วานนี้หัวหน้ามอบหมายให้เธอไปส่งเอกสารให้กับลูกค้า กว่าจะเดินทางมาถึงบริษัทก็ล่วงเลยเวลาเข้างานไปพอสมควร ทว่ายังไม่ทันถึงแผนกเสียงใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังเธอ
“มาแล้วเหรอนังตัวดี” พอหันไปมองก็เห็นภรรยาของเจ้าของบริษัทยืนอยู่
พนักงานในบริษัทมองอัจจิมาด้วยสายตาเดียวกัน และเหมือนว่าเพื่อนร่วมงานอยากบอกอะไรแต่ก็ไม่กล้าพูด
“คุณปานวาดคุยกับดิฉันเหรอคะ”
“ฉันจะคุยกับใครได้ถ้าไม่ใช่แมวขโมยกินของคนอื่นอย่างเธอ”
“คุณปานวาดพูดเรื่องอะไรคะดิฉันไม่เข้าใจ” อัจจิมาไม่เข้าใจว่าภรรยาของเจ้านายเธอพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าคนหน้าด้านอย่างเธอถ้าไม่มีหลักฐานก็คงจะไม่ยอมรับ งั้นก็เอานี่ไปดู” อัจจิมาก้มหยิบรูปถ่ายที่เพิ่งจะถูกอีกฝ่ายปามาใส่ ดวงตาเรียวรีเบิกกว้าง เมื่อคนในภาพเห็นใบหน้าชัดเจนว่าเป็นเธอกับปกรณ์ที่กำลังเดินเคียงข้างเข้าไปในโรงแรมด้วยกัน
แต่ทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนกำลังเข้าใจ
“คุณปานวาดกำลังเข้าใจฉันผิดนะคะ” เธอพยายามจะอธิบายแต่คนซึ่งถูกความหึงหวงโกรธจนเลือดขึ้นหน้าไม่คิดจะฟังคำแก้ตัวของเธอ
“หลักฐานชัดขนาดนี้ยังจะมีหน้ามาแก้ตัวอีก เธอคงอยากได้ผัวคนอื่นมากสินะ” กำลังจะแก้ต่างให้ตัวเองแต่ในตอนนนั้นหนุ่มใหญ่เจ้านายของเธอก็เดินทางมาถึงบริษัท มาได้จังหวะพอดี ดวงตาคู่สวยเข้มขึ้นอย่างมีความหวัง การเข้าใจผิดนี้จะต้องได้รับการแก้ไข
“คุณปกรณ์คะ ช่วยบอกคุณปานวาดทีสิคะว่าเราสองคนไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันนอกจากเจ้านายกับลูกน้อง” จากสถานการณ์ไม่มีเวลาให้เธอมานั่งอธิบายจึงพูดโดยรวบรัด ทว่าเจ้านายของเธอกลับแสดงสีหน้าลำบากใจออกมาจนอัจจิมาเริ่มใจเสีย
“สามีฉันจะปกป้องอะไรเธอได้” ปานวาดรู้จักนิสัยสามีตัวเองดี อย่างไรสามีก็ต้องเลือกเธอแทนที่จะเป็น พวกเมียน้อย ยิ่งอัจจิมาเป็นแค่พนักงานตำแหน่งเล็ก ๆ ในบริษัทมีหรือจะเทียบตนเองได้
“คุณปกรณ์คะช่วยพูดอะไรหน่อยสิคะ” เธอมองหนุ่มใหญ่ด้วยสายตาผิดหวัง หัวใจไหววูบสมองหนักอึ้งทั้งที่คิดว่าอีกฝ่ายจะช่วยแก้ข้อกล่าวหาให้เธอได้ แต่ทำไมเจ้านายคนดีถึงไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ
“ไหนๆ ภรรยาผมก็รู้เรื่องแล้ว ผมว่าเรายอมรับไปดีกว่า” แม้ในใจจะรู้สึกผิดต่อพนักงานดี ๆ อย่างอัจจิมา แต่ปกรณ์ก็จำเป็นต้องให้เธอเป็นแพะรับบาป ไม่อย่างนั้นภรรยาเขาจะต้องสืบไปจนรู้ว่าใครคือเมียน้อยตัวจริง มีหวังเขาได้จบเห่แน่
“หมายความว่าไงคะ” แทบไม่อยากเชื่อว่าเจ้านายเธอจะพูดคำนี้ออกมาได้ เธอมาเคยคิดอะไรเกินเลยกับเจ้านายตัวเองและยิ่งไม่มีทางจะยุ่งกับคนที่มีครอบครัวแล้ว
“ก็หมายความว่าสามีฉันก็ไม่เอาเธอไง” คนที่คิดว่านั่งตำแหน่ง ‘เมียหลวง’ ปาซองสีขาวใส่หน้าเธอ เพื่อนร่วมงานทุกคนอยากเข้ามาอัจจิมาเพราะรู้ว่าเธอไม่มีทางไปเป็นเมียน้อยใคร แต่ขืนทำตัวเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีก็กลัวว่าจะโดนหางเลขไปด้วย สุดท้ายทุกคนเลยได้แต่ยืนมองเธอถูกกระทำ
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเธอไม่ใช่พนักงานของที่นี่ ฉันไล่เธอออก!” ดวงหน้าทั้งสองข้างชายิ่งกว่าถูกฝ่ามือตบลงมาอย่างจัง
เธอไม่ได้ทำอะไรผิด เธอไม่ได้เป็นเมียน้อยของใคร ทำไมเธอต้องถูกไล่ออกด้วย
เสี้ยวความคิดหนึ่งอัจจิมาอยากแก้ต่างให้ตัวเองพ้นคำครหาแต่คำพูดของพนักงานตัวเล็ก ๆ อย่างเธอจะมีน้ำหนักอะไร ในเมื่อขนาดเจ้านายที่เธอสู้อุตส่าทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานให้ชนิดเกินเงินเดือน ยังไม่คิดจะช่วยเธอพูดสักคำ
สองมือกอบกำเข้าหากันแน่นมองเจ้านายหนุ่มใหญ่ด้วยสีหน้าผิดหวัง ต่อว่าและเจ็บใจ ก่อนจะเดินผ่านเพื่อนร่วมงานทุกคนไปที่โต๊ะอดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมาขณะจัดการเก็บข้าวตัวเองลงกล่อง
“จี๊ดไปก่อนนะคะ” เธอหันไปพูดกับเพื่อนร่วมงานที่ได้แต่มองเธอด้วยความเห็นใจ หญิงสาวเดินออกไปจากประตูด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีทั้งหมดที่มีอยู่ สัญญาว่าเธอจะไม่กลับมาเหยียบบริษัทเฮงซวยนี่อีกเด็ดขาด
ไม่ว่าอดีตเจ้านายของเธอจะมีเหตุผลอะไร เขาก็ไม่ควรเอาอนาคตและชีวิตของเธอปกป้องตัวเอง
ดีไม่ดี อาจจะมาเพื่อประกาศตัดลูกชายออกจากกองมรดกต่อหน้าทุกคนความเงียบเข้าปกคลุมในงาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด แม้แต่เสียงเพลงรักหวานซึ้งของนักร้องชื่อดังยังต้องหยุดเอาไว้เมื่อพ่อกับลูกเผชิญหน้ากันพิธารู้ว่าในใจของอัจจิมาตอนนี้รู้สึกอย่างไร กับการที่พ่อของเขามางานทั้งที่ไม่ยอมรับเธอเป็นสะใภ้ของวงศ์ตระกูล เขาจึงเอื้อมมือไปกุมมือเธอ สายตาสื่อความหมายลึกซึ้งต่อให้จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เขาก็จะแต่งงานกับเธอและจะไม่ยอมปล่อยมือนี้ไปเด็ดขาดให้ความมั่นใจกับเธอแล้วเขาก็หันไปเผชิญหน้ากับคุณนิพนธ์อีกครั้งผู้ใหญ่ในงานคนหนึ่งซึ่งสนิทกับคุณนิพนธ์พอสมควรตัดสินใจลุกออกจากโต๊ะเพื่อจะเข้าไปช่วยพูดไม่ให้คนเป็นพ่อทำเสียฤกษ์หรือพูดอะไรที่จะเป็นการหักหาญน้ำใจเจ้าบ่าวเจ้าสาวผู้ใหญ่คนดังกล่าวไม่ทันจะได้พูดอะไร อดีตนายแพทย์นิพนธ์ก็ยกมือขึ้นห้าม สายตามองไปยังเวที บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันใด“แกแต่งงานแต่ไม่คิดจะเชิญฉัน ยังเห็นฉันเป็นพ่ออยู่ไหม” แม้จะฟังดูเป็นการต่อว่าต่อขาน หากแต่ทุกคนก็มองออกว่าคุณนิพนธ์ไม่ได้จะมาพังงานแต่งลูกชายอย่างที่พากันกังวล หรือกระทำการใดที่บ่งบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการแต่งงา
ในที่สุดความอดทนในการเฝ้ารอให้ถึงวันที่เขาจะได้แต่งงานกับอัจจิมาก็จบลง เมื่อฤกษ์มงคลที่ประสิทธิ์ได้มาจากหลวงพ่อวัดดังย่านหนึ่งแล้วก็ขอให้เขารอมาอีกสามเดือน ในที่สุดก็ถึงวันนี้แล้วขณะที่แขกเหรื่อกำลังทยอยกันมาร่วมงาน บ่าวสาวยังอยู่บนห้องรับรอง อัจจิมาที่ตื่นแต่เช้ามืดถูกช่างแต่งหน้าชื่อดังทั้งหมดสามคนรุมแปลงโฉมเป็นเจ้าสาว ด้านเจ้าบ่าวแต่งตัวอยู่อีกห้องหนึ่งชายหนุ่มในชุดสูทสีขาวเรียบหรูยืนรออยู่หน้ากระจกบานใหญ่เกือบเท่าความสูงของชายหนุ่ม สายตาคมปลาบมองสำรวจตัวเองทุกกระเบียดนิ้ว จัดเนกไทเส้นแพงหลายครั้ง ไม่ยอมให้มีจุดไหนบกพร่องเล็ดลอดสายตา เมื่อวันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา“มึงจะดูอะไรนักหนาวะ” เห็นเพื่อนพิถีพิถันกับการแต่งตัวแล้วเคืองลูกกะตาหมอธนาจึงแซวขึ้น พลอยให้ช่างแต่งหน้าสาวสวยมองแล้วยิ้มตาม“มึงไม่เคยแต่งงานมึงไม่รู้หรอก” อยากอ้าปากเถียงให้หายหมั่นไส้ในความขี้อวด แต่หนุ่มมาดเจ้าชู้ก็ดันเถียงไม่ออก เจ้าบ่าวสายเห่อเดินไปหย่อนกายลงบนโซฟาอย่างคนอารมณ์ดี หลังจากตรวจทานความเรียบร้อยของตัวเองจนพอใจแล้ว“เชิญมึงแต่งไปคนเดียวเหอะ ส่วนกูขออยู่เป็นโสดแบบนี้ดีกว่า” คนนั่งไขว่ห้างกร
“เร็วสิ ภิมน้อยมันอยากให้คุณสัมผัสจะแย่แล้ว” ช้อนตามองบอกเสียงนุ่มปนแหบพร่าเมื่อเห็นคนตัวเล็กเอาแต่แกล้งให้เขาทรมาน“แบบนี้ไม่น้อยแล้วค่ะ” อัจจิมาพูดเย้าหยอกหากก็เป็นความจริง ก่อนจะหลุบตาลงมองแผ่นท้องเครียดครัดด้วยมัดกล้ามของคุณหมอเห็นไรขนสีเข้มประปรายเลื้อยต่ำลงไปในขอบกางเกง แล้วจัดการถอดหัวเข็มขัดเส้นแพงออก นิ้วเนียนนุ่มเลื่อนลงไปปลดตะขอทันทีกางเกงเนื้อดีเลื่อนลงจากสะโพกเพรียวตามด้วยบ็อกเซอร์ตัวเล็ก เผยให้เห็นลำเอ็นอวบใหญ่ที่เริ่มจะแข็งขึงขึ้นมาจนน่ากลัวแม้จะยังขยายขนาดไม่เต็มที่เธอลูบไล้เนื้อตัวของเขาโดยปราศจากความเหนียมอาย มือเล็กนุ่มเคลื่อนต่ำลงไปจนถึงกึ่งกลางกาย คว้าจับท่อนเนื้อแข็งร้อนเอาไว้แล้วรูดรึงลำเอ็นขึ้นลงจนมันโป่งพองขยายขนาด รู้สึกได้ถึงเส้นเลือดขรุขระที่ปูดโปนบนลำยาวเขากดไหล่เธอให้นั่งลงบนขอบอ่างด้านหลังโดยที่เขายังอยู่ในท่ายืน มือข้างหนึ่งกุมมือเธอรอบท่อนเนื้ออวบใหญ่ของตนเอง อีกข้างรวบกำเส้นผมยาวสลวย ตรึงเธอไว้ให้มั่น ก่อนที่มือข้างหนึ่งนั้นจะเคลื่อนต่ำลงไปหาจุดอ่อนไหวของเธอนิ้วเรียวยาวเสียดสีกับยอดเกสร ส่งกระแสซาบซ่านไปทั่วร่างกาย หญิงสาวรู้สึกถึงความฉ่ำชื้นที่ซ
หลังจากผลการตรวจแน่ชัดว่าอัจจิมาตั้งครรภ์ พิธาก็ขออนุญาตประสิทธิ์ให้เธอมาอยู่ที่เพ้นท์เฮาส์ในช่วงนี้เพื่อที่เขาจะได้สะดวกในการดูแลเธอเริ่มต้นเดือนแห่งความรักท้องฟ้าแจ่มใสตลอดทั้งวัน อัจจิมาลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นเพราะได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งเธอก็หันไปมองข้างกาย กลับพบแต่ร่องรอยที่บ่งบอกว่าเมื่อคืนนี้มีคนนอนอยู่ด้วยอัจจิมาลุกขึ้นจากเตียงหนานุ่ม เปิดประตูออกไปจากห้อง พลันได้กลิ่นหอมลอยเข้าจมูก ชวนให้คนเพิ่งตื่นนอนรู้สึกหิวขึ้นมาทันที และเมื่อเดินเข้าไปใกล้กับส่วนของเคาน์เตอร์ เธอก็เห็นใครบางคนกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมมื้อเช้าพิธาอยู่ในชุดไปรเวทสบาย ๆ หากก็ยังดูดี เขาผูกกันเปื้อนสีน้ำตาลเข้ม ท่าทางดูคล่องแคล่ว เห็นแล้วอัจจิมาก็อดยิ้มไม่ได้กับภาพตรงหน้าเธอไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งเธอจะมีคนตื่นมาทำกับข้าวให้ทาน แถมเขายังตื่นนอนก่อนเธอทุกวันแม้ว่าจะเลิกงานกลับมาดึกดื่น และพิธาก็ปฏิบัติกับเธอแบบนี้ตั้งแต่วันที่สารภาพความรู้สึกอัจจิมาค่อย ๆ ย่องเข้าไปด้านหลังของชายหนุ่ม สวมกอดเขาไว้เพียงหลวม ๆ แหงนหน้าขึ้นไปถามคนตัวสูง “ทำอะไรกินคะ หอมจัง”“ข้าวต้มหมู คุณหิ
สองเดือนต่อมาอัจจิมาไม่ได้ไปทำงานเพราะเธอรู้สึกไม่ค่อยสบาย เมื่อวานที่บริษัทก็หน้ามืดไปครั้งหนึ่ง วันนี้เจ้านายเลยอนุญาตให้เธอหยุดพักผ่อนอยู่บ้าน“ไปหาหมอหน่อยไหม จะได้รู้ว่าเป็นอะไร” ประสิทธิ์เห็นลูกไม่ได้ไปทำงานก็อดเป็นห่วงไม่ได้“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูซื้อยามากินแล้ว นอนพักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น” เจ้าของใบหน้าอ่อนเพลียเอ่ยตอบผู้เป็นพ่อก่อนจะนั่งลงทานข้าวต้มร้อน ๆ ที่ประสิทธิ์เพิ่งจะยกออกมาให้“คงไม่ใช่ว่าท้องหรอกนะ” เพ็ญพักตร์พูดขึ้นลอย ๆ แต่มันก็ทำให้เธอฉุกคิด…ช่วงนี้ที่บริษัทงานยุ่ง บางวันอัจจิมาถึงกับต้องเอางานกลับมาทำต่อที่บ้าน เธอจึงลืมไปเสียสนิทว่าเดือนนี้ประจำเดือนยังไม่มา แต่นอกจากอาการหน้ามืดซึ่งเธอคิดว่าเป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอก็ไม่มีอาการอื่นประสิทธิ์มองหน้าหญิงสาว จะว่าไปแล้วสมัยที่บังอรตั้งท้องเธอก็หน้ามืดแบบนี้“ไปโรง’บาลเถอะ เป็นอะไรจะได้รู้”“ไปก็ไปค่ะ แต่วันหลังนะคะ วันนี้หนูไปไม่ไหว”“แล้วทำไมไม่ให้คุณหมอมารับล่ะ” สองสัปดาห์ให้หลังมานี้อัจจิมากลับมานอนที่บ้านทุกวัน อีกทั้งยังไม่เห็นพิธาขับรถมาส่งลูกเหมือนช่วงแรก ๆ ประสิทธิ์จึงถามไถ่ถึงว่าที่ลูกเขย“ช่วงนี้เขางานยุ
ร่างบางในชุดนอนตัวโคร่งขดอยู่ใต้ผ้าห่มกำลังหลับสนิท ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีคนเข้ามาในห้องกลางดึก ผ้าห่มหนานุ่มถูกดึงเลื่อนลงจากตัวทีละน้อยหญิงสาวขดตัวเข้าหันกันเมื่อผิวเนื้อปะทะกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ฝ่ามือเรียวยาวของชายหนุ่มกุมเท้านุ่มนิ่มข้างหนึ่งของเธอเอาไว้ลูบคลำขึ้นมาถึงปลีน่องนวลเนียน ปลายนิ้วลูบโลมสูงขึ้นไปจนถึงด้านในขาอ่อนใต้ร่มผ้า ลากไล้เนินเนื้อที่กึ่งกลางกายสาวผ่านชุดนอน ‘ไม่ได้นอน’ สุดวาบหวิวที่อัจจิมาเพิ่งจะถอยมาวันนี้ทว่าการเคลื่อนไหวนั้นก็ต้องหยุดลงเมื่อคนหลับตาอยู่ส่งเสียงงึมงำออกมา “อื้ออ”“ไหนว่าจะรอผมไง” เสียงทุ้มดังขึ้นที่ริมหู อัจจิมาลืมตาขึ้นในความมืดสลัว มองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดนัก หากก็รู้ว่าเจ้าของมือซุกซนคือเจ้าของหัวใจและร่างกายของเธอ“กี่โมงแล้วคะ”“ตีหนึ่ง” เขากระซิบข้างหูพลางรู้สึกผิดขึ้นมาที่บอกให้เธอรอแต่ตัวเองดันกลับดึกเพราะมีเคสผ่าตัดเร่งด่วนเข้ามา แถมการผ่าตัดใหญ่ยังลากยาวกว่ากำหนด ขนาดว่าเขารีบบึ่งรถกลับมาแล้วอัจจิมายันตัวลุกขึ้นนั่ง พิธาโน้มศีรษะซุกหน้าลงกับเรือนผมสีน้ำตาลประกายทอง กลิ่นโรงพยาบาลคละเคล้ากับกลิ่นโคโลญจน์จากตัวชายหนุ่ม เธ