ซูเจินจูที่คุยกับฮูหยินรองจนหมดแรงเดินกลับมาที่เรือนก็เห็นว่าสี่เสวี่ยเตรียมข้าวของไว้เรียบร้อยแล้ว และยังไม่ลืมที่จะเตรียมเบาะรองนั่งอย่างดีไว้ให้นางถึงสี่ใบ
“คุณหนูของที่ต้องเตรียมจากที่เรือนนี้ บ่าวเตรียมครบแล้วเจ้าค่ะ แต่ที่บ้านของคุณหนูไม่มีทั้งเครื่องเรือนแล้วครื่องครัว คุณหนูจะอยู่ลำบากเกินไปหรือไม่เจ้าคะ”
“พรุ่งนี้ระหว่างทางก็แวะร้านค้าในตำบลเสียหน่อย ซื้อเครื่องนอนสองชุด ตะเกียงสี่ชุด เครื่องครัวก็ตามที่เจ้าเห็นสมควร ข้าวสาร ธัญพืชอีกเล็กน้อย แล้วก็แวะร้านยาเสียหน่อย ซื้อพวกยาทากันแมลง บ้านติดเขาเช่นนั้นไม่รู้ว่ามีแมลงเยอะหรือไม่ อ่อ เจ้าเอากริชเงินของข้าติดตัวไว้ ไว้คราวหน้าข้าจะซื้อมีดสั้นให้ พกง่ายและน้ำหนักเบากว่ากริชเงินเล่มนี้มากนัก”
“ได้เจ้าค่ะคุณหนู บ่าวเตรียมน้ำไว้แล้ว คุณหนูรีบอาบน้ำเถอะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า”
สี่เสวี่ยปรนนิบัติซูเจินจูอาบน้ำ สระผม ส่งซูเจินจูเข้านอนเสร็จแล้ว ก็กลับมานับเงินในหีบอีกรอบ ก่อนจะเข้านอนอย่างมีความสุข
เช้าวันต่อมาซูเจินจูและสี่เสวี่ยออกจากบ้านตั้งแต่ต้นยามเฉิน วันนี้ซูเจินจูนอนบนเบาะรองนั่งอย่างดีที่ซ้อนไว้สองชั้น ก่อนออกจากเมืองซูเจินจูแวะซื้อขนมร้านเสี่ยวซือกวงสองกล่อง รถม้าเคลื่อนตัวออกจากอำเภอเหอ ผ่านตำบลจี๋หลง ไปถึงตำบลจางหนานก็หยุดพักเพื่อให้พวกนางลงไปซื้อของใช้
ที่นอน หมอน ผ้าห่ม อย่างละสองชุด ตะเกียงสี่อัน ถ้วย ชาม ตะเกียบ หม้อ ไห ถ่าน ของใช้เล็กๆน้อยๆ ข้าวสารอย่างดีสี่จิน แป้งสาลีห้าจิน น้ำตาลทรายกับเกลืออย่างละหนึ่งจิน เครื่องปรุงรสขวดเล็กๆสองสามขวด มันหมูหนึ่งจิน เนื้อแดงสองจิน ถูกลำเลียงขึ้นเกวียนเทียมวัวที่จ้างมาใหม่ ของใช้ต่างๆก็เป็นเพียงของธรรมดา ของกินก็ซื้อสำหรับแค่สามวัน ทั้งหมดราคาสามตำลึง
“เราซื้อของมากมาย เหตุใดราคาเพียงสามตำลึงเล่า”
“สามตำลึงสำหรับชาวบ้านก็ถือว่าแพงแล้วเจ้าค่ะ ที่นอนผ้าห่มก็เป็นเพียงผ้าฝ้ายเท่านั้น ไม่ใช่ผ้าไหมเหมือนของที่เรือนคุณหนู”
“มิน่า เจ้าถึงปวดใจนักเวลาข้ากินขนมของร้านเสี่ยวซือกวง”
“ขนมกล่องนึงของคุณหนูซื้อผ้าห่มยัดไส้นุ่นได้เกือบสามผืนเชียวเจ้าค่ะ”
“เสียดายที่ข้ากินได้เพียงขนม กินผ้าห่มแทนไม่ได้ ไม่เช่นนั้นผ้าห่มผืนใหญ่เพียงนี้ คงพอกินไปได้หลายวัน”
“มาคราวนี้ บ่าวจะวาดผ้าให้คุณหนูหลายๆผืนเลยนะเจ้าคะ บ่าวกลัวว่าหากคุณหนูกินผ้าห่มแทนขนมแล้ว หลงจู๊ร้านเสี่ยวซือกวงคงต้องหลั่งน้ำตาเพราะคิดถึงคุณหนูแน่ๆ”
ซูเจินจูและสี่เสวี่ยหยอกล้อกันไปตลอดทางจนมาถึงหมูบ้านซาน ก่อนจะนำขนมร้านเสี่ยวซือกวงไปฝากหัวหน้าหมู่บ้านและรับกุญแจบ้านคืน หลังจากย้ายข้าวของเข้าบ้านและนัดแนะกับรถม้าให้ม้ารับสามวันให้หลัง ซูเจินจูก็เริ่มวาดลายผ้าทันที
ผ้าพับแรกที่ซูเจินจูวาดคือดอกเหมย โดยใช้ผ้าไหมสีชมพูอ่อน ลำต้นใช้สีดำผสมกับอิ๋นกุ้ยละตันกุ๋ยเล็กน้อยทำให้เกิดสีน้ำตาลเข้ม ดอกเหมยใช้สีแดงจากตันกุย และสีชมพูจากตันกุยผสมอิ๋นกุย
ผ้าพับที่สองวาดดอกบัว ใช้ผ้าไหมสีม่วง ก้านใช้สีเขียวจากใบเสียนหลันผสมอิ๋นกุ้ย ดอกใช้สีเหลืองของจินกุ้ย
ผับพับที่สามวาดดอกท้อ ใช้ผ้าไหมสีขาว ดอกท้อใช้สีแดงจากตันกุยผสมสีเหลืองจากจินกุ้ย ได้สีส้มเข้มไปจนถึงส้มอ่อน
สี่เสวี่ยวาดลายดอกเหมยหนึ่งพับ
ผ้าทั้งสี่พับถูกตากอยู่บนโต๊ะที่ลานหินอย่างเรียบร้อย
ความเร็วในการวาดลายผ้าของซูเจินจูอยู่ที่วันละหนึ่งพับ
สี่เสวี่ยที่เสียเวลาหนึ่งวันในการเตรียมสี เก็บของ อีกทั้งต้องแบ่งเวลาส่วนนึงปรนิบัติซูเจินจูและหุงหาอาหารก็วาดลายได้ช้าลงสามวันได้เพียงหนึ่งพับเท่านั้น
เมื่อครบกำหนดสามวันซูเจินจูและสี่เสวี่ยก็กลับเข้าตัวอำเภอทันที
ซูเจินจูนำผ้าสี่พับเข้าไปที่ร้านผ้าซูเตี้ยน
“คุณหนูกลับมาแล้ว” ทันทีที่หลงจู๊เห็นซูเจินจูก็รีบเดินออกมาต้อนรับ เด็กผู้หญิงตัวเล็กเท่านี้ต้องออกไปทำการค้านอกเมือง หากคุณหนูสี่เป็นผู้ชายร้านผ้าซูเตี้ยนก็คงต้องยกให้คุณหนูสี่ดูแลเป็นแน่
“ข้ากลับมาแล้ว ท่านลุงฝูตามข้าไปที่ห้องทำงานเถอะ ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย”
หลงจู๊หันไปสั่งเด็กในร้านให้ออกไปซื้อขนมกล่องสองตำลึงร้านเสี่ยวซือกวงให้คุณหนูสี่ และสั่งให้เด็กในร้านอีกคนชงชาตามเข้าไปในห้องทำงาน
“คุณหนูกลับมาเหนื่อยๆ บ่าวให้เด็กออกไปซื้อขนมโปรดของคุณหนูมาให้แล้ว อีกสักครู่คงยกเข้ามา เดินทางครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“ท่านลุงฝูตามใจข้านัก การเดินทางครั้งนี้ถือว่าร้านผ้าซูเตี้ยนของเราได้กำไร ท่านลุงดูผ้าพับพวกนี้เถอะเจ้าค่ะ”
ทันทีที่หลงจู๊ฝูคลี่ผ้าพับออกมาดูก็ต้องแปลกใจ ลายผ้าที่ใช้การวาดดูอ่อนช้อย บอบบางกว่าการปักผ้ามาก ทั้งการไล่เฉดสีที่ดูเหมือนดอกไม้จริงๆติดอยู่บนผ้า ยิ่งดูเป็นดอกไม้จริงๆมากขึ้นเมื่อได้กลิ่นหอมของมวลบุพชาติจากบนผ้า ยิ่งทำให้คิดไปว่ามีดอกไม้อยู่ในผ้านี้จริงๆ
“ผ้าพวกนี้ เรียกว่าผ้าไหมหอมหมื่นลี้เจ้าค่ะ กลิ่นนี้จะติดอยู่กับผ้านานหนึ่งถึงสองปี อีกทั้งเมื่อสวมใส่ กลิ่นหอมเหล่านี้ก็จะติดบนผิว หากใส่บ่อยๆ ร่างกายก็จะมีกลิ่นหอมเหล่านี้ติดอยู่ทั่วร่างเจ้าค่ะ”
“วิเศษ วิเศษเหลือเกิน ผ้าชนิดนี้ทำมาจากอะไรกัน ทำไมถึงได้วิเศษถึงเพียงนี้ คุณหนูได้มาจากที่ไหน ราคาเท่าไหร่ บ่าวว่าเราควรไปกว้านซื้อทั้งหมดแล้วชิงตัดหน้าร้านอื่นส่งเข้าไปขายในเมืองหลวงนะขอรับ เรื่องนี้ช้าไม่ได้ คนขายผ้าอยู่ที่ไหน คุณหนูพาข้าไปดูเถอะขอรับ” หลงจู๊พลิกผ้าไปๆมาๆ สูดกลิ่นหอมบนผ้าแล้วยิ่งชอบใจ
“ท่านลุงใจเย็นๆแล้วฟังข้าก่อนเจ้าค่ะ ผ้าพวกนี้ก็คือผ้าไหมมีตำหนิที่เราส่งไปขาย พวกเขารับซื้อผ้าของเรา ทำลายผ้า และส่งกลับมาขายให้เรา แต่มีข้อตกลงว่า เขาจะรับซื้อผ้าไหมมีตำหนิ ในราคาสามตำลึง และส่งผ้าพวกนี้กลับมาขายให้ร้านของเราเพียงร้านเดียวในราคาเจ็ดสิบห้าตำลึงเจ้าค่ะ”
ซูเจินจูยกชาขึ้นจิบก่อนจะพูดต่อว่า
“ข้าลองคิดดูแล้ว หากเราไม่ขายผ้าพับมีตำหนิเราจะขาดทุนสิบตำลึง ในขณะเดียวกันเราก็ซื้อผ้าหอมหมื่นลี้ในราคาเจ็ดสิบห้าตำลึงเพื่อขายพับละหนึ่งร้อยตำลึง ร้านของเราก็จะได้กำไรยี่สิบห้าตำลึงเลยนะเจ้าค่ะ”
“กำไรยี่สิบห้าตำลึงเป็นจำนวนเงินที่เยอะมาก แต่ข้ากังวลว่าผ้าพับละหนึ่งร้อยตำลึงจะแพงเกินไปจนทำให้ขายยาก”
“เช่นนั้น ท่านลุงนำผ้าสี่พับนี้ไปขายดูก่อน หากขายไม่ได้ข้าจะนำมันกลับไปคืน หากขายได้ข้าก็กลับไปตกลงทำการค้ากับพวกเขา”
“ได้ขอรับ” หลงจู๊รับผ้าไปอย่างอารมณ์ดี นำของมาขายก่อนโดยที่ยังไม่ต้องจ่ายเงิน ไม่ว่าใครก็ต้องอารมณ์ดีทั้งนั้น และยิ่งอารมณ์ดีขึ้นไปอีกเมื่อนำมาวางขายไม่ถึงหนึ่งเค่อผ้าพับละหนึ่งร้อยตำลึงที่เขากังวลทั้งสี่พับก็ถูกขายออกไปจนหมด
ขณะเดียวกัน สี่เสวี่ยก็ตรงไปที่ตลาดค้าทาส ซูเจินจูให้นางมาซื้อทาสชายที่เป็นวรยุทธ์สองคนเพื่อไปเฝ้าบ้านที่ชนบท นางกลัวว่าจะมีใครเข้ามายุ่มย่ามในบ้านขณะที่นางไม่อยู่ เรือนที่ทำไว้ฝั่งหนึ่งถูกทำเป็นห้องเล็กสามห้อง เป็นห้องของสี่เสวี่ยหนึ่งห้อง แต่โดยปกติพวกนางก็ไม่ได้อยู่ในเรือนดังนั้นทาสชายสองคนให้อยู่ในห้องที่เหลือชั่วคราวก่อนได้ แต่ราคาทาสชายที่เป็นวรยุทธ์แพงเกินกว่าที่สี่เสวี่ยจะจ่ายเงินได้ นางจึงกลับมาด้วยความผิดหวัง
“ทำไมเจ้าถึงกลับมาที่นี่ล่ะ ข้าบอกให้เจ้าซื้อทาส ซื้อของ แล้วก็อยู่ค้างที่บ้านชนบท พรุ่งนี้ค่อยกลับไม่ใช่หรือ”
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเหลือเงินยี่สิบเก้าตำลึงเจ้าค่ะ ทาสชายที่เป็นวรยุทธ์หนึ่งคนราคาสามสิบตำลึง จะซื้อมาครึ่งตัวก่อนก็เกรงว่าเขาจะไม่ขาย เลยกลับมาก่อน ไม่ทันได้ซื้อเจ้าค่ะ”
“ไอหย๋า แพงถึงเพียงนั้น”
“แพงถึงเพียงนั้นเลยเจ้าค่ะ แล้วก็ยังมีเด็กผู้หญิงห้าตำลึง เด็กผู้ชายเจ็ดตำลึง ผู้หญิงสิบห้าตำลึง ผู้ชายยี่สิบตำลึง ผู้ที่มีวรยุทธ์ราคาสูงที่สุดสามสิบตำลึงเจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ก็ไปดูที่ร้านผ้าก่อนเถอะว่าผ้าขายได้หรือไม่ หากขายได้ค่อยนำเงินไปซื้อทาส”
“หากขายไม่ได้ละเจ้าคะ”
“ขายบ้านทิ้งแล้วหอบเงินหนี”
“คุณหนู ล้อ บ่าวเล่นอีกแล้วเจ้าค่ะ บ่าวไม่คุยกับคุณหนูแล้ว บ่าวไปเตรียมน้ำให้นะเจ้าคะ”
“อืม เจ้าไปเตรียมน้ำเถอะ ข้าเย็บถุงหอมใบนี้เสร็จแล้วค่อยไปอาบน้ำ” การเย็บถุงหอมของซูเจินจูคือการนำถุงผ้าปักใบเล็กที่สี่เสวี่ยทำไว้ มาใส่ดอกอิ๋นกุ้ยแล้วเย็บปิดบนปากถุงด้วยตัวเอง การเย็บปากถุงไม่ยากเกินความสามารถของซูเจินจู นางใช้วิธีเย็บแบบเดียวกับการเย็บแผลที่นางเคยเรียนมาเมื่อชาติที่แล้ว เมื่อเห็นว่าตนเองสามารถเย็บปิดปากถุงได้อย่างสวยงามและเป็นระเบียบก็พึงพอใจในตัวเองเป็นอย่างมาก
เช้าวันรุ่งขึ้น ยามเฉิน อิงชุ่ยมาแจ้งแก่นางว่า หลินเฮงฮวนมาหา ซูเจินจูถามสี่เสวี่ยด้วยความกังวลว่าในจดหมายที่หลินเฮงฉวนส่งมาเมื่อวันก่อนได้ระบุวันเวลานัดหรือไม่ เมื่อสี่เสวี่ยยืนยันว่าไม่มีวันเวลานัดเขียนไว้ นางจึงไปพบหลินเฮงฉวนที่ในสวน
“คารวะคุณชายหลิน” หลินเฮงฉวนเงยหน้าขึ้นมองซูเจินจูที่วันนี้ใส่ชุดผ้าไหมสีเหลืองอ่อนกุ๊นคอและข้อมือด้วยผ้าไหมสีเดียวกันปักลายดอกหลันฮวาสีม่วงเข้ากันได้ดีกับแถบคาดเอวสีเหลืองเข้มปักลายผีเสื้อ ผิวของซูเจินจูขาวเนียนดั่งไข่มุก รูปร่างเล็กบอบบาง ใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลา คิ้วเรียวสวย ดวงตากลมโต จมูกโด่งสวยชัดปลายเชิดรั้นรับริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพู ยามเงยหน้ารับแสงแดดยามเช้าเช่นนี้ช่างเหมือนเทพธิดาตัวน้อยที่ลงมาหยอกล้อกับเหล่ามนุษย์เบื้องล่าง
“เจินจูเอ๋อร์ เหตุใดจึงออกมาช้านัก เจ้าปล่อยให้คุณชายหลินรอรอบแล้วรอบเล่า เหตุใดจึงทำตัวไร้ระเบียบเช่นนี้” ซูหนี่ย์ที่นั่งอยู่กับหลินเฮงฉวนเอ่ยปากตำหนิซูเจินจูด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ขออภัยคุณชายหลินเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งสั่งงานสี่เสวี่ยเสร็จ ไม่รู้ว่าท่านพี่กับคุณชายหลินรอ ข้าเสียมารยาทเสียแล้ว”
“ช่างเถอะ ข้าเองก็ไม่ได้บอกล่วงหน้า นั่งรอเพียงไม่นาน ไม่นับว่าเป็นอะไร” แม้ปากจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ในใจหลินเฮงฉวนอยากจะจับซูเจินจูกลับไปสั่งสอนนัก เหตุใดจึงได้ทำเป็นไม่สนใจเขาถึงเพียงนี้ นี่ต้องเป็นอุบายถอยเพื่อรุกของนางแน่ๆ หากไม่ติดว่าพรุ่งนี้ต้องไปเมืองหลวง เขาคงไม่มีทางยอมให้อุบายนี้ของนางสำเร็จได้!
นายน้อยหงพาซูเจินจูเดินชมสินค้าภายในร้าน สินค้าหลากหลายแต่เต็มไปด้วยของชั้นดี สินค้ามากมายที่ได้มาจากต่างแคว้น สินค้าหลายอย่างเป็นของที่ได้มาจากชนเผ่าต่างๆ หนังสัตว์ที่ผ่านการฟอกหนังมาอย่างดี ขนสัตว์หายากอย่างพวกจิ้งจอกแดงหรือขนหมาป่าสีขาวก็สามารถหาซื้อได้ที่นี่ หนังเสือ หนังหมี หรือแม้แต่เขากวาง เขี้ยวเสื้อ ก็ถูกนำมาตั้งแสดงสินค้า ยิ่งเห็นว่าร้านฟู่หงเทียนมีสินค้าชั้นดีเท่าใดซูเจินจูก็ยิ่งตระหนักได้ถึงอิทธิพลของเจ้ากรมอาภรณ์ ร้านค้าขนาดสี่ห้องกว้างขวางเกินกว่าจะดูได้อย่างละเอียดทั้งหมด แม้ซูเจินจูจะพยายามเดินดูจนทั่ว แต่ด้วยประกอบกับนายน้อยหงที่คอยอธิบายสิ่งต่างๆภายในร้านอย่างใส่ใจทำให้กินเวลายาวนานเกือบสามชั่วยาม“อีกสองวันถึงจะเป็นงานเปิดรับศิษย์ของสำนักต่อสู้ พรุ่งนี้คุณหนูซูอยากไปที่ใดหรือไม่ ข้าจะพาท่านไปเอง”“ไม่รบกวนนายน้อยเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะพาคนของข้าไปเดินเล่นในเมือง เพียงเดินเล่นไปเรื่อยๆมีจุดหมายใด”“เช่นนั้นข้าจะให้คนคุ้มกันของข้ามาดูแล”“ข้าคงต้องเสียมารยาทปฏิเสธเสียแล้ว หลิวหยาง จางหมิ่นของข้าคงเพียงพอจะปกป้องข้าได้ อย่าให้ข้าทำให้นายน้อยหงต้องเป็นกังวลเลยเจ้าค่ะ”“เช
วันถัดมาในยามเฉิน เฟยอวี่เข้ามาหาซูเจินจูเพื่อรายงาน“คุณหนู บ่าวสืบข่าวมาได้เล็กน้อยเจ้าค่ะ พ่อค้าต่างแคว้นหลายคนเร่งเดินทางเข้าเมืองหลวง ของมีค่าหลายอย่างถูกขนเข้าเมืองหลวงผ่านขบวนขนสินค้า จุดหมายคือตรอกถงยู่ ที่เป็นแหล่งจัดงานประมูลของตลาดมืด นี่เป็นของรายการของส่วนหนึ่งที่บ่าวได้มาจากบัญชีส่งสินค้าเจ้าค่ะ”“งานประมูลของตลาดมือหรือ น่าสนใจ เจ้ารู้เรื่องงานนี้ดีแค่ไหน”“บ่าวเคยได้ยินว่าเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อประมูลของหายาก มีทั้งโสมพันปี อาวุธต่างๆ หยกม่วง หินแร่ รวมถึงหัวของผู้ครองแคว้นก็เคยถูกนำมาประมูลเจ้าค่ะ การจะเข้าร่วมประมูลได้ต้องจ่ายเงินค่าเข้าคนละหนึ่งพันตำลึง และหากมีของที่ต้องการนำเข้าประมูลก็นำของไปประเมิณได้เช่นกันเจ้าค่ะ”“เจ้าทำงานได้ดีมาก พักสักหน่อยแล้วออกเดินทางไปรอข้าที่เมืองหลวง สืบข่าวเรื่องการประมูลให้ข้า และจองโรงเตี๊ยมที่ปลอดภัยที่สุดเอาไว้ให้เพียงพอกับคนของเรา ข้าจะพาสี่เสวี่ย เฟยหลัน เฟยหรง เฟยเมี่ยว หลิวหยาง จางหมิ่นไป”“บ่าวรับคำสั่งคุณหนูเจ้าค่ะ” เฟยอวี่รับตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงจากซูเจินจูก่อนจะออกจากห้องไป คล้อยหลังเฟยอวี่ออกไปไม่ถึงหนึ่งเค่อซูเจินจูก็ตรง
“เฟยอวี่ การเข้าเมืองหลวงต้องใช้ป้ายผ่านเข้าเมืองด้วยหรือ”“จริงๆแล้วไม่ต้องใช้เจ้าค่ะคุณหนู แต่ชาวบ้านทั่วไปหากต้องการผ่านเข้าเมืองหลวงจะต้องเสียอีแปะเป็นค่าผ่านทางให้กับทหารเฝ้าประตู เสียเยอะหรือเสียน้อยแล้วแต่ว่าผู้เฝ้าประตูเป็นใคร ส่วนป้ายผ่านเข้าเมืองเป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้นเจ้าค่ะ ในความเป็นจริงแล้วป้ายพวกนี้มีขึ้นเพื่อให้คนมีเส้นสายสามารถผ่านเข้าออกเมืองโดยไม่ต้องเสียอีแปะ ไม่ต้องต่อแถว ไม่ต้องตรวจค้นสัมภาระอย่างละเอียดและได้รับความเคารพจากทหารเฝ้าประตู รวมถึงป้องกันไม่ให้พวกทหารสร้างปัญหากับพวกคนรวยและขุนนางด้วยเจ้าค่ะ”“อ่อ แค่ยื่นป้ายออกไปก็ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วยแล้วสินะ ช่างดีจริงๆ”“นายน้อยหงคงเหลือเส้นสายอยู่ไม่น้อยถึงขนาดใจกว้างทำป้ายให้คุณหนูได้ง่ายๆ”“เขาเห็นข้าเป็นโอกาสที่จะช่วยร้านผ้าฟู่หงเทียนกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งต่างหาก เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ ออกไปสืบข่าวดูสักหน่อยก็ได้ ไปเมืองหลวงครั้งนี้ข้าจะพาเจ้า สี่เสวี่ย หลิวหยาง จางหมิ่น เฟยหรง เฟยเมี่ยว และเฟยหลันไปด้วย บอกเพ่ยเพ่ยกับเยว่ชิงเสียแต่เนิ่นๆให้นางได้เตรียมตัวจัดการงานและดูแลเรื่องต่างๆทั้งหมดที่นี่ตอนที่พวกเรา
“พ่อหนุ่มเจิ้งผู้นี้ดูมีลับลมคมในเหลือเกินนะเจ้าคะ จะว่าไปพ่อหนุ่มเจิ้งเองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องของตน แม่แต่แซ่ก็ไม่บอก ชื่อเจิ้งก็ไม่รู้ว่าใช่ชื่อจริงหรือไม่”“นั่นสิเจ้าคะคุณหนู คุณหนูเองก็แปลกนัก แค่พ่อหนุ่มเจิ้งบอกจะมาด้วยก็ปล่อยให้มา บอกจะไปก็ไม่ถามไถ่สิ่งใดสักคำ”“ช่างเขาเถอะ เพียงแค่ไม่มีพิษภัยกับพวกเราก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆรู้มากไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี”“เจ้าค่ะคุณหนู”ซูเจินจูพาเจียงไป๋ไปยังห้องที่เจียงชิงนอนอยู่และให้ซินเซียงยกที่นอนอีกหนึ่งอันมาวางข้างเตียงเพื่อให้พี่น้องได้นอนห้องด้วยกัน“เจ้านอนห้องเดียวกันไปก่อน ช่วงนี้ก็คอยดูแลนาง ข้างๆห้องเจ้าคือห้องของชิงหยุน มีอะไรก็ไปหานางได้ สี่เสวี่ยเจ้าไปบอกให้ซินเซียงหาอะไรให้เด็กนี่กินเสียหน่อยเถอะ”“เจ้าค่ะคุณหนู”เจียงไป๋มองคนทั้งหมดทยอยออกจากห้องไปก่อนจะหันกลับมานั่งข้างเตียงของเจียงชิง“พี่สาว ท่านรีบตื่นขึ้นมานะ…”... เช้าวันต่อมาซูเจินจูเดินทางเข้าร้านหว่างลี่เซียงพร้อมเฟยหลันตั้งแต่ยามเฉิน กิจการของร้านหว่านลี่เซียงเป็นไปด้วยดี คนที่ดูเหมือนจะทะเลาะกับผู้อื่นได้ง่ายๆอย่างเพ่ยเพ่ยกลับทำงานได้อย่างสงบเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นก
“มองอะไร พวกเจ้ามองอะไร ไอ้พวกไม่รู้เรื่องรู้ราว เด็กมันมีวาสนาได้ช่วยเหลือสกุล เลี้ยงมันต่อไปก็ไม่ใช่ว่ามันจะหาเงินให้ข้าได้ถึงยี่สิบตำลึงเสียเมื่อไหร่ ต้องมากินข้าวบ้านข้านอนบ้านข้าไม่สู้ไปกินบ้านอื่นนอนบ้านอื่นแล้วยังได้เงินรึ แล้วเงินที่มันถืออยู่ไม่ใช่ว่าขโมยของข้าไม่หรือไงเด็กอย่างพวกมันจะเอาปัญญาหาเงินมากมายขนาดนี้ได้ที่ไหน เอาเงินข้าคืนมานะไอ้พวกเด็กตัวเหม็น”“ท่านย่านี่เป็นเงินที่พี่สาวหามาได้ ไม่ได้ขโมยเงินของท่าน”“นั่นมันเงินโชคดีที่แม่หนูเจินจูแจกไม่ใช่หรือ บ้านข้าก็ได้มาสองพวง ไหมถักแบบนั้นรูปทรงแบบนั้น ข้าจำไม่ผิดหรอก” ชาวบ้านที่มุงดูอยู่พูดขึ้น“ใช่ ข้าเองก็จำได้ นั่นมันพวงเงินที่แม่หนูเจินจูแจกเมื่อวันเกิด” หัวหน้าหมู่บ้านหวังสำทับขึ้น ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างเคยได้รับพวงเงินโชคนี้ทุกคนล้วนเป็นพยายานให้เด็กน้อยว่าเขาไม่ได้ขโมยเงินของแม่เฒ่าเจียง“เหอะ เอาเข้าบ้านข้าก็ต้องเป็นของข้านั่นแหละ อาไป๋ เข้าบ้าน เหม่ยเหมย เสี่ยวเจี๋ยลากนังเด็กชิงเข้าบ้าน”“แม่เฒ่าเจียง รอเดี๋ยวก่อนเถอะ ข้าขอเจรจาเรื่องเด็กสองคนนี้สักประโยคหนึ่งได้หรือไม่” ซูเจินจูพูดยังไม่ทันจบ เฟยหลันก็เอาตัว
การค้าของร้านหว่านลี่เซียงเต็มไปด้วยความราบลื่น ที่ควรขายได้ขาย ที่ควรสงบก็สงบ กว่าลูกค้าคนสุดท้ายจะออกจากร้านก็เป็นยามโหย่ว หลังจากปิดร้าน เหล่าคนงานที่หมดแรงมานั่งรวมกันอยู่ที่กลางร้าน ซูเจินจูลากเก้าอี้มานั่งก่อนจะขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการเปิดร้านวันแรกจนทุกอย่างผ่านไปด้วยดี วันนี้ถุงหอมขายได้หกร้อยหกใบ เป็นเงินหนึ่งหมื่นสองพันหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง การขายได้จำนวนมากตั้งแต่วันแรกนับเป็นเรื่องดีแต่ซูเจินจูกังวลว่าหากขายดีเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆคงไม่สามารถผลิตมาขายได้ทันสี่เสวี่ยรับหน้าที่สอนเยว่ชิงวาดลายผ้าและผสมสีผ้าไหมหอมหมื่นลี้ เมื่อเชี่ยวชาญแล้วเยว่ชิงจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลผ้าไหมหอมหมื่นลี้พวกนี้แทนสี่เสวี่ย อีกทั้งสี่เสวี่ยยังต้องคุมคนงานเย็บปัก และติดป้ายรับสมัครหญิงสาวที่เชี่ยวชาญงานเย็บปักมาปักถุงหอมหมื่นลี้ที่ร้านหว่านลี่เซี่ยงด้วยเฟยหรงและเฟยเมี่ยวที่เพิ่งได้ข่าวพรรคพวกอีกหนึ่งคนด้วยเห็นว่าพรรคพวกที่เจอนั้นถูกซื้อตัวไปด้วยชายชราที่อยู่กับหลานชายหนึ่งคนบนกระท่อมบนเขา นางไม่ได้ลำบากหรือโดนทำร้ายจึงพักการติดต่อแล้วหันมาช่วยซูเจินจูดูแลร้านหว่านลี่เซียงไปก่อน“เอาล