่เหตุใดในใจเขานึกรังเกียจก็มิอาจรู้ได้“ท่านอ๋อง! ไม่นะเพคะเหตุใดเป็นเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าพระองค์...” อี้เหยาตกตะลึงนี่แผนการของนางล้มเหลวเป็นคราที่สองเฉกเช่นนั้นหรือ ใบหน้างามฉายแววขัดใจบูดบึ้ง ก่อนจะจำต้องลุกจากไปตามคำเชื้อเชิญของขันทีใหญ่ไปด้วยอาการฟึดฟัดมิน่ามอง“เชิญท่านหญิง” เสี่ยวกงกงเผยรอยยิ้มกว้างก่อนจะผายมือเปิดท
เจิ้งหนานที่อารมณ์กำลังคุกกรุ่นกับฟางเฟยที่จู่ ๆ จากเคยว่าง่ายกับดื้นรั้นขึ้นมาก็เดินกลับมาหาคู่หมั้นของตนที่นางยังคงนั่งรออยู่ที่เดิม ร่างสูงเดินกลับมานั่งลงด้วยท่าทีนิ่งเงียบใบหน้าราบเรียบเคร่งขรึมอีกทั้งยังมิยอมเอื้อนเอ่ยสิ่งใดเอาแต่ยกสุราขึ้นดื่มหลายจอกติดจนอี้เหยาที่พอคาดเดาสถานการณ์ออกก็ลอบยิ้มอย่างโล่งใจที่สามารถกำจัดศัตรูหัวใจได้สำเร็จ ครานั้นนางพลาดจนเปิดโอกาสให้สตรีอื่นได้ครอบครองหนานจวิ้นอ๋อง ครานี้นางจะมิยอมพลาดให้สตรีอื่นใดได้เข้ามาเป็นคราที่สองแน่“ท่านอ๋องพระองค์เหตุใดถึงได้ดื่มมากเช่นนี้เล่าเพคะ” อี้เหยาเอ่ยชิดใบหน้าหล่อเหลาก่อนจะส่งสัญญาณให้อวี้หลางองครักษ์มาช่วยนางประคองหนานเจิ้งอ๋องที่บัดนี้เมามายเสียสิ้นท่าขึ้นเพื่อกลับจวน“ท่านพี่ ข้าเป็นห่วงท่านอ๋อง” อี้เหยาหันมาแสร้งเอ่ย“อืม เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถอะ” อวี้เหวินเอ่ยตอบเสียงราบเรียบ หากแต่ในใจนั้นกลับลิงโลดที่พอคาดเดาสถานการณ์ระหว่างหนานอ๋องกับสตรีที่ตนพึงใจออกอวี้หลางที่รู้สึกถึงสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลก็คอยลอบสำรวจซ่างกวนอี้เหยาอย่างมิวางตา ผู้เป็นนายตนนั้นตนย่อมรู้ดี ท่านอ๋องฉายาในกองทัพคือดื่มพันจอก แล้วเหตุใดเพียงส