ต่อให้เธอจะทำตัวเข้มแข็งยังไง แต่เมื่อหันหลังออกมาน้ำตาก็ไหลรื้นเป็นทางอย่างห้ามไม่ได้ อัจจิมาอยากจะร้องไห้โฮให้กับความโง่งมของตัวเอง แต่ผู้ชายเลว ๆ พรรค์นั้นไม่มีค่าพอให้เธอเสียน้ำตาให้
หลังมือเล็กปาดคราบน้ำตาออกอย่างลวก ๆ เพราะเธอไม่มีเวลาให้มานั่งฟูมฟาย จัดการเติมหน้าทาปากปกปิดความเรียบร้อยก็พร้อมจะกลับไปทำงาน แต่ไปถึงเธอก็พบว่าอรรถนพลูกค้าหนุ่มกลับไปแล้ว
ปกติเธอคงจะรู้สึกโล่งใจเหมือนได้ทำงานลุล่วงไปแล้วครึ่งทาง ทว่าหัวใจมันกลับหนักอึ้งราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่กดทับอยู่ อัจจิมาพยายามจะไม่คิดถึงเรื่องของนิรุท พยายามจะไม่คิดถึงความรักเฮงซวยที่ตายจากไปแล้ว แต่มองไปทางไหนก็เจอแต่คำว่าเสียใจเต็มไปหมด
“วันนี้เป็นอะไรรึเปล่าดูสีหน้าไม่ค่อยดี” รุ้งรวีสังเกตเห็นความผิดปกติจากใบหน้าของลูกน้อง แต่เธอไม่ได้ตอบคำถาม หันไปสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์หนุ่ม
“เอาแรงๆ มาแก้วนึงพี่วันนี้จี๊ดจะเมา”
“นึกยังไงถึงอยากดื่ม แล้วไม่ต้องรีบกลับเหรอ พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานไม่ใช่เหรอ” แค่ที่ลูกค้าให้ดื่มเป็นเพื่อนเธอก็แทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว อีกอย่าง…รุ้งรวีก็ไม่เคยเห็นเธอจะมานั่งดื่มแบบนี้
“ถูกไล่ออกแล้วน่ะค่ะ” ยิ้มให้กับชีวิตอันบัดซบ จู่ ๆ ก็กลายเป็นเมียน้อยชาวบ้านจนถูกไล่ออกจากงานไม่พอ
วันเดียวกันนั้น เธอยังถูกแฟนที่คบกันมานานบอกเลิกกลางอากาศ จะมีชีวิตใครเฮงซวยได้เท่าเธออีกไหม
“อะไรนะ! ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้น” รุ้งรวีถามด้วยสีหน้าตกใจอัจจิมาเป็นคนตั้งใจทำงาน ไม่เคยขาด ลา มาสาย ป่วยก็ยังฝืนร่างกายไปจนได้
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ก็แค่เมียเจ้าของบริษัทเข้าใจว่าจี๊ดเป็นเมียน้อยของผัวเขา แล้วเจ้านายจี๊ดก็ดันยอมรับอีก” เครื่องดื่มรสชาติดีถูกกระดกลงคอในรวดเดียว รอยยิ้มเย้ยหยันซ่อนไว้ด้วยความเศร้าปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว
บาร์เทนเดอร์ของที่นี่ไว้ใจได้ เพียงแก้วเดียวเธอก็รู้สึกได้ถึงฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ไม่กี่แก้วเธอคงได้เมาหนักสมใจ แม้ว่าเหล้าจะไม่ได้ช่วยเยียวยาบาดแผลในใจ แต่อย่างน้อย…มันก็ทำให้เธอมีช่วงเวลาลืมเรื่องราวบัดซบในชีวิต
“ทุเรศ ล่ามโซ่ผัวตัวเองไม่ดีแล้วมาโทษคนอื่น ส่วนผู้ชายก็ทุเรศพอกันหน้าตัวเมียชัดๆ” รุ้งรวีเชื่อว่าอัจจิมาไม่มีทางเป็นบ้านเล็กบ้านน้อยของใคร
“ว่าแต่แฟนจะกลับจากสัมมนาเมื่อไหร่ รู้เรื่องนี้รึยัง” ไม่อยากทำให้อัจจิมารู้สึกแย่กับเจ้านายแบบนั้นรุ้งรวีจึงหาเรื่องคุย แต่มันกลับยิ่งทำให้เธอรู้สึกจุกอยู่ในทั้งอก ที่คิดว่าเพียงพอแล้วกับการเสียน้ำตาให้กับผู้ชายเลว ๆ คนหนึ่งกลับไหลรินออกมาเป็นทาง
“เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” รุ้งรวีถามหญิงสาวที่ก้มซบอยู่กับไหล่ของตัวเอง รู้จักกันมานานยังไม่เคยเห็นอัจจิมาร้องไห้มาก่อน
“เขาไม่ได้มีจี๊ดคนเดียว ที่สำคัญเขากำลังจะแต่งงานแล้วค่ะ” เสียงสะอื้นราวกับคนจะขาดใจทำให้รุ้งรวีเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสาเหตุที่อัจจิมาต้องมานั่งเสียใจแบบนี้
“หมอรุทน่ะเหรอ” รุ้งรวีแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ชายหนุ่มโปรไฟล์ดี มีดีกรีเป็นหมอทำงานในโรงพยาบาลใหญ่โต ภายนอกสุภาพอ่อนโยนไม่มีแววเจ้าชู้ ใครจะรู้ว่าทั้งหมดเป็นแค่เปลือกนอก
น้ำตาที่ยังไม่หยุดไหลให้คำตอบแก่รุ้งรวีได้เป็นอย่างดี
“โธ่…จี๊ดทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้” ในฐานะคนหวังดีคงมีแค่ความห่วงใยที่รุ้งรวีจะให้เธอได้ในตอนนี้
“เอาแรงๆ มาแก้วนึง” ผู้จัดการสาวสวยหันไปสั่งบาร์เทนเดอร์ประจำไนต์คลับอีกคน ถ้าอัจจิมาอยากเมาเธอก็จะขันอาสาดื่มเป็นเพื่อนเอง
อัจจิมาดื่มไปพอสมควรโดยมีรุ้งรวีนั่งเป็นเพื่อน แต่ยังไม่ทันที่ความเศร้าจะจางหายไปรุ้งรวีก็ต้องไปทำงานที่คั่งค้างอยู่ ระหว่างนี้เลยบอกให้อัจจิมานั่งดื่มคนเดียวไปพลาง ๆ
ทันใดที่ผู้จัดการสาวลุกออกไปก็มีใครคนหนึ่งเข้ามานั่งแทนที่ทว่าคนที่เพิ่งถูกความรักหักหลังก็ไม่ได้หันสายตามองผู้มาใหม่
“แมน ฮัตตั้นที่นึง” ไม่นานเครื่องดื่มสุดคลาสสิคก็ถูกนำมาเสิร์ฟ สายตาคมปลาบจับจ้องอยู่ที่แก้วทรงสวยก่อนจะลิ้มรสชาติของมัน
แม้ตอนนี้จะเป็นช่วงเวลาที่เหล่านักท่องราตรี กำลังดื่มด่ำกับดนตรีจังหวะหนักหน่วง แต่ ‘ฟาวเวอร์ ไนต์คลับ’ แห่งนี้ก็จัดโซนบาร์แยกออกมาอย่างเป็นสัดส่วน ป้องกันเสียงดังได้ในระดับหนึ่ง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการให้เสียงเพลงคลอเบา ๆ
“ผู้หญิงที่มานั่งดื่มคนเดียวส่วนมากมักจะอกหักไม่ก็ถูกผู้ชายทิ้งมา จริงหรือเปล่าครับ” เขาพูดขึ้นมาลอย ๆ หรือตั้งใจจะล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของเธอกันแน่ อัจจิมาไม่ได้อยากจะสนใจ ในเวลาแบบนี้เธอไม่ต้องการจะเสวนากับใคร โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า
“สงสัยจะจริง”
ทว่าประโยคถัดมาก็ดึงความสนใจให้อัจจิมาหันไปมองผู้มาใหม่ จากความสามารถในการมองของเธอตอนนี้ อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีระดับหนึ่ง
ไม่สิ เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมากต่างหาก แถมยังดูมีรสนิยม
แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมานั่งพิจารณาใคร อีกอย่างพวกผู้ชายก็เหมือนกันทุกคน
“ถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่าสองร้อยมิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ คนเราจะเกิดอาการสับสนขึ้นมาทันที ถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่าสามร้อยมิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์จะมีอาการง่วง งงและซึม แต่ถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่าสี่ร้อยมิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เมื่อไหร่จะสลบและอาจถึงตายได้เลย” แม้จะไม่ได้สนใจฟังแต่เธอก็ได้ยินทุกคำ หากแต่เธอก็ไม่ได้อยากทำความรู้จัก ผู้ชายท่าทางดูดี วาจาคมคายเป็นต่อ เข้าหาผู้หญิงเก่ง ส่วนมากก็เป็นพวกเจ้าชู้หน้าหม้อทั้งนั้น
“ขอโทษนะคะ ฉันอยากนั่งคนเดียว” ตั้งใจเน้นประโยคหลัง หวังให้อีกฝ่ายเข้าใจง่าย ๆ
“คุณไม่ได้ซื้อตรงนี้ไว้ไม่ใช่เหรอ” แม้จะอยู่ในอาการมึนศีรษะแต่อัจจิมาก็มีสติพอรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะกวนประสาทเธอ ก่อนจะหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์ เหมือนประโยคที่เธอเพิ่งพูดได้เข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาเรียบร้อย
ดีไม่ดี อาจจะมาเพื่อประกาศตัดลูกชายออกจากกองมรดกต่อหน้าทุกคนความเงียบเข้าปกคลุมในงาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด แม้แต่เสียงเพลงรักหวานซึ้งของนักร้องชื่อดังยังต้องหยุดเอาไว้เมื่อพ่อกับลูกเผชิญหน้ากันพิธารู้ว่าในใจของอัจจิมาตอนนี้รู้สึกอย่างไร กับการที่พ่อของเขามางานทั้งที่ไม่ยอมรับเธอเป็นสะใภ้ของวงศ์ตระกูล เขาจึงเอื้อมมือไปกุมมือเธอ สายตาสื่อความหมายลึกซึ้งต่อให้จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เขาก็จะแต่งงานกับเธอและจะไม่ยอมปล่อยมือนี้ไปเด็ดขาดให้ความมั่นใจกับเธอแล้วเขาก็หันไปเผชิญหน้ากับคุณนิพนธ์อีกครั้งผู้ใหญ่ในงานคนหนึ่งซึ่งสนิทกับคุณนิพนธ์พอสมควรตัดสินใจลุกออกจากโต๊ะเพื่อจะเข้าไปช่วยพูดไม่ให้คนเป็นพ่อทำเสียฤกษ์หรือพูดอะไรที่จะเป็นการหักหาญน้ำใจเจ้าบ่าวเจ้าสาวผู้ใหญ่คนดังกล่าวไม่ทันจะได้พูดอะไร อดีตนายแพทย์นิพนธ์ก็ยกมือขึ้นห้าม สายตามองไปยังเวที บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันใด“แกแต่งงานแต่ไม่คิดจะเชิญฉัน ยังเห็นฉันเป็นพ่ออยู่ไหม” แม้จะฟังดูเป็นการต่อว่าต่อขาน หากแต่ทุกคนก็มองออกว่าคุณนิพนธ์ไม่ได้จะมาพังงานแต่งลูกชายอย่างที่พากันกังวล หรือกระทำการใดที่บ่งบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการแต่งงา
ในที่สุดความอดทนในการเฝ้ารอให้ถึงวันที่เขาจะได้แต่งงานกับอัจจิมาก็จบลง เมื่อฤกษ์มงคลที่ประสิทธิ์ได้มาจากหลวงพ่อวัดดังย่านหนึ่งแล้วก็ขอให้เขารอมาอีกสามเดือน ในที่สุดก็ถึงวันนี้แล้วขณะที่แขกเหรื่อกำลังทยอยกันมาร่วมงาน บ่าวสาวยังอยู่บนห้องรับรอง อัจจิมาที่ตื่นแต่เช้ามืดถูกช่างแต่งหน้าชื่อดังทั้งหมดสามคนรุมแปลงโฉมเป็นเจ้าสาว ด้านเจ้าบ่าวแต่งตัวอยู่อีกห้องหนึ่งชายหนุ่มในชุดสูทสีขาวเรียบหรูยืนรออยู่หน้ากระจกบานใหญ่เกือบเท่าความสูงของชายหนุ่ม สายตาคมปลาบมองสำรวจตัวเองทุกกระเบียดนิ้ว จัดเนกไทเส้นแพงหลายครั้ง ไม่ยอมให้มีจุดไหนบกพร่องเล็ดลอดสายตา เมื่อวันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา“มึงจะดูอะไรนักหนาวะ” เห็นเพื่อนพิถีพิถันกับการแต่งตัวแล้วเคืองลูกกะตาหมอธนาจึงแซวขึ้น พลอยให้ช่างแต่งหน้าสาวสวยมองแล้วยิ้มตาม“มึงไม่เคยแต่งงานมึงไม่รู้หรอก” อยากอ้าปากเถียงให้หายหมั่นไส้ในความขี้อวด แต่หนุ่มมาดเจ้าชู้ก็ดันเถียงไม่ออก เจ้าบ่าวสายเห่อเดินไปหย่อนกายลงบนโซฟาอย่างคนอารมณ์ดี หลังจากตรวจทานความเรียบร้อยของตัวเองจนพอใจแล้ว“เชิญมึงแต่งไปคนเดียวเหอะ ส่วนกูขออยู่เป็นโสดแบบนี้ดีกว่า” คนนั่งไขว่ห้างกร
“เร็วสิ ภิมน้อยมันอยากให้คุณสัมผัสจะแย่แล้ว” ช้อนตามองบอกเสียงนุ่มปนแหบพร่าเมื่อเห็นคนตัวเล็กเอาแต่แกล้งให้เขาทรมาน“แบบนี้ไม่น้อยแล้วค่ะ” อัจจิมาพูดเย้าหยอกหากก็เป็นความจริง ก่อนจะหลุบตาลงมองแผ่นท้องเครียดครัดด้วยมัดกล้ามของคุณหมอเห็นไรขนสีเข้มประปรายเลื้อยต่ำลงไปในขอบกางเกง แล้วจัดการถอดหัวเข็มขัดเส้นแพงออก นิ้วเนียนนุ่มเลื่อนลงไปปลดตะขอทันทีกางเกงเนื้อดีเลื่อนลงจากสะโพกเพรียวตามด้วยบ็อกเซอร์ตัวเล็ก เผยให้เห็นลำเอ็นอวบใหญ่ที่เริ่มจะแข็งขึงขึ้นมาจนน่ากลัวแม้จะยังขยายขนาดไม่เต็มที่เธอลูบไล้เนื้อตัวของเขาโดยปราศจากความเหนียมอาย มือเล็กนุ่มเคลื่อนต่ำลงไปจนถึงกึ่งกลางกาย คว้าจับท่อนเนื้อแข็งร้อนเอาไว้แล้วรูดรึงลำเอ็นขึ้นลงจนมันโป่งพองขยายขนาด รู้สึกได้ถึงเส้นเลือดขรุขระที่ปูดโปนบนลำยาวเขากดไหล่เธอให้นั่งลงบนขอบอ่างด้านหลังโดยที่เขายังอยู่ในท่ายืน มือข้างหนึ่งกุมมือเธอรอบท่อนเนื้ออวบใหญ่ของตนเอง อีกข้างรวบกำเส้นผมยาวสลวย ตรึงเธอไว้ให้มั่น ก่อนที่มือข้างหนึ่งนั้นจะเคลื่อนต่ำลงไปหาจุดอ่อนไหวของเธอนิ้วเรียวยาวเสียดสีกับยอดเกสร ส่งกระแสซาบซ่านไปทั่วร่างกาย หญิงสาวรู้สึกถึงความฉ่ำชื้นที่ซ
หลังจากผลการตรวจแน่ชัดว่าอัจจิมาตั้งครรภ์ พิธาก็ขออนุญาตประสิทธิ์ให้เธอมาอยู่ที่เพ้นท์เฮาส์ในช่วงนี้เพื่อที่เขาจะได้สะดวกในการดูแลเธอเริ่มต้นเดือนแห่งความรักท้องฟ้าแจ่มใสตลอดทั้งวัน อัจจิมาลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นเพราะได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งเธอก็หันไปมองข้างกาย กลับพบแต่ร่องรอยที่บ่งบอกว่าเมื่อคืนนี้มีคนนอนอยู่ด้วยอัจจิมาลุกขึ้นจากเตียงหนานุ่ม เปิดประตูออกไปจากห้อง พลันได้กลิ่นหอมลอยเข้าจมูก ชวนให้คนเพิ่งตื่นนอนรู้สึกหิวขึ้นมาทันที และเมื่อเดินเข้าไปใกล้กับส่วนของเคาน์เตอร์ เธอก็เห็นใครบางคนกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมมื้อเช้าพิธาอยู่ในชุดไปรเวทสบาย ๆ หากก็ยังดูดี เขาผูกกันเปื้อนสีน้ำตาลเข้ม ท่าทางดูคล่องแคล่ว เห็นแล้วอัจจิมาก็อดยิ้มไม่ได้กับภาพตรงหน้าเธอไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งเธอจะมีคนตื่นมาทำกับข้าวให้ทาน แถมเขายังตื่นนอนก่อนเธอทุกวันแม้ว่าจะเลิกงานกลับมาดึกดื่น และพิธาก็ปฏิบัติกับเธอแบบนี้ตั้งแต่วันที่สารภาพความรู้สึกอัจจิมาค่อย ๆ ย่องเข้าไปด้านหลังของชายหนุ่ม สวมกอดเขาไว้เพียงหลวม ๆ แหงนหน้าขึ้นไปถามคนตัวสูง “ทำอะไรกินคะ หอมจัง”“ข้าวต้มหมู คุณหิ
สองเดือนต่อมาอัจจิมาไม่ได้ไปทำงานเพราะเธอรู้สึกไม่ค่อยสบาย เมื่อวานที่บริษัทก็หน้ามืดไปครั้งหนึ่ง วันนี้เจ้านายเลยอนุญาตให้เธอหยุดพักผ่อนอยู่บ้าน“ไปหาหมอหน่อยไหม จะได้รู้ว่าเป็นอะไร” ประสิทธิ์เห็นลูกไม่ได้ไปทำงานก็อดเป็นห่วงไม่ได้“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูซื้อยามากินแล้ว นอนพักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น” เจ้าของใบหน้าอ่อนเพลียเอ่ยตอบผู้เป็นพ่อก่อนจะนั่งลงทานข้าวต้มร้อน ๆ ที่ประสิทธิ์เพิ่งจะยกออกมาให้“คงไม่ใช่ว่าท้องหรอกนะ” เพ็ญพักตร์พูดขึ้นลอย ๆ แต่มันก็ทำให้เธอฉุกคิด…ช่วงนี้ที่บริษัทงานยุ่ง บางวันอัจจิมาถึงกับต้องเอางานกลับมาทำต่อที่บ้าน เธอจึงลืมไปเสียสนิทว่าเดือนนี้ประจำเดือนยังไม่มา แต่นอกจากอาการหน้ามืดซึ่งเธอคิดว่าเป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอก็ไม่มีอาการอื่นประสิทธิ์มองหน้าหญิงสาว จะว่าไปแล้วสมัยที่บังอรตั้งท้องเธอก็หน้ามืดแบบนี้“ไปโรง’บาลเถอะ เป็นอะไรจะได้รู้”“ไปก็ไปค่ะ แต่วันหลังนะคะ วันนี้หนูไปไม่ไหว”“แล้วทำไมไม่ให้คุณหมอมารับล่ะ” สองสัปดาห์ให้หลังมานี้อัจจิมากลับมานอนที่บ้านทุกวัน อีกทั้งยังไม่เห็นพิธาขับรถมาส่งลูกเหมือนช่วงแรก ๆ ประสิทธิ์จึงถามไถ่ถึงว่าที่ลูกเขย“ช่วงนี้เขางานยุ
ร่างบางในชุดนอนตัวโคร่งขดอยู่ใต้ผ้าห่มกำลังหลับสนิท ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีคนเข้ามาในห้องกลางดึก ผ้าห่มหนานุ่มถูกดึงเลื่อนลงจากตัวทีละน้อยหญิงสาวขดตัวเข้าหันกันเมื่อผิวเนื้อปะทะกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ฝ่ามือเรียวยาวของชายหนุ่มกุมเท้านุ่มนิ่มข้างหนึ่งของเธอเอาไว้ลูบคลำขึ้นมาถึงปลีน่องนวลเนียน ปลายนิ้วลูบโลมสูงขึ้นไปจนถึงด้านในขาอ่อนใต้ร่มผ้า ลากไล้เนินเนื้อที่กึ่งกลางกายสาวผ่านชุดนอน ‘ไม่ได้นอน’ สุดวาบหวิวที่อัจจิมาเพิ่งจะถอยมาวันนี้ทว่าการเคลื่อนไหวนั้นก็ต้องหยุดลงเมื่อคนหลับตาอยู่ส่งเสียงงึมงำออกมา “อื้ออ”“ไหนว่าจะรอผมไง” เสียงทุ้มดังขึ้นที่ริมหู อัจจิมาลืมตาขึ้นในความมืดสลัว มองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดนัก หากก็รู้ว่าเจ้าของมือซุกซนคือเจ้าของหัวใจและร่างกายของเธอ“กี่โมงแล้วคะ”“ตีหนึ่ง” เขากระซิบข้างหูพลางรู้สึกผิดขึ้นมาที่บอกให้เธอรอแต่ตัวเองดันกลับดึกเพราะมีเคสผ่าตัดเร่งด่วนเข้ามา แถมการผ่าตัดใหญ่ยังลากยาวกว่ากำหนด ขนาดว่าเขารีบบึ่งรถกลับมาแล้วอัจจิมายันตัวลุกขึ้นนั่ง พิธาโน้มศีรษะซุกหน้าลงกับเรือนผมสีน้ำตาลประกายทอง กลิ่นโรงพยาบาลคละเคล้ากับกลิ่นโคโลญจน์จากตัวชายหนุ่ม เธ