“โอ้โห ผู้คนมากมายถึงเพียงนี้เลยหรือ” ลี่อินตื่นตาตื่นใจกับงานเทศกาลลีชุน(เทศกาลตรุษจีน)ที่ถูกจัดขึ้นในครานี้ ท้องถนนเต็มไปด้วยห้างร้านที่ประดับประดาตกแต่งอย่างสวยงาม ผู้คนต่างออกจากเรือนมาเลือกซื้อสิ่งของจำเป็น สกุลลู่เองก็เช่นกัน ลู่หวังเหล่ยพาฮูหยินของตนและบ่าวรับใช้ออกมาเลือกซื้อของใช้จำเป็นที่จะใช้เฉลิมฉลองเทศกาลลีชุน รวมถึงพาบุตรทั้งสี่มาเปิดร้านการละเล่นโยนห่วง
“หึๆ มาทางนี้เถิด พ่อให้คนของเรามาจับจองที่ตั้งร้านให้พวกเจ้าแล้ว ตำแหน่งที่ตั้งดีทีเดียว ผู้คนที่เดินเข้ามาซื้อของในตลาดย่อมต้องผ่านร้านการละเล่นของพวกเจ้า” ลู่หวังเหล่ยอุ้มเยว่ชิงเดินนำภรรยาและบุตรไปบริเวณที่ว่าทันที เมื่อมาถึงก็พบว่าบ่าวในเรือนได้ตั้งร้านให้เรียบร้อยแล้ว เยว่ชิงมองดูร้านของตนเองแล้วพอใจไม่น้อย ร้านที่ว่าดูเหมือนจะเป็นแผงขายเล็กๆ ตัวร้านเป็นทรงสี่เหลี่ยม ใช้แผ่นไม้กั้นรอบทั้งสี่ด้าน แต่แผ่นไม้กั้นสูงเพียงสี่ฉื่อ (ประมาณ 1 เมตร) ทั้งยังมีทางออกอยู่ด้านหลัง ส่วนพื้นที่ตรงกลางถูกเว้นว่างไว้สำหรับตั้งหุ่นไม้ที่พี่น้องสกุลลู่เตรียมมา
“ดียิ่งขอรับท่านพ่อ มีไม้กั้นเช่นนี้ผู้คนจะได้ไม่เข้าใกล้เกินตำแหน่งที่เรากำหนดให้เขายืน” เฉินกงเดินสำรวจจนพอใจ ก็เริ่มจัดเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือ เยว่ชิงรับหน้าที่เก็บเงินและเรียกลูกค้าหน้าร้าน เพราะความน่ารักน่าเอ็นดูของน้องสาว ทุกคนจึงคิดว่าผู้ที่เดินผ่านไปมาย่อมให้ความสนใจ เด็กน้อยวัยสามหนาวสะพายตะกร้าเก็บเงินที่บ่าวในเรือนสานไว้ ร่างเล็กขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้หน้าร้านรอเรียกลูกค้าที่ผ่านไปผ่านมา
“พ่อจะพามารดาของเจ้าไปซื้อของใช้ พวกเจ้าอยู่ทางนี้มีสิ่งใดก็ให้บ่าวไปแจ้งพ่อ เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจขอรับ ท่านพ่อมิต้องเป็นห่วง ข้าจะดูแลน้องๆ ให้ดี” เฉินกงรับปากบิดาอย่างหนักแน่น
“ดีๆ พวกเจ้าเองก็เชื่อฟังพี่ใหญ่ของพวกเจ้าด้วย พ่อจะให้แม่นมลี่อยู่ช่วยทางนี้”
“ขอรับ” / “เจ้าค่ะ”
หลังจากที่ทุกอย่างถูกตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เฉินกงจึงพยักหน้าส่งสัญญาณให้น้องๆ อยู่ประจำตำแหน่งทันที เยว่ชิงที่บัดนี้ลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้เริ่มส่งเสียงเรียกลูกค้าอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
“เชิญทางนี้เจ้าค่ะ โยนห่วงสนุกๆ เพียงห่วงยะ 2 อีแปะเท่านั้น ได้ของยางวัลติดมือกลับไปด้วยนะเจ้าคะ” เสียงเล็กตะโกนร้องเรียกลูกค้าไปทั่ว แม่นมลี่เองก็ยืนกำกับคุณหนูของนางไม่ห่าง คอยระมัดระวังไม่ให้เยว่ชิงตกเก้าอี้
“นั่นร้านขายอันใดหรือเจ้าคะ เด็กน้อยผู้นั้นน่าเอ็นดูเหลือเกิน”
“นั่นสิ ลองเข้าไปดูดีหรือไม่”
ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในร้านการละเล่นโยนห่วงของพี่น้องสกุลลู่มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ต่างอยากลองเล่นโยนห่วงดูบ้าง เดิมทีพี่น้องสกุลลู่คิดว่าจะมีเพียงเด็กที่สนใจ แต่ทว่ามิได้เป็นเช่นนั้น ผู้ใหญ่บางคนเองก็อยากละเล่นเพื่อวัดความแม่นยำในการโยนห่วงของตนเอง โดยมิได้สนใจว่าของรางวัลที่พี่น้องสกุลลู่เตรียมไว้นั้นเป็นของรางวัลสำหรับเด็ก
“เจ้ามาแข่งกับข้า ว่าใครจะโยนได้แม่นยำกว่ากัน ผู้ใดพ่ายแพ้ต้องจ่ายเป็นสุราหนึ่งไห” กลุ่มชายหนุ่มห้าคนที่ดูท่าแล้วจะเป็นสหายกัน ก็เข้ามาวัดความแม่นยำ ทั้งยังมีการเดิมพันกันเกิดขึ้น ได้ยินเช่นนั้นเยว่ชิงที่ยืนอยู่หน้าร้านถึงกับยิ้มกริ่ม หากเดิมพันกันเช่นนี้นางต้องได้เงินจากชายหนุ่มกลุ่มนี้มากทีเดียว
“เอากี่ห่วงดีเจ้าคะ หากเดิมพันสูงเช่นนี้ คนยะสิบห่วงดีหรือไม่เจ้าคะ” เยว่ชิงส่งยิ้มหวานไปให้เหล่าชายหนุ่มที่มาละเล่นโยนห่วง
คนละสิบห่วงไปเลย เชื่อข้า เชื่อข้า! คึๆ
“น่าเอ็นดูเสียจริง ตัวเท่านี้รู้จักทำมาหากินแล้ว เอามาให้ข้าสิบห่วง”
“พวกข้าก็ด้วย”
“ได้เจ้าค่ะ คนยะยี่สิบอีแปะเจ้าค่ะพี่ชาย” เยว่ชิงแบมือเล็กๆ ไปรับเอาเงินจากชายหนุ่มทั้งห้าคน เมื่อนับดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงพยักหน้าให้ลี่อินนำห่วงมาให้ลูกค้า ชายหนุ่มกลุ่มนี้ต่างสนุกเฮฮา จนผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างหันมามองร้านการละเล่นของพี่น้องสกุลลู่มากขึ้น ถึงขนาดมีผู้คนมาต่อแถวเพื่อรอละเล่นโยนห่วงกันยาวเหยียด ของรางวัลที่เตรียมมาลดลงไปสี่ส่วน เพราะหลายคนก็ไม่สามารถโยนห่วงให้ครอบหุ่นไม้ได้ตามจำนวนที่กำหนดไว้ แต่บางคนก็ทำได้ดีจนได้รางวัลกันไปมากทีเดียว
“เห้ออออ เหนื่อยเหลือเกิน ขาข้าแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว” หมิงยู่นอนแผ่ไปบนพื้นศาลา วันนี้พวกเขาไปตั้งร้านกันตั้งแต่เช้า กว่าจะปิดร้านก็มืดค่ำเสียแล้ว จึงได้เหนื่อยล้ากันเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเด็กน้อยวัยสามหนาวอย่างเยว่ชิง ที่บัดนี้นอนนิ่งแทบไม่กระดิก แต่อ้อมแขนน้อยๆ ก็ยังกอดตะกร้าเงินไว้แน่น มูมู่ที่รอนายของมันอยู่บ้านทั้งวัน ก็เข้ามาออดอ้อนนอนอยู่ข้างเยว่ชิง ผู้ใดได้เห็นก็คงอดยกยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูมิได้
“หึๆ เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องไปดีหรือไม่” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยลองเชิงบุตรทั้งสี่ของตน ดูจากท่าทีของบุตรแล้ว แม้จะเหนื่อยล้าแต่ก็มีความมุ่งมั่นไม่น้อย
“ไปขอรับ! เพียงแค่เหนื่อย นอนพักก็หายแล้ว ใช่หรือไม่น้องพี่”
“ใช่!” เด็กๆ ที่นอนอยู่ต่างดีดตัวขึ้นมาชูกำปั้นกันอย่างหนักแน่น
“เช่นนั้นก็นำเงินมานับเถิด จะได้มีกำลังใจและมีแรงมากขึ้น” เยว่ชิงได้ยินมารดาพูดเช่นนั้นก็รีบนำเงินออกมาจากตะกร้า นำเหรียญอีแปะมากมายมากองรวมกัน
“มีทางนี้อีกตะกร้าเจ้าค่ะ” แม่นมลี่หยิบตะกร้าเงินออกมาอีก เพราะเงินที่ได้จากการตั้งร้านในวันนี้มีมาก แม่นมลี่จึงต้องเปลี่ยนตะกร้าเงินที่เต็มออก แล้วให้เยว่ชิงสะพายตะกร้าใบใหม่แทน
“นี่ นี่เยอะถึงเพียงนี้เลยหรือ” ลู่หวังเหล่ยมิได้ไปอยู่เฝ้าตอนที่บุตรตั้งร้าน จึงไม่รู้ว่ามีผู้คนเข้ามาละเล่นโยนห่วงมากน้อยเพียงใด ทั้งเดิมทีเขามิได้คาดหวังว่าการตั้งร้านการละเล่นจะสร้างเงินทองได้ พอเห็นจำนวนเงินจึงตกตะลึงไม่น้อย
“ข้าจะนับแล้วนะขอรับ” เฉินกงรับหน้าที่ในการนับจำนวนเงินที่อยู่ตรงหน้า จากหลักสิบ สู่หลักร้อย และ…
“นะ หนึ่งพันกับอีกห้าสิบอีแปะ” สิ้นเสียงของเฉินกง ทุกคนที่อยู่บนศาลาต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก ซูเมิ่งที่มักมีกริยาเรียบร้อยยังอ้าปากค้าง
“เยอะมากทีเดียว ฮ่าๆ ลูกพ่อเก่งกาจกันทุกคน พ่อเป็นขุนนางขั้นห้า ยังได้เบี้ยหวัดเพียงหนาวละห้าตำลึงทอง หรือก็เพียงแค่ห้าสิบตำลึงเงิน แต่พวกเจ้าใช้เวลาเพียงวันเดียวก็ช่วยกันหาเงินได้ถึงหนึ่งตำลึงเงินกับอีกห้าสิบอีแปะ ฮ่าๆ” เฉินกง หมิงยู่ ลี่อัน และเยว่ชิงได้ยินบิดาเอ่ยดังนั้นก็ดีอกดีใจกันยกใหญ่ ยิ่งเห็นเงินที่หาได้ ยิ่งทำให้สี่พี่น้องมีแรงขึ้นมาทันตา เด็กๆ พากันเข้านอนเพื่อพักผ่อนและออกไปตั้งร้านในเช้าวันรุ่งขึ้น
งานเทศกาลลีชุนจัดขึ้นเพียงสิบห้าวัน ดังนั้นจะต้องใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่า สี่พี่น้องสกุลลู่ตั้งใจไว้ว่า ในสิบห้าวันนี้ พวกเขาจะต้องเก็บเงินให้ได้สิบห้าตำลึงเงิน จำนวนเงินอาจจะดูมากเกินไป แต่การตั้งเป้าหมายไว้สูง ย่อมทำให้เรามีความพยายามมากขึ้น ทั้งสี่คนรวมถึงบ่าวในเรือนและมูมู่ต่างมาช่วยกันจัดข้าวของอย่างขยันขันแข็ง เยว่ซิงสะพายตะกร้าเก็บเงินเรียบร้อยแล้วจึงไปยืนประจำตำแหน่งทันที มือข้างหนึ่งจับตะกร้า มืออีกข้างก็จับสายคล้องคอมูมู่ที่ถูกจับใส่ผ้าคลุมเพื่ออำพรางตัวตน เพราะหากผู้อื่นรู้ว่ามูมู่เป็นลูกเสือคงจะตกใจกลัวไม่น้อย ทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อย แต่ยังไม่ทันได้เริ่มเรียกลูกค้า กลับมีเรื่องชวนปวดหัวเกิดขึ้น…
“ตรงนี้เป็นที่ของข้า! พวกเจ้าถือสิทธิ์อันใดมาตั้งร้านตรงนี้”
“ตรงนี้เป็นที่ของข้า! พวกเจ้าถือสิทธิ์อันใดมาตั้งร้านตรงนี้” ชายตัวสูงใหญ่สามคนปรี่เข้ามายืนประจันหน้ากับเหล่าพี่น้องสกุลลู่ ชายหนุ่มทั้งสามแต่งตัวมอมแมม ทั้งยังมีท่าทางหาเรื่องเช่นนี้ มิน่าวางใจแม้แต่น้อย“เอ่อ พี่ชายคงจะเข้าใจผิดแล้ว พวกเรามาตั้งร้านที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว อีกทั้งเราก็มาจับจองที่ตั้งร้านนี้ก่อนผู้ใด” เฉินกงรีบเดินออกมาพูดคุยกับชายหนุ่มทั้งสามคน“แล้วอย่างไร ข้าจะตั้งร้านของข้าที่นี่ เจ้าย้ายของของเจ้าออกไปให้หมด มิเช่นนั้นก็จ่ายค่าเช่าที่มา” หนึ่งในชายหนุ่มแบมือไปตรงหน้าเฉินกง“เอ่อ พวกเรายังมิมีลูกค้าสักคนเดียว จะเอาเงินที่ใดมาให้ท่านเล่า” บ่าวชายสกุลลู่สองคนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้ามากันคุณชายใหญ่จากพวกนักเลงเอาไว้“หากไม่มีก็…ย้ายออกไป พวกเรา! ทำลายให้หมด” ชายพวกนั้นขว้างปาก้อนหินขนาดเท่ากำมือเข้าไปในร้านจนข้าวของบางส่วนเสียหาย บ่าวชายพยายามเข้าไปห้ามปรามก็โดนทำร้ายกลับมา“เฮ้ย! หยุดนะ ข้าวของของข้าเสียหายหมดแล้ว เจ้าพวกบ้า!” หมิงยู่โมโหจนเลือดขึ้นหน้า คิดปรีเข้าไปหยุดนักเลงพวกนั้นแต่เด็กชายกลับต้องชะงัก“หยุด! พอแย้ว เอาเงินนี่ไป” เยว่ชิงโยนถุงเงินจำนวนหนึ่งลงบนพ
“โอ้โห ผู้คนมากมายถึงเพียงนี้เลยหรือ” ลี่อินตื่นตาตื่นใจกับงานเทศกาลลีชุน(เทศกาลตรุษจีน)ที่ถูกจัดขึ้นในครานี้ ท้องถนนเต็มไปด้วยห้างร้านที่ประดับประดาตกแต่งอย่างสวยงาม ผู้คนต่างออกจากเรือนมาเลือกซื้อสิ่งของจำเป็น สกุลลู่เองก็เช่นกัน ลู่หวังเหล่ยพาฮูหยินของตนและบ่าวรับใช้ออกมาเลือกซื้อของใช้จำเป็นที่จะใช้เฉลิมฉลองเทศกาลลีชุน รวมถึงพาบุตรทั้งสี่มาเปิดร้านการละเล่นโยนห่วง“หึๆ มาทางนี้เถิด พ่อให้คนของเรามาจับจองที่ตั้งร้านให้พวกเจ้าแล้ว ตำแหน่งที่ตั้งดีทีเดียว ผู้คนที่เดินเข้ามาซื้อของในตลาดย่อมต้องผ่านร้านการละเล่นของพวกเจ้า” ลู่หวังเหล่ยอุ้มเยว่ชิงเดินนำภรรยาและบุตรไปบริเวณที่ว่าทันที เมื่อมาถึงก็พบว่าบ่าวในเรือนได้ตั้งร้านให้เรียบร้อยแล้ว เยว่ชิงมองดูร้านของตนเองแล้วพอใจไม่น้อย ร้านที่ว่าดูเหมือนจะเป็นแผงขายเล็กๆ ตัวร้านเป็นทรงสี่เหลี่ยม ใช้แผ่นไม้กั้นรอบทั้งสี่ด้าน แต่แผ่นไม้กั้นสูงเพียงสี่ฉื่อ (ประมาณ 1 เมตร) ทั้งยังมีทางออกอยู่ด้านหลัง ส่วนพื้นที่ตรงกลางถูกเว้นว่างไว้สำหรับตั้งหุ่นไม้ที่พี่น้องสกุลลู่เตรียมมา“ดียิ่งขอรับท่านพ่อ มีไม้กั้นเช่นนี้ผู้คนจะได้ไม่เข้าใกล้เกินตำแหน่งที่เรา
เช้าวันนี้เยว่ชิงตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ โดยมีแม่นมลี่จัดการเช็ดหน้าเช็ดตาและแต่งกายให้ เด็กน้อยนั่งอยู่หน้ากระจกแกว่งขาไปมาให้แม่นมลี่สางผมอย่างอารมณ์ดี ปากเล็กๆ ยกยิ้มไม่หุบ มืออ้วนป้อมก็ลูบหัวเจ้าเสือตัวน้อยไปพลาง“อื่อ อือ อื้อ ล้า ลา~”“อารมณ์ดีอันใดเจ้าคะคุณหนู บ่าวเห็นคุณหนูยิ้มไม่หุบตั้งแต่ตื่นนอน”“วันนี้พี่ๆ จะมาเย่นด้วย”“หึๆ ทุกวันก็เล่นด้วยกันมิใช่หรือเจ้าคะ”“ไม่เหมือน วันนี้มีความยับ ยังบอกไม่ได้” แม่นมลี่ถึงกับหัวเราะร่ากับคำพูดของเด็กน้อย คุณหนูของนางถึงกับรู้จักเก็บความลับช่างรู้ความเกินไปแล้ว“เจ้าค่ะๆ เช่นนั้นเรารีบไปที่ห้องโถงดีหรือไม่เจ้าคะ ทุกคนคงรอทานมื้อเช้าอยู่แล้ว” แม่นมลี่จูงมือเด็กน้อยไปที่ห้องโถงเพื่อทานมื้อเช้า มือเล็กก็จับจูงสายคล้องคอมูมู่ให้เดินตามมาด้วย เดิมทีเยว่ชิงจะไม่ใส่สายคล้องคอให้กับมูมู่ แต่ท่านพ่อกลัวว่ามูมู่จะไม่คุ้นเคยกับสถานที่แล้วหนีไป จึงต้องคล้องสายให้มูมู่ก่อนสักระยะ“เป็นอย่างไรบ้างพี่ใหญ่” หมิงยู่เอ่ยถามพี่ชายที่กำลังเหลาไม้ให้มีปลายแหลมเพื่อใช้เป็นลูกดอก หลังจากที่พวกเขารอส่งท่านพ่อไปทำงานเรียบร้อยแล้ว สี่พี่น้องสกุลลู่ก็รีบมารวมตัวก
“พี่ชายทั้งสาม เยว่ชิงมีเยื่องจะพูดด้วย หาว~” เช้าวันนี้เยว่ชิงตื่นขึ้นมาแต่เช้า แม้ว่าเมื่อคืนนางแทบจะมิได้นอน แต่อย่างไรก็ต้องรีบนำสิ่งที่นางคิดมาปรึกษาพี่ชายทั้งสาม เพราะแผนการที่นางวางไว้ใหญ่โตเกินกว่าที่เด็กวัยสามหนาวจะทำสำเร็จด้วยตนเองได้ นางจึงมาขอความช่วยเหลือจากพี่ชายทั้งสาม เดิมทีเยว่ชิงมิมีความมั่นใจสักนิดว่าพี่ชายทั้งสามของนางจะรับฟังความคิดของเด็กวัยสามหนาวอย่างนาง แต่อย่างไรก็ต้องลองเสี่ยงดูสักครา“หึๆ ให้พี่กล่อมนอนก่อนดีหรือไม่ หืม! เจ้าดูจะง่วงเต็มที” เฉินกงยกมือลูบศีรษะเล็กของน้องสาวเบาๆ ด้วยว่าวันนี้เขาไม่ต้องคัดตำรา หลังจากที่ส่งท่านพ่อไปทำงานแล้ว เขาจึงอาสาดูแลน้องๆ แทนท่านแม่ เพื่อให้ท่านแม่ได้พักผ่อนอย่างสงบเสียบ้าง“ไม่เจ้าค่ะ ทุกคนฟังเยว่ชิงนะ…เยว่ชิงอยากหาเงิน”“ฮ่าๆ เจ้าเด็กน้อยคนนี้ เพ้อเจ้ออันใดของเจ้า” หมิงยู่หัวเราะจนปวดท้องไปหมด ต่างจากเฉินกงที่เริ่มขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันน้องสาวเขานี่อย่างไร เหตุใดจึงมีความคิดความอ่านไม่เหมือนกับเด็กวัยสามหนาวแม้แต่น้อย“เหตุใดต้องหาเงินด้วยเล่า เยว่ชิง”“ก็…ก็มูมู่ของน้องกินเยอะ สิ้นเปลืองเงินทอง” เยว่ชิงมิอาจบอกออกไปไ
“ท่านพี่ได้มูมู่มาได้อย่างไรหรือเจ้าคะ ทั้งยังไม่เสียเงินสักตำลึงเดียว” ซูเมิ่งเอ่ยถามสามีพลางวางชาและขนมเชาปิ้งที่แม่นมลี่ทำให้บุตรและสามี“พี่ก็ทูลขอต่อฝ่าบาทมาอย่างไรเล่า กว่าจะได้เจ้ามูมู่มา พ่อเกือบหัวขาดเสียแล้ว” ลู่หวังเหล่ยเองยังตกใจกับความใจกล้าของตนที่กล้าทูลขอต่อฮ่องเต้เฉิงเจี้ยนกั๋ว ด้วยความที่บุตรสาวของเขาถามถึงลูกเสืออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พอเห็นว่ามีลูกเสืออยู่ตรงหน้าจึงได้พลั้งปากออกไป“ห๊า!!! หัวขาดเยยหยือ…เยว่ชิง โอ๋ๆ ท่านพ่อนะเจ้าคะ” เยว่ชิงที่รับรู้ถึงความยากลำบากของบิดาจึงรีบเข้าไปกอดออดอ้อนให้บิดาชื่นใจ“เจ้าคงต้องโอ๋ๆ พ่อให้มากเสียแล้ว” ผู้เป็นบิดาโอบกอดบุตรสาวเข้าแนบอกอย่างสุขใจ“เรื่องราวเป็นอย่างไรเจ้าคะ เหตุใดถึงขั้นต้องทูลขอต่อฝ่าบาท”“ในวันล่าสัตว์ องค์ชายรองเฉิงเจียงหยวนล่าเสือขาวตัวเมียมาได้ แต่เมื่อนำเสือตัวนั้นกลับมาที่ลานพิธีกลับพบว่ามีลูกเสือตัวน้อยถึงสองตัวที่เดินตามมา ฝ่าบาททรงคาดเดาว่าอาจจะเป็นลูกของเสือขาวที่ถูกล่า คราแรกฝ่าบาทจะสังหารเพื่อเซ่นไหว้เทพเจ้า แต่เป็นองค์ชายใหญ่เฉิงหลิวหยางที่ทูลขอเอาไว้ พระองค์จะนำไปเลี้ยง พ่อได้ยินเช่นนั้นจึงพลั้งปากท
และแล้วคำภาวนาของเยว่ชิงก็เป็นผล บัดนี้นางอายุได้สามหนาวแล้ว เด็กน้อยตัวกลมสมส่วน ผิวขาวราวหิมะ พวงแก้มสีแดงระเรื่อป่องออกมาจนบิดามารดาและพี่ชายที่เดินผ่านไปผ่านมาต้องแวะหอมแก้มกลมให้ชื่นใจ จะมีก็เพียงหมิงยู่เท่านั้นที่มักจะชอบบีบแก้มเยว่ชิงเล่นอยู่เสมอ อย่างเช่นตอนนี้…“โอ๊ยยย พี่ยอง!” ใบหน้าน่ารักชักสีหน้าใส่พี่ชายของนางอย่างเอือมระอา วันๆ มิคิดจะทำสิ่งใด เดินผ่านไปก็บีบ เดินผ่านมาก็บีบ!“คุณชายรอง อย่าได้กลั่นแกล้งคุณหนูนักเลยเจ้าค่ะ” แม่นมลี่ที่นั่งเล่นเป็นเพื่อนคุณหนูของนางอดเอ่ยห้ามปรามออกมาไม่ได้“โถ่ ก็แก้มน้องข้าน่าบีบถึงเพียงนี้ จะให้ข้าอดใจไหวได้อย่างไร ข้าไปหล่ะ ขอไปคัดอักษรก่อนหากวันนี้ไม่แล้วเสร็จ ท่านพ่อจะโมโหจนหน้าดำหน้าแดงอีก ฮ่าๆ” ว่าแล้วหมิงยู่ก็หยิบโฉยเอาขนมของเยว่ชิงเข้าปากแล้วเดินเข้าห้องของตนเองไปเยว่ชิงได้แต่ส่ายหัวให้กับท่าทีของพี่ชาย บัดนี้พี่ใหญ่อายุได้สิบหนาว พี่รองอายุแปดหนาว พี่สามอายุหกหนาว และนางอายุได้สามหนาว ซึ่งเป็นวัยเดียวกับที่นางรบเร้าขอเลี้ยงกระต่าย ดังนั้นแล้ววันนี้นางคงจะต้องขอให้ท่านพ่อหาสัตว์เลี้ยงให้นางสักตัวเสียแล้ว ตอนแรกนางนั่งคิดนอนคิดอ