“เจ้าจะได้ไปเกิดใหม่ในร่างของคุณหนูตระกูลดีผู้หนึ่ง ชีวิตของนางน่าสงสารนัก เพราะหลงเชื่อคำพูดผู้อื่นจึงทำให้มีจุดจบที่ไม่ดี ขอเพียงเจ้าสามารถช่วยเปลี่ยนชะตาชีวิตของนางให้ดีขึ้นก็พอ ส่วนโลกที่เจ้าจะไปอยู่คือโลกคู่ขนานที่มีอารยธรรมเหมือนกับซีรีส์จีนที่เจ้าเคยดูนั่นแหละ”
“ฮะ!! นั่นมันยุคที่ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกเลยนี่คะ แล้วฉันที่มาจากศตวรรษที่ 21 จะใช้ชีวิตในยุคนั้นได้ยังไงล่ะคะ”
น้ำอิงโอดครวญเสียงสั่น ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ นี่มันเกินกว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก
“เช่นนั้นเจ้าอยากได้สิ่งใดเพื่อเป็นการชดเชยจากข้าเล่า ข้าให้เจ้าได้สามข้อ”
หญิงสาวนิ่งคิดไปครู่ หัวสมองของเธอกำลังคิดประมวลผลได้ผลเสีย และสิ่งที่ควรจะขอออกไป
หากว่าเป็นยุคที่เหมือนกับซีรีส์จีนที่เธอเคยดู ชีวิตของเธอก็คงจะไม่ง่ายดายนัก แต่อย่างน้อยเธอก็เกิดใหม่เป็นคุณหนูตระกูลผู้ดี ไม่ใช่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดา ถึงจะได้รับข้อมูลมาน้อยนิด แต่ก็ยังพอคาดเดาความเป็นไปได้บ้าง
ในตอนนั้นเธอก็นึกถึงนิยายที่เธอชอบอ่าน เรื่องราวความรักของคู่พระนางที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคกว่าจะสมหวัง รวมถึงตัวละครตัวโปรดที่คอยเป็นมือเท้าให้กับพระเอกของเรื่อง
น้ำอิงจึงเอาตัวเองไปเปรียบเทียบว่าถ้าเธอเกิดในนิยายเรื่องนั้น เธอจะรอดพ้นจากการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นได้ยังไง
“ข้อแรกฉันขอให้มีความทรงจำของชาติที่แล้วค่ะ ตัวตนของน้ำอิงจะยังคงอยู่กับฉัน ข้อสองฉันสามารถได้กลิ่นของยาพิษได้ ไม่ว่าจะเป็นพิษที่ไร้กลิ่นไร้สี ฉันก็ยังสามารถรับรู้ได้ ส่วนข้อสุดท้ายฉันขอรู้ความนึกคิดของคนที่ฉัน...”
“ไม่ได้! ข้อสุดท้ายเป็นการฝืนชะตาชีวิตมากเกินไป ข้าไม่สามารถมอบให้กับเจ้าได้”
น้ำอิงเริ่มคิดหนัก หากนางไม่สามารถล่วงรู้ความคิดของคนอื่นได้ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นมิตรเป็นศัตรูที่แท้จริง เธอกำลังคิดจะเปลี่ยนคำขอ แต่ท่านเทพกลับเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“ข้อสุดท้ายข้าจะให้อายุขัยของเจ้ายืนนานแล้วกันเพื่อชดเชยอายุขัยในชาตินี้ของเจ้า”
“ที่ว่านานคือได้กี่ปีเหรอคะ”
“จนกว่าเจ้าอยากจะตายก็แล้วกัน ตกลงไหม”
"โอเคค่ะ ถ้าฉันอยากอยู่นานสักร้อยปีก็ได้ใช่ไหมคะ" น้ำอิงถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ อย่างนี้เธอก็กลายเป็นอมตะสินะ
"ข้าไม่คิดว่าเจ้าอยากจะมีอายุยืนนานมากขนาดนั้นหรอกนะ การที่ต้องทนเห็นคนรักตายจากไปทีละคน มันไม่ใช่เรื่องที่น่าพิสมัยเลย"
"นั่นสิคะ งั้นข้าขอเปลี่ยนคำขอใหม่ได้ไหมคะ"
"คงไม่ได้หรอก หึ ๆ ว่าแต่เจ้าไม่ขอมิติวิเศษที่สามารถหยิบของในชาตินี้ของเจ้าได้เหรอ"
“จริงด้วย!! ทำไมฉันถึงคิดไม่ได้นะ”
น้ำอิงใบหน้าถอดสี เธออยากจะดึงทึ้งศีรษะของตัวเองจริง ๆ มัวแต่ไปคิดเรื่องจะเปลี่ยนชะตาชีวิตของร่างที่เธอจะเข้าไปสิง จนคิดถึงหนังสือนิยายเรื่องโปรดที่เธอเพิ่งอ่านจบไปรอบที่สาม เลยลืมนึกถึงความเป็นอยู่และการเอาตัวรอดไปเสียได้
“เอ่อ...ฉันขอเปลี่ยนคำขอได้ไหมคะ”
น้ำอิงมองมาทางท่านเทพด้วยสายตาเว้าวอน
ท่านเทพส่ายหัวให้กับวิญญาณสาว “คำขอที่เจ้าขอไปนั้น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เอาล่ะ ได้เวลาของเจ้าแล้ว”
เอ่ยจบ ท่านเทพก็ใช้พลังผลักวิญญาณของน้ำอิงให้หมุนวนเข้าไปในอากาศ
“กรี๊ดดดดดด!!”
วิญญาณสาวหมุนวนเข้าไปในช่องว่างของมิติ ก่อนจะเลือนหายไปราวกับที่แห่งนี้ไม่เคยมีวิญญาณตนนี้มาก่อน
ท่านเทพแห่งโชคชะตาผุดยิ้มออกมาอย่างยินดี ในที่สุดเขาก็สามารถทำให้วิญญาณของน้ำอิงกลับไปยังที่ที่ควรอยู่ได้เสียที หลังจากที่ต้องตามหาดวงวิญญาณของเธอมานานแสนนาน
ส่วนคำขอของน้ำอิงนั้นเป็นเขาที่เข้าไปปรับเปลี่ยนความคิดของน้ำอิงทำให้เธอคิดถึงนิยายที่เคยอ่าน ส่วนหนึ่งที่เขาทำไปก็เพราะมันจะมีประโยชน์กับน้ำอิงมากที่สุด
“ข้าขออวยพรให้เจ้ามีชะตาชีวิตที่เปลี่ยนไป...เสิ่นลู่ซือ”
เฮือก!!
หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงนอนหลังใหญ่ลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ สายตาคู่หวานกวาดตามองสถานที่แปลกใหม่ ก่อนจะระลึกได้ถึงเรื่องราวที่ไม่คาดฝันเมื่อครั้งที่นางเป็นวิญญาณ และได้พบเจอกับท่านเทพชะตา
ดวงตาคู่หวานกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อเรียกสติที่ยังคงสับสนมึนงงให้กลับมา เวลานี้นางหาใช่น้ำอิงแม่ค้าสาวขายโจ๊กหมู แต่คือเสิ่นลู่ซือ คุณหนูแห่งจวนราชครู ผู้เป็นอาจารย์ขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นหวง
ความทรงจำมากมายของเจ้าของร่างนี้ ไหลเข้าสู่สมองของเธอราวกับน้ำหลาก ทั้งความสุขและความเศร้าที่เจ้าของร่างพบเจอ ล้วนประดังประเดเข้ามาในสมองของน้ำอิงราวกับสายน้ำที่รุนแรง
อึก!
น้ำอิงกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บปวด ความทรงจำมากมายที่ไหลเข้ามานั้น ทำให้จู่ ๆ น้ำตาก็ไหลลงมาอาบสองแก้มใส ความเศร้าเสียใจที่น้ำอิงรู้สึกได้มันช่างบีบรัดหัวใจให้รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก
“ฮือ ๆ ทำไมชีวิตของเธอถึงได้น่าสงสารอย่างนี้นะเสิ่นลู่ซือ ไม่เป็นไรนะ คนเราล้วนทำผิดพลาดกันได้ ในเมื่อเขาไม่รักก็อย่าได้ดันทุรังอีกต่อไปเลย นับแต่นี้ต่อไปฉันจะใช้ร่างของเธออย่างคุ้มค่าที่สุด และเปลี่ยนชะตาชีวิตที่น่าเศร้าของเธอให้ดีขึ้นเอง ฉันสัญญา”
น้ำอิงให้คำมั่นสัญญากับเจ้าของร่าง ต่อแต่นี้ไปชีวิตของเสิ่นลู่ซือจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!!
แต่เอ๊ะ! ทำไมชื่อของเสิ่นลู่ซือ ชื่อแคว้น ชื่อองค์รัชทายาทมันถึงคุ้นหูจังเลยนะ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
น้ำอิงในร่างของเสิ่นลู่ซือขมวดคิ้วมุ่น ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะเบิกโพลงด้วยความตกใจ
แคว้นหวงคือชื่อแคว้นในนิยายเรื่องศึกรักชิงบัลลังก์เลือดนี่น่า ส่วนองค์รัชทายาทก็คือพระเอกของเรื่องนี้ และเสิ่นลู่ซือคือนางร้ายที่ตอนจบจะต้องตายด้วยน้ำมือขององค์รัชทายาทผู้คลั่งรักนางเอก
ไม่ได้การแล้ว เธอจะไม่ยอมตายเพราะความรักหน้ามืดตามัวอีกต่อไป!
พระเอกผู้รักเดียวใจเดียว โหดกับคนทั้งโลกแต่ใจดีกับนางเอกแค่คนเดียว เธอจะไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยเด็ดขาด
ชาตินี้น้ำอิงผู้นี้จะคว้าองครักษ์หนุ่มรูปหล่อหุ่นล่ำ ผู้เป็นมือขวาขององค์รัชทายาทมาเป็นสามีเอง!!
หลี่อี้เฉินเงยหน้ามองร่างสูงของหวงเฟยหลง ยังไงวันนี้เขาจะต้องทำให้มู่ซูเจียวกลายเป็นคนรักของเขาให้ได้!“ดี ดีมาก แล้วนี่เล่า”จบคำของเขา องครักษ์ของหวงเฟยหลงก็พาตัวนางกำนัลผู้หนึ่งเข้ามา หญิงสาวเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว นางเอ่ยคำสารภาพเพราะหวาดกลัวความผิด และต้องการรักษาชีวิตรอดเมื่อครู่นี้หลังจากที่นางแยกตัวจากขันทีที่เป็นคนของฮองเฮา คนขององค์รัชทายาทก็มาพาตัวนางให้มาที่นี่ ทั้งยังข่มขู่ว่าหากนางไม่สารภาพผิด นางและครอบครัวจะต้องโทษประหารชีวิต โทษฐานที่ทำร้ายคุณหนูสูงศักดิ์ผู้เป็นว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาทนางไม่มีทางเลือกจริง ๆ“เป็น เป็นคุณชายหลี่ที่วางแผนจะล่วง...” สายตาคมกริบที่ตวัดมองมาให้เปลี่ยนคำพูด “เอ่อ...คุณชายหลี่ตั้งใจลวงคุณหนูมู่ให้มาที่นี่เพคะ เพราะต้องการจะทำร้ายคุณหนูมู่ ที่ไม่รับคำสารภาพรักจากคุณชายหลี่เพคะ”“เป็นอย่างไร ทั้งพยานและหลักฐานที่มัดแน่นเช่นนี้ เจ้าจะกล้าเล่นลิ้นอะไรได้อีก”“ไม่ ไม่ใช่ ข้าแค่อยากหลับนอนกับนางเท่านั้น!!”หลี่อี้เฉินที่เผลอหลุดปากสารภาพความจริง หน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ สายตาที่เบนไปมององค์รัชทายาท ยิ่งทำให้เขาอยากจะกัดลิ้นตายเสียเดี
บทที่ 5ข้อเสนอหวงเฟยหลงที่ลอบติดตามมู่ซูเจียวก็เห็นความผิดปกติในทันที ทางเดินที่นางกำนัลพาไปนั้นไม่ใช่ตำหนักรับรอง แต่กลับเป็นตำหนักเล็กของพระสนมนางหนึ่งที่ถูกปิดตายไปแล้ว หนทางที่ต้องลัดเลาะไปมานั้นดูวกวนไปมา จนเขาอดจะสงสัยกับการกระทำนี้ของนางไม่ได้มู่ซูเจียวที่เคยมาเยือนวังหลวงหลายคราก็เริ่มตงิดใจ นางหยุดชะงักไม่ก้าวเดินตามนางกำนัลไปอีก“คุณหนูมู่มีสิ่งใดหรือเจ้าคะ”นางกำนัลที่รู้ว่ามู่ซูเจียวไม่ได้เดินตามมานั้นจึงรีบเอ่ยถามทันที หากครั้งนี้นางทำแผนการของฮองเฮาล้มเหลว ตัวนางและครอบครัวคงไม่แคล้วต้องไปเยือนปรโลกเป็นแน่“ข้าคิดว่าเจ้าอาจจะมาผิดทาง ทางนี้มันเป็นวังหลังของฝ่าบาทมิใช่หรือ เหตุใดเจ้าจึงไม่พาข้าไปตำหนักรับรองกัน”“คือ...ตำหนักรับรองมีคุณหนูคุณชายมาพักกันหมดทุกห้องแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูมู่ไปที่ตำหนักรับรองอีกที่หนึ่งนะเจ้าคะ”“เช่นนั้นหรือ แต่ข้าว่า...”ฟุบ!!ขันทีที่ติดตามมาทางด้านหลัง ลอบสับมือที่หลังคอของมู่ซูเจียวจนนางสลบไปในทันที ขันทีผู้นี้ประคองร่างที่ไร้สติของมู่ซูเจียวไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้น“ไม่ได้เรื่อง แค่งานง่าย ๆ ยังทำไม่สำเร็จ”“ขะ ขอโทษเจ้าค่ะ”“รีบพานางไปเร็
เสิ่นลู่ซือที่เห็นชายหนุ่มชะงักค้างไป นางก็ฉวยโอกาสคว้าลำคอหนาของเขาให้โน้มลงมาใกล้ ริมฝีปากเล็กประกบจูบริมฝีปากหนาโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว ลิ้นเล็กของนางตวัดปาดชิมไปมาด้วยความชอบใจ ก่อนจะผละออกเพื่อดูสีหน้าที่ตกตะลึงของเขาด้วยความขบขันบุรุษผู้นี้ช่างน่าเอ็นดูนัก เขาคงจะไม่ประสีประสากับเรื่องนี้ใช่หรือไม่ไม่เป็นไรนะ อดีตแม่ค้าสาวที่ชื่นชอบดูหนังเรต 20+ ผู้นี้ จะใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมากกว่า10 ปีเพื่อสอนเขาเอง“อ่า...”โม่โฉ่วที่ถูกสัมผัสนุ่มละมุนของเสิ่นลู่ซือเมื่อครู่ หัวสมองของเขาพลันขาวโพลนไปชั่วขณะ ริมฝีปากหยักหนากระตุกยิ้มก่อนจะเป็นฝ่ายแนบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับให้ความรู้สึกร้อนเร่ามากกว่าคราแรก“อื้อ ข้า...หายใจไม่ทัน”มือเล็กยกขึ้นมาทุบหน้าอกแกร่งหลายครั้ง จูบของเขาช่างเผ็ดร้อนยิ่งนัก นี่เขาไม่ใช่ลูกแกะน้อย แต่เป็นสุนัขจิ้งจอกที่ห่มหนังแกะใช่หรือไม่“เป็นท่านที่ต้องการเองนะคุณหนูเสิ่น”ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมากระซิบที่ใบหูเล็ก แล้วขบเม้มที่ติ่งหูของนางอย่างหยอกเย้า ก่อนจะเบนมาดอมดมที่ซอกคอขาวหอมกรุ่นที่อยู่ตรงหน้า ริมฝีปากร้อนลวกไล่ดูดดึงขบเม้มที่ลำคอระหง จนผิวกายที่เ
บทที่ 4ข้าต้องการท่านหวงเฟยหลงที่คอยมองคู่หมั้นของตนตลอดเวลานั้น เขารู้สึกว่าเรื่องราวครั้งนี้มีข้อพิรุธหลายจุด และเขาเองก็ยังคงหวาดระแวงในตัวเสิ่นลู่ซือไม่เสื่อมคลายขณะที่เขากำลังคิดว่าจะทำอย่างไร กระดาษแผ่นเล็กก็ถูกลอบส่งมาให้กับโม่โฉ่วผ่านทางนางกำนัล ด้านในมีข้อความว่า 'ช่วยซูเจียว' โม่โฉ่วยื่นแผ่นกระดาษให้องค์รัชทายาท เขารับมาอ่านก่อนจะเอ่ยสั่งการเสียงเข้ม “ลายมือของลู่ซือ เจ้าไปจับตาดูลู่ซือเสีย ข้าเกรงว่าจะเกรงเรื่องร้ายกับนางเช่นกัน”“แล้วคุณหนูมู่เล่าขอรับ”“ข้าจะไปดูแลนางเอง ฝากด้วยนะโม่โฉ่ว อย่างไรนางก็เปรียบเหมือนน้องสาวของข้า”“ขอรับ”โม่โฉ่วที่เป็นหัวหน้าองครักษ์ขององค์รัชทายาท จึงได้ลอบปลีกตัวออกจากงานเลี้ยง โดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นฝีเท้าบางเบาดุจขนนกลอบติดตามเสิ่นลู่ซือมาไม่ห่าง คิ้วกระบี่ขมวดกันแน่นเมื่อเริ่มเห็นความผิดปกติของหญิงสาว เรือนร่างบอบบางของนางเดินโซเซไปมาคล้ายกับคนเมาสุรา แต่เท่าที่เขาเห็นนางเพิ่งดื่มสุราไปเพียงสองจอกมิใช่หรือ'เหตุใดจึงเมามายเสียแล้ว นางคงจะคออ่อนมากสินะ'ร่างสูงใหญ่ที่ติดตามมาไม่ห่างหัวเราะขันคนงาม รู้ว่าตัวเองคออ่อนแล้วยังยกจอกสุร
เสิ่นลู่ซือที่รู้สึกถึงสายตาที่มองมาของหวงเฟยหลง นางจึงได้เงยหน้าขึ้นไปมองบ้าง คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อเห็นสายตาที่แทบจะกลืนกินมู่ซูเจียวองค์รัชทายาทผู้นี้ช่างคลั่งรักมากไปหรือไม่ ขนาดอยู่ในงานเลี้ยงยังไม่มีการสงวนท่าทีเลย มิน่าเล่ามู่ซูเจียวของนางจึงได้ถูกผู้อื่นปองร้าย และริษยามากถึงขนาดนี้แล้วองครักษ์ผู้หล่อเหลาของนางเล่า เขามาที่นี่ด้วยหรือไม่นะด้วยความสงสัยเสิ่นลู่ซือจึงได้ย้ายสายตาของตนเองมองรอบกายของหวงเฟยหลง ก่อนจะสบสายตากับโม่โฉ่วที่มองมาทางนางพอดีโฉมสะคราญแย้มยิ้มอย่างยินดี พลางยกจอกสุราผลท้อขึ้นมา หมายจะสื่อความนัยให้โม่โฉ่วได้รู้‘สุราจอกนี้ ข้าขอดื่มให้ท่าน...ว่าที่สามีของข้า’มุมปากเล็กยกโค้งดั่งพระจันทร์เสี้ยว ก่อนจะกระดกจอกสุราในมือจนหมดจอกโม่โฉ่วที่มองเสิ่นลู่ซือพลันชะงักค้าง เขาเผลอก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพราะสายตาที่ดูไม่น่าไว้วางใจของนาง และไม่คิดว่าเขาผู้นี้กำลังถูกหญิงงามหยอกเย้า ยิ่งสายตาหวานที่มองมานั้นพาลให้เขารู้สึกคันยุบยิบในหัวใจหากเป็นน้องสาว เขาคงจะเอาไม้มาฟาดที่ก้นนางเสียเต็มแรง โทษฐานที่กล้าเกี้ยวพาบุรุษซึ่ง ๆ หน้าเช่นนี้!!ทางด้านหญิงงามที่เย้าแหย่บ
บทที่ 3พบหน้าว่าที่สามีขณะที่สตรีทั้งสองกำลังปรับความเข้าใจอยู่นั้น อีกด้านหนึ่งกลับมีเงาของสตรีนางหนึ่งยืนหลบมุมอยู่หลังเสา นางมองมาทางทั้งสองด้วยแววตากรุ่นโกรธ เพลิงโทสะอัดแน่นไปทั่วร่างกายบอบบาง แววตามาดร้ายจับจ้องทั้งสองไม่วางตา“ที่ข้าสั่งไปได้เรื่องหรือไม่” น้ำเสียงหวานเอ่ยถามนางกำนัลที่ถูกซื้อตัว“ระ เรียบร้อยเจ้าค่ะ ข้าน้อยใส่ในถ้วยน้ำชาของคุณหนูมู่แล้วเจ้าค่ะ”“ดี” ดวงหน้างามเผยรอยยิ้มเย็นชานางหยิบเงินตำลึงทองให้กับนางกำนัลผู้นั้น แล้วหมุนกายเดินจากไปในทันที ทำเหมือนกับทั้งสองไม่เคยพบหรือรู้จักกันมาก่อนหลังจากที่เสิ่นลู่ซือปรับความเข้าใจกับมู่ซูเจียว ทั้งสองก็เริ่มพูดคุยกันได้อย่างถูกคอมากยิ่งขึ้น“องค์รัชทายาททรงเคยร้องไห้เพราะวิ่งหนีหนอนด้วยหรือเจ้าคะ”มู่ซูเจียวยิ้มขำกับเรื่องเล่าในวัยเด็กของพระคู่หมั้น นางเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกจึงอดจะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ดูท่าทั้งสองคงจะผูกพันกันมาก คงไม่แปลกที่ตอนแรกเสิ่นลู่ซือจะหึงหวงองค์รัชทายาท จนพาลมาผิดใจกับนางที่เป็นพระคู่หมั้นของพระองค์“พระองค์ทรงขยะแขยงสัตว์ตัวเล็กที่เนื้อตัวนุ่มนิ่มเจ้าค่ะ ข้าเลยชอบแกล้งจับหนอ