“พวกท่านให้บ่าวไปตามข้า มีอะไรหรือเจ้าคะ” ซูเจินจูเบื่อที่จะต้องเสแสร้งพูดจาสามส่วนเช่นนี้ นางอยากจะถามตั้งแต่ประโยคแรกที่มาถึงแล้วว่าเรียกนางมาทำไม นางไม่เข้าใจเหตุใดวาจาสามส่วนพูดอ้อมเจ็ดส่วนพวกนี้ถึงได้เป็นที่นิยมนัก
“ข้าเพียงมาบอกเจ้าว่า พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปสอบก่งเซิ่น” เรื่องพวกนี้ต้องให้เขาเตือนด้วยหรือ นางที่จะเป็นเป็นสตรีของเขา เหตุใดจึงไม่ปักรองเท้าให้เขาเล่า ไม่ใช่ว่าเป็นที่รู้กันอยู่แล้วหรือว่ายามบุรุษไปสอบเคอจวี่ ต้องให้รองเท้าเป็นความหมายว่าให้เดินทางปลอดภัย หากการเย็บปักของนางไม่ดี อย่างน้อยเพียงผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนเพื่อเป็นความหมายว่านางรอเขากลับมาก็ควรต้องมีใช่หรือไม่ หรือนางต้องการใช้โอกาสนี้สนิทสนมกับไฉตงชุน จึงได้ทำเช่นนี้
“อ่อ เช่นนั้นข้าขออวยพรให้ท่านเดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ” เอ้า ก็แค่ไปสอบ จะต้องมาบอกด้วยหรือ
“เจินจูเอ๋อร์ เจ้าเสียมารยามใส่คุณชายหลินอีกแล้ว ดูน้องสาวคนนี้ของหนี่ย์เอ๋อร์สิเจ้าคะ จะเข้าไปเป็นสตรีของคุณชายอยู่แล้วยังขาดการอบรมถึงเพียงนี้ ต่อไปคงได้ทำคุณชายขายหน้าเป็นแน่” ซูหนี่ย์ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากแสร้งขำเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า
“หนี่ย์เอ๋อรู้ว่าไม่สมควร แต่เพราะเห็นว่าเจินจูเอ๋อร์ยุ่งกับงานที่ร้านผ้า หนี่ย์เอ๋อจึงปักผ้าเช็ดหน้ากับรองเท้าไว้ให้คุณชาย คุณชายอย่ารังเกียจฝีมือของหนี่ย์เอ๋อร์เลยนะคะเจ้าคะ” อิงเถาวางห่อรองเท้าไว้ข้างหลินเฮงฉวน ซูหนี่ย์รับผ้าเช็ดหน้าจากอิงเถาแล้วยื่นให้หลินเฮงฉวนอย่างเขินอาย
ซูหนี่ย์สืมมาแล้วว่าซูเจินจูไม่ได้ปักผ้าหรือดูจะทำอะไรที่เป็นของขวัญให้หลินเฮงฉวนได้ จึงเจตนายื่นของแทนใจต่อหน้านาง หนึ่งคือให้นางอับอาย สองคือให้คุณชายหลินเห็นว่าตนเองจิตใจดีและละเอียดรอบคอบกว่า
“ลำบากคุณหนูซูหนี่ย์แล้ว” หลินเฮงฉวนยังอดเหลือบตามมองซูเจินจูที่นั่งนิ่งไม่ขยับไม่ได้
“คุณชายอย่าได้กดดันน้องสาวของหนี่เอ๋อร์เลยเจ้าค่ะ นางเพิ่งกลับมาจากทำการค้า เอะ ว่าแต่ เจินจูเอ๋อร์ เจ้าไปค้างอ้างแรมข้างนอกถึงสามวัน ด้านนอกเมืองนั้นไม่มีของสิ่งใดที่เจ้าซื้อกลับมามอบให้คุณชายหลินเลยหรือ กับข้าที่เป็นพี่ของเจ้าไม่มีสิ่งใดกลับมาข้าก็ว่าอะไรเจ้าไม่ได้ แต่คุณชายหลินไม่เหมือนกัน ต่อไปข้าคงต้องอบรมเจ้าให้มากขึ้นเสียแล้ว”
“ขออภัยพี่ใหญ่ ขออภัยคุณชายหลินเจ้าค่ะ ข้าออกไปทำการค้า ไม่มีเวลาได้เดินเที่ยว อีกทั้งตัวข้าก็จนนัก จะมีเงินที่ไหนซื้อของดีมาให้พวกท่านละเจ้าคะ” ไอหย๋า ซูหนี่ย์ เจ้าคอยแต่ว่าข้าเป็นนังจิ้งจอก เจ้าคงไม่ได้ส่งกระจกมานานมาแล้วสินะถึงได้ไม่เห็นหูจิ้งจอกโผล่อยู่บนหัวเจ้า คิดจะปล้นเงินข้าไปให้คนอื่น เจ้าตื่นเสียเถอะ
ซูหนี่ย์ได้ยินที่ซูเจินจูพูดว่าตนเองจน ก็รู้สึกว่าตนอยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายมาก หากซูหนี่ย์รู้สิ่งที่ซูเจินจูคิดนางคงหัวเราะเสียงดังๆออกมา เงินเพียงน้อยนิดของซูเจินจูไม่ได้อยู่ในสายตานาง นางเพียงต้องการทำลายหน้าตาและศักดิ์ศรีของซูเจินจูต่อหน้าคุณชายหลินเท่านั้น
หลินเฮงฉวนที่ได้ยินซูเจินจูบอกว่าตนเองจนก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ตระกูลพ่อค้าลำเอียงเรื่องการอบรมยังลำเอียงเรื่องเงินด้วยหรือ เขาได้ยินว่าสิ่งที่ไม่เคยขาดแคลนสำหรับพ่อค้าก็คือเงิน เห็นที่ว่าคงไม่ใช่ทุกตระกูลเสียแล้ว แล้วอะไรคือให้สตรีของเขาออกไปทำการค้าถึงสามวัน การออกหน้าทำการค้าเช่นนี้ควรเป็นกิจธุระของบุรุษใช่หรือไม่ เหตุใดตระกูลซูจึงทำเรื่องผิดธรรมเนียมเช่นนี้
ซูเจินจูเห็นว่าหลินเฮงฉวนไม่มีท่าทีจะลุกออกไปหากไม่ได้รับอะไรสักอย่างจากนางก็ว้าวุ่นใจอยู่ไม่น้อย วันนี้นางต้องรีบเข้าไปดูว่าผ้าของนางสามารถขายได้หรือไม่ อีกทั้งยังต้องไปซื้อทาสส่งกลับไปเฝ้าบ้านชนบทของนาง นางไม่มีเวลามาจิบชาเป็นเพื่อนเขานานกว่านี้อีกแล้ว
“ถ้าหากคุณชายไม่รังเกียจ ถุงหอมนี้ข้าเพิ่งทำเสร็จเมื่อคืน ขอมอบเป็นคำขออภัยจากข้า หวังว่าคุณชายจะไม่ถือโทษความไม่รู้ความของข้านะเจ้าคะ” ซูเจินจูปลดถุงหอมจากเอวมอบให้หลินเฮงฉวนอย่างเจ็บปวด สี่เสวี่ยใช้เวลาปักลายพวกนี้ถึงครึ่งเดือนเชียว น่าเสียดายนัก
หลินเฮงฉวนรับถุงหอมไว้ในมือ กลิ่นหอมจางนี้ๆเขาได้กลิ่นตั้งแต่ซูเจินจูเดินมา เมื่อนำขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นถุงผ้าไหมหยกสีงาช้างปักลายเป็ดหัวเขียวคู่หนึ่ง ยืนคลอเคลียกันริมตลิ่ง ฝีเข็มละเอียดละออเป็นงานฝีมือที่มีความปราณีต หากหาซื้อก็คงไม่มีร้านไหนขายงานปักชั้นดีแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นงานที่นางปักเอง หากจำไม่ผิดนางมีชุดไหมหยกสีงาช้าง ถุงผ้านี้คงทำมาจากผ้าที่ใช้ตัดชุดของนางเป็นแน่ ทำให้เขาพอใจในของชิ้นนี้เป็นอย่างมาก
ซูหนี่ย์ที่เห็นซูเจินจูปลดถุงหอมมอบให้คุณชายหลินก็บิดผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างแรง ‘นังจิ้งจอก นังแพศยา ทำไมเจ้าไปจมน้ำตายไปซะ รอดมาเป็นมารหัวใจข้าทำไม’
เมื่อซูเจินจูเห็นว่าหลินเฮงฉวนดูผ่อนคลายลง ก็พูดคุยด้วยอีกสองประโยคก่อนจะขอตัวออกมาทันที
หลินเฮงฉวนที่เห็นว่าซูเจินจูออกไปแล้วก็ตั้งใจจะขอตัวกลับ แต่ซูหนี่ย์กลับสั่งให้บ่าวตั้งโต๊ะอาหารและเชิญหลินเฮงฉวนรับมื้อเช้าด้วยกัน กว่าหลินเฮงฉวนจะขอตัวมาจากซูหนี่ย์ได้ก็เป็นเวลายามจื่อ
ในขณะเดียวกัน ซูเจินจูก็นับเงินอย่างสบายใจ ผ้าพับละเจ็ดสิบห้าตำลึง สี่พับก็สามร้อยตำลึง หักค่าผ้าสิบพับสามสิบตำลึง ก็ยังเหลือเงินสองร้อยเจ็ดสิบตำลึง แล้วยังใบสั่งจองอีกสิบหกพับ เส้นทางเศรษฐีช่างมีความสุขนัก
“สี่เสวี่ย นี่เงินของเจ้าสิบตำลึง”
“เงินอะไรกันเจ้าคะ คุณหนู บ่าวมีเงินมากมายถึงเพียงนั้นเมื่อไหร่กัน”
“เป็นเงินของเจ้าแล้ว ข้าไม่ได้ให้เงินเดือนเจ้ามาสามเดือน รวมกันเดือนนี้ ต่อไปข้าจะให้เงินเดือนเจ้าเดือนละสามตำลึง”
“ข้าจะรับเงินคุณหนูได้ยังไงกันละเจ้าคะ คุณหนูให้บ่าวเดือนละห้าร้อยอีแปะเท่าเดิมเถอะเจ้าค่ะ หรือไม่ต้องให้บ่าวเลยก็ได้ คุณหนูต้องใช้เงินเยอะ ต้องเก็บเงินเอาไว้มาก ภายภาคหน้าคุณหนูจะได้ไม่ลำบาก” สี่เสวี่ยซาบซึ้งจนตาเริ่มแดง คุณหนูดีกับนางเกินไป ต่อให้ไม่ให้เงินนาง แต่คุณหนูก็ไม่เคยปล่อยให้นางต้องอดอยาก เสื้อผ้าแพรพรรณบางชุดสวยงามยิ่งกว่าคุณหนูบางคนเสียอีก อีกทั้งคุณหนูยังเคยให้ปิ่นเงินกับนางอีกด้วย หากนางยังกล้ารับเงินจากคุณหนูอีก คงไม่มีหน้าไปพบบรรพบรุษแล้ว
“เจ้ารับไปเถอะ เก็บเงินเอาไว้มากๆ ข้ารู้ว่าเจ้าดีกับข้ามาก ดังนั้นอย่าปฏิเสธเงินที่ข้าให้เจ้าเลย ถือว่าเป็นความปารถนาดีจากข้าคุณหนูผู้นี้”
“บ่าวขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ”
หลังจากหลงจู๊นำมาผ้ามาให้ซูเจินจูยี่สิบพับ นางและสี่เสวี่ยก็ออกจากร้านผ้าและตรงไปที่ตลาดค้าทาส พ่อค้าทาสนำทาสชายที่เป็นวรยุทธ์ออกมาให้นางเลือกยี่สิบกว่าคน ซูเจินจูเลือกคนที่ดูสุภาพที่สุดมาสองคน จ่ายเงินหกสิบตำลึง เปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า หลิวหยาง และ จางหมิ่น
หลิวหยางและจางหมิ่นเป็นชายฉกรรจ์วัยประมาณยี่สิบกลางๆ กริยาดูสุขุมเหมือนดั่งบัณฑิต ร่างกายกำยำแข็งแรง ครั้งแรกที่เห็นว่าผู้ที่มาซื้อตนเป็นเพียงเด็กหญิง ความสับสนไม่แน่ใจก็ปรากฏขึ้นในแววตา ต้องรู้ว่าเด็กสาววัยนี้นิยมซื้อสาวใช้หน้าตาดีเพื่อเตรียมออกเรือนพร้อมตนเสียมากกว่าสนใจชายหนุ่มอย่างพวกเขา
“บ่าวคารวะคุณหนูขอรับ”
“อืม ข้าเลือกพวกเจ้าสองคน เพราะเห็นว่าพวกเจ้าทั้งสองดูสุภาพ อยู่กับข้าไม่ได้มีกฏระเบียบมากมาย สิ่งที่เจ้าต้องจำให้ขึ้นใจคือ ซื่อสัตย์ ภักดี มีวินัย และห้ามนำเรื่องของข้าไปพูดกับผู้ใด หน้าที่ของพวกเจ้ามีสองอย่างหนึ่งคือดูแลข้ากับสี่เสวี่ย สองคือดูแลของทุกอย่างที่อยู่ในบ้าน เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจขอรับ”
“ดี พวกเจ้าขับรถม้าเป็นหรือไม่”
“ขับเป็นขอรับ” หลิวหยางและจางหมิ่นเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“ดี เช่นนั้นไปซื้อรถม้ากันก่อน”
หลังจากซื้อรถม้าธรรมดาในราคาห้าสิบตำลึง พวกซูเจินจูมาที่ร้านอาวุธ ซูเจินจูเดินดูอาวุธที่วางเรียงรายอยู่ก็สังเกตุว่าอาวุธในร้านนี้ไม่ใช่ของที่มีไว้ใช้งานจริง อาจเป็นเพราะในเมืองไม่สามารถพกอาวุธได้ อาวุธที่ขายอยู่จึงเหมาะกับการถือไปถือมาอวดกันของคุณชายในเมืองเสียมากกว่า พวกซูเจินจูจึงมาที่โรงหลอมเหล็กอู่จินชาง
“ท่านอา วันนี้ข้ามาซื้ออาวุธ มีที่ตีเสร็จแล้วหรือไม่เจ้าคะ”
“แม่หนูนี่เอง เจ้าอยากได้อะไรล่ะ หากเป็นกริชเงิน เจ้าคงต้องผิดหวังกลับไปเสียแล้ว”
“ดาบกับมีดสั้นเจ้าค่ะ”
“ถ้าเป็นดาบกับมีดสั้นก็ต้องมีให้เจ้าแน่นอน ตามข้ามาดูทางนี้เถอะ”
ซูเจินจูให้คนทั้งหมดตามเข้าไปด้วยเมื่อเห็นว่าข้างในมีอาวุธเรียงรายอยู่มากมายก็ ให้หลิวหยาง กับ จางหมิ่นเลือกอาวุธที่จับถนัดมือด้วยตนเอง และสอนสี่เสวี่ยเลือกมีดสั้น ซูเจินจูเองก็เลือกมีดสั้นของตนเองมาหนึ่งอันด้วย
“ท่านอา เมื่อสักครู่ข้าเห็นว่าบนโต๊ะด้านนอกมีเข็มเงินหนึ่งชุดหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้วแม่หนู เป็นของท่านหมอหลี่สั่งทำเอาไว้ เป็นของคุณภาพดีกว่าที่ขายในร้านข้างนอก อย่างที่เจ้ารู้ ฝีมือข้าดีนัก”
“ใช่เจ้าค่ะ ฝีมือท่านดียิ่งนัก ข้าเองก็อยากได้เข็มเงินสักชุด ไม่ทราบว่าท่านอายังสามารถทำตามแบบข้างนอกนั้นให้ข้าอีกสักชุดได้หรือไม่เจ้าคะ”
“โอ้ว เจ้าเองก็เรียนวิชาการรักษาหรือ” ฮุ่ยซิ่วทำหน้าประหลาดใจ พินิจพิจารณาซูเจินจูอยู่ครู่นึง เขาถูกชะตากับแม่หนูคนนี้ แต่ก็ไม่สามารถล่วงเกินแนะนำให้เลิกเรียนการรักษาได้ แต่หมอเป็นอาชีพที่สตรีไม่สามารถเรียนได้ หรือต่อให้เรียนก็ไม่มีใครยินดีให้สตรีตรวจรักษา
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ทำไว้เพื่อมอบให้ผู้อื่นเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็ได้ อีกสามวันเจ้าค่อยมารับของ ข้าจะทำให้เจ้าอย่างดีเลยทีเดียว”
หลังจากที่ทุกคนเลือกอาวุธเสร็จ ซูเจินจูก็จ่ายเงินค่าดาบเล่มละสิบตำลึง สองเล่ม มีดสั้นเล่มละแปดตำลึง สองเล่ม และเงินมัดจำเข็มเงินชุดละสามสิบตำลึง
นายน้อยหงพาซูเจินจูเดินชมสินค้าภายในร้าน สินค้าหลากหลายแต่เต็มไปด้วยของชั้นดี สินค้ามากมายที่ได้มาจากต่างแคว้น สินค้าหลายอย่างเป็นของที่ได้มาจากชนเผ่าต่างๆ หนังสัตว์ที่ผ่านการฟอกหนังมาอย่างดี ขนสัตว์หายากอย่างพวกจิ้งจอกแดงหรือขนหมาป่าสีขาวก็สามารถหาซื้อได้ที่นี่ หนังเสือ หนังหมี หรือแม้แต่เขากวาง เขี้ยวเสื้อ ก็ถูกนำมาตั้งแสดงสินค้า ยิ่งเห็นว่าร้านฟู่หงเทียนมีสินค้าชั้นดีเท่าใดซูเจินจูก็ยิ่งตระหนักได้ถึงอิทธิพลของเจ้ากรมอาภรณ์ ร้านค้าขนาดสี่ห้องกว้างขวางเกินกว่าจะดูได้อย่างละเอียดทั้งหมด แม้ซูเจินจูจะพยายามเดินดูจนทั่ว แต่ด้วยประกอบกับนายน้อยหงที่คอยอธิบายสิ่งต่างๆภายในร้านอย่างใส่ใจทำให้กินเวลายาวนานเกือบสามชั่วยาม“อีกสองวันถึงจะเป็นงานเปิดรับศิษย์ของสำนักต่อสู้ พรุ่งนี้คุณหนูซูอยากไปที่ใดหรือไม่ ข้าจะพาท่านไปเอง”“ไม่รบกวนนายน้อยเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะพาคนของข้าไปเดินเล่นในเมือง เพียงเดินเล่นไปเรื่อยๆมีจุดหมายใด”“เช่นนั้นข้าจะให้คนคุ้มกันของข้ามาดูแล”“ข้าคงต้องเสียมารยาทปฏิเสธเสียแล้ว หลิวหยาง จางหมิ่นของข้าคงเพียงพอจะปกป้องข้าได้ อย่าให้ข้าทำให้นายน้อยหงต้องเป็นกังวลเลยเจ้าค่ะ”“เช
วันถัดมาในยามเฉิน เฟยอวี่เข้ามาหาซูเจินจูเพื่อรายงาน“คุณหนู บ่าวสืบข่าวมาได้เล็กน้อยเจ้าค่ะ พ่อค้าต่างแคว้นหลายคนเร่งเดินทางเข้าเมืองหลวง ของมีค่าหลายอย่างถูกขนเข้าเมืองหลวงผ่านขบวนขนสินค้า จุดหมายคือตรอกถงยู่ ที่เป็นแหล่งจัดงานประมูลของตลาดมืด นี่เป็นของรายการของส่วนหนึ่งที่บ่าวได้มาจากบัญชีส่งสินค้าเจ้าค่ะ”“งานประมูลของตลาดมือหรือ น่าสนใจ เจ้ารู้เรื่องงานนี้ดีแค่ไหน”“บ่าวเคยได้ยินว่าเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อประมูลของหายาก มีทั้งโสมพันปี อาวุธต่างๆ หยกม่วง หินแร่ รวมถึงหัวของผู้ครองแคว้นก็เคยถูกนำมาประมูลเจ้าค่ะ การจะเข้าร่วมประมูลได้ต้องจ่ายเงินค่าเข้าคนละหนึ่งพันตำลึง และหากมีของที่ต้องการนำเข้าประมูลก็นำของไปประเมิณได้เช่นกันเจ้าค่ะ”“เจ้าทำงานได้ดีมาก พักสักหน่อยแล้วออกเดินทางไปรอข้าที่เมืองหลวง สืบข่าวเรื่องการประมูลให้ข้า และจองโรงเตี๊ยมที่ปลอดภัยที่สุดเอาไว้ให้เพียงพอกับคนของเรา ข้าจะพาสี่เสวี่ย เฟยหลัน เฟยหรง เฟยเมี่ยว หลิวหยาง จางหมิ่นไป”“บ่าวรับคำสั่งคุณหนูเจ้าค่ะ” เฟยอวี่รับตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงจากซูเจินจูก่อนจะออกจากห้องไป คล้อยหลังเฟยอวี่ออกไปไม่ถึงหนึ่งเค่อซูเจินจูก็ตรง
“เฟยอวี่ การเข้าเมืองหลวงต้องใช้ป้ายผ่านเข้าเมืองด้วยหรือ”“จริงๆแล้วไม่ต้องใช้เจ้าค่ะคุณหนู แต่ชาวบ้านทั่วไปหากต้องการผ่านเข้าเมืองหลวงจะต้องเสียอีแปะเป็นค่าผ่านทางให้กับทหารเฝ้าประตู เสียเยอะหรือเสียน้อยแล้วแต่ว่าผู้เฝ้าประตูเป็นใคร ส่วนป้ายผ่านเข้าเมืองเป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้นเจ้าค่ะ ในความเป็นจริงแล้วป้ายพวกนี้มีขึ้นเพื่อให้คนมีเส้นสายสามารถผ่านเข้าออกเมืองโดยไม่ต้องเสียอีแปะ ไม่ต้องต่อแถว ไม่ต้องตรวจค้นสัมภาระอย่างละเอียดและได้รับความเคารพจากทหารเฝ้าประตู รวมถึงป้องกันไม่ให้พวกทหารสร้างปัญหากับพวกคนรวยและขุนนางด้วยเจ้าค่ะ”“อ่อ แค่ยื่นป้ายออกไปก็ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วยแล้วสินะ ช่างดีจริงๆ”“นายน้อยหงคงเหลือเส้นสายอยู่ไม่น้อยถึงขนาดใจกว้างทำป้ายให้คุณหนูได้ง่ายๆ”“เขาเห็นข้าเป็นโอกาสที่จะช่วยร้านผ้าฟู่หงเทียนกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งต่างหาก เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ ออกไปสืบข่าวดูสักหน่อยก็ได้ ไปเมืองหลวงครั้งนี้ข้าจะพาเจ้า สี่เสวี่ย หลิวหยาง จางหมิ่น เฟยหรง เฟยเมี่ยว และเฟยหลันไปด้วย บอกเพ่ยเพ่ยกับเยว่ชิงเสียแต่เนิ่นๆให้นางได้เตรียมตัวจัดการงานและดูแลเรื่องต่างๆทั้งหมดที่นี่ตอนที่พวกเรา
“พ่อหนุ่มเจิ้งผู้นี้ดูมีลับลมคมในเหลือเกินนะเจ้าคะ จะว่าไปพ่อหนุ่มเจิ้งเองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องของตน แม่แต่แซ่ก็ไม่บอก ชื่อเจิ้งก็ไม่รู้ว่าใช่ชื่อจริงหรือไม่”“นั่นสิเจ้าคะคุณหนู คุณหนูเองก็แปลกนัก แค่พ่อหนุ่มเจิ้งบอกจะมาด้วยก็ปล่อยให้มา บอกจะไปก็ไม่ถามไถ่สิ่งใดสักคำ”“ช่างเขาเถอะ เพียงแค่ไม่มีพิษภัยกับพวกเราก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆรู้มากไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี”“เจ้าค่ะคุณหนู”ซูเจินจูพาเจียงไป๋ไปยังห้องที่เจียงชิงนอนอยู่และให้ซินเซียงยกที่นอนอีกหนึ่งอันมาวางข้างเตียงเพื่อให้พี่น้องได้นอนห้องด้วยกัน“เจ้านอนห้องเดียวกันไปก่อน ช่วงนี้ก็คอยดูแลนาง ข้างๆห้องเจ้าคือห้องของชิงหยุน มีอะไรก็ไปหานางได้ สี่เสวี่ยเจ้าไปบอกให้ซินเซียงหาอะไรให้เด็กนี่กินเสียหน่อยเถอะ”“เจ้าค่ะคุณหนู”เจียงไป๋มองคนทั้งหมดทยอยออกจากห้องไปก่อนจะหันกลับมานั่งข้างเตียงของเจียงชิง“พี่สาว ท่านรีบตื่นขึ้นมานะ…”... เช้าวันต่อมาซูเจินจูเดินทางเข้าร้านหว่างลี่เซียงพร้อมเฟยหลันตั้งแต่ยามเฉิน กิจการของร้านหว่านลี่เซียงเป็นไปด้วยดี คนที่ดูเหมือนจะทะเลาะกับผู้อื่นได้ง่ายๆอย่างเพ่ยเพ่ยกลับทำงานได้อย่างสงบเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นก
“มองอะไร พวกเจ้ามองอะไร ไอ้พวกไม่รู้เรื่องรู้ราว เด็กมันมีวาสนาได้ช่วยเหลือสกุล เลี้ยงมันต่อไปก็ไม่ใช่ว่ามันจะหาเงินให้ข้าได้ถึงยี่สิบตำลึงเสียเมื่อไหร่ ต้องมากินข้าวบ้านข้านอนบ้านข้าไม่สู้ไปกินบ้านอื่นนอนบ้านอื่นแล้วยังได้เงินรึ แล้วเงินที่มันถืออยู่ไม่ใช่ว่าขโมยของข้าไม่หรือไงเด็กอย่างพวกมันจะเอาปัญญาหาเงินมากมายขนาดนี้ได้ที่ไหน เอาเงินข้าคืนมานะไอ้พวกเด็กตัวเหม็น”“ท่านย่านี่เป็นเงินที่พี่สาวหามาได้ ไม่ได้ขโมยเงินของท่าน”“นั่นมันเงินโชคดีที่แม่หนูเจินจูแจกไม่ใช่หรือ บ้านข้าก็ได้มาสองพวง ไหมถักแบบนั้นรูปทรงแบบนั้น ข้าจำไม่ผิดหรอก” ชาวบ้านที่มุงดูอยู่พูดขึ้น“ใช่ ข้าเองก็จำได้ นั่นมันพวงเงินที่แม่หนูเจินจูแจกเมื่อวันเกิด” หัวหน้าหมู่บ้านหวังสำทับขึ้น ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างเคยได้รับพวงเงินโชคนี้ทุกคนล้วนเป็นพยายานให้เด็กน้อยว่าเขาไม่ได้ขโมยเงินของแม่เฒ่าเจียง“เหอะ เอาเข้าบ้านข้าก็ต้องเป็นของข้านั่นแหละ อาไป๋ เข้าบ้าน เหม่ยเหมย เสี่ยวเจี๋ยลากนังเด็กชิงเข้าบ้าน”“แม่เฒ่าเจียง รอเดี๋ยวก่อนเถอะ ข้าขอเจรจาเรื่องเด็กสองคนนี้สักประโยคหนึ่งได้หรือไม่” ซูเจินจูพูดยังไม่ทันจบ เฟยหลันก็เอาตัว
การค้าของร้านหว่านลี่เซียงเต็มไปด้วยความราบลื่น ที่ควรขายได้ขาย ที่ควรสงบก็สงบ กว่าลูกค้าคนสุดท้ายจะออกจากร้านก็เป็นยามโหย่ว หลังจากปิดร้าน เหล่าคนงานที่หมดแรงมานั่งรวมกันอยู่ที่กลางร้าน ซูเจินจูลากเก้าอี้มานั่งก่อนจะขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการเปิดร้านวันแรกจนทุกอย่างผ่านไปด้วยดี วันนี้ถุงหอมขายได้หกร้อยหกใบ เป็นเงินหนึ่งหมื่นสองพันหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง การขายได้จำนวนมากตั้งแต่วันแรกนับเป็นเรื่องดีแต่ซูเจินจูกังวลว่าหากขายดีเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆคงไม่สามารถผลิตมาขายได้ทันสี่เสวี่ยรับหน้าที่สอนเยว่ชิงวาดลายผ้าและผสมสีผ้าไหมหอมหมื่นลี้ เมื่อเชี่ยวชาญแล้วเยว่ชิงจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลผ้าไหมหอมหมื่นลี้พวกนี้แทนสี่เสวี่ย อีกทั้งสี่เสวี่ยยังต้องคุมคนงานเย็บปัก และติดป้ายรับสมัครหญิงสาวที่เชี่ยวชาญงานเย็บปักมาปักถุงหอมหมื่นลี้ที่ร้านหว่านลี่เซี่ยงด้วยเฟยหรงและเฟยเมี่ยวที่เพิ่งได้ข่าวพรรคพวกอีกหนึ่งคนด้วยเห็นว่าพรรคพวกที่เจอนั้นถูกซื้อตัวไปด้วยชายชราที่อยู่กับหลานชายหนึ่งคนบนกระท่อมบนเขา นางไม่ได้ลำบากหรือโดนทำร้ายจึงพักการติดต่อแล้วหันมาช่วยซูเจินจูดูแลร้านหว่านลี่เซียงไปก่อน“เอาล