"คนคนนั้นชื่อมะลิ" "ฉันไม่ได้อยากรู้" "มะลิเกิดวันที่ยี่สิบเก้ากุมภาและปีเดียวกับพี่" เขาคิดจะทำอะไร จะจับผิดงั้นเหรอ "ประเทศนี้มีคนหกสิบล้านคน นายรู้หรือเปล่าว่าในหนึ่งวัน มีเด็กเกิดวันเดียวกันกี่คน" "..." "เรื่องบังเอิญอะไรแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ" "..." "ฉันจะกลับบ้าน" ฉันพูดพลางจะก้าวขาเดินต่อเหมือนไม่สนใจอะไร "แต่มะลิมีปาน..." "..." "เหมือนที่พี่มี" ฉันชะงักและครั้งนี้รู้สึกได้เลยว่าหัวใจฉันไหววูบไปมากแค่ไหน ฉันเม้มปากเข้าหากันอย่างตึงเครียดและรู้สึกกดดันมากขึ้น ฉันคงไม่ถามหรอกว่าเขาเห็นปานของฉันได้ยังไง ถ้าพูดมาขนาดนี้ก็คงจะเป็นคืนนั้นที่บ้านเขา... ฉันแค่ไม่คิดว่าเขาจะได้เห็นมัน ไม่คิดจริงๆ! "ปานดำรูปคล้ายขนนกที่กลางหลังตำแหน่งเดียวกับพี่" "..." "ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าในหกสิบล้าน มันจะบังเอิญมีคนที่มีอะไรตรงกันไปหมดแบบนี้กี่คน" "แล้วยังไง!"
Lihat lebih banyakปึ้ง~
"เวรกรรม!" ฉันปิดประตูรถอย่างรุนแรงเพราะจู่ๆรถคู่ใจของฉันก็ดันมาดับไปซะดื้อๆ มันอารมณ์เสียเพราะฉันต้องรีบไปทำงานและเมื่อวานฉันเพิ่งเอารถออกมาจากอู่หนึ่ง คือรถฉันเพิ่งเสียและฉันก็เพิ่งซ่อมมาหมาดๆ แล้วมันก็ดันจะเสียอีกแล้วเหรอวะ "ทำไมงอแงแบบนี้ ถ้าพังบ่อยแบบนี้ฉันจะเอาแกไปขายเป็นเศษเหล็กแล้วซื้อรถใหม่ซะ!" ฉันเท้าเอวพูดกับรถของตัวเองราวกับคนไม่ปกติ คือมันคงไม่มีใครมาพูดกับรถกับสิ่งของเหมือนฉันไง ถ้าใครได้เห็นก็คงคิดว่าฉันสติไม่ดีแน่ๆ "โอ้ย ติดเถอะ ขอร้องล่ะ" ฉันแทบจะกราบรถตัวเองอยู่แล้ว ตรงนี้ทำไมดูไม่ค่อยมีรถผ่านไปมาก็ไม่รู้ ฉันเพิ่งเคยมาแถวนี้ครั้งแรกนะ คิดว่าตัวเองไม่หลงหรอกแต่พอทางมันเงียบ มันก็เลยดูเปลี่ยว แถมตอนนี้ก็มืดแล้วด้วย ยังไงก็เถอะ ฉันขอให้มีรถผ่านมาซักคันก็ยังดี... บรื้น~ "อ๊ะ นั่นไง" ฉันยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเสียงรถปิ๊กอัพสีดำสนิทคันหนึ่งกำลังขับตรงมาทางนี้ ฉันกระโดดออกจากหน้ารถของตัวเองแล้วโบกมือไปมา เพื่อให้คนขับที่อยู่ด้านในรถที่ติดฟิล์มสีดำมองเห็นฉัน ไม่นานรถคันนี้ก็ชะลอและเบี่ยงเข้าข้างทางจอดต่ออยู่ที่ท้ายรถของฉัน ฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งเปิดประตูลงมาจากรถ เขาใส่เสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์ หน้าตาก็... หล่อนะ แต่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ เพราะเขาไม่ได้ยิ้มหรือพูดอะไรเลย สวบ~ แต่ฉันก็เลือกที่จะเดินเข้าไปหาเขาอย่างใจกล้าเพื่อกล่าวขอความช่วยเหลือ "คือว่า..." ฉันอ้าปากจะพูดกับเขาแต่ก็ต้องชะงักเพราะแอบเห็นสายตาคมกริบของเขาที่กวาดมองฉันทั้งตัว ก็นะ ฉันใส่เสื้อสายเดี่ยวสีขาวกับกระโปรงสีเดียวกัน แต่งหน้าค่อนข้างเต็ม เพราะฉันจะต้องรีบกลับไปไลฟ์สดให้ทันเวลา ตอนนี้ฉันน่ะ มีอาชีพหลักเป็นแม่ค้าขายเสื้อผ้าแฟชั่น และวันนี้ฉันก็เพิ่งไปทำธุระและรับเสื้อผ้ามา ก็กะว่ากลับมาจะมาไลฟ์สดขายเสื้อผ้าตอนประมาณสองทุ่มตามเวลาที่ลงไว้ในเพจนัดลูกค้าไว้ "..." แต่เขาก็มองฉันแค่แว่บเดียว ก็เลื่อนสายตาไปมองรถของฉันโดยไม่พูดอะไร ฉันจะมองว่าเขาเป็นคนพูดน้อย ก็เลยไม่สนใจกิริยาของเขาและตัดสินใจพูดต่อ "คือว่า รถฉันจู่ๆมันก็ดับ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร คุณพอจะช่วย..." "เปิดกระโปรง" "ห้ะ?!" ฉันตกใจจนอดอุทานเสียงดังออกมาไม่ได้นะ อยู่ดีๆมาพูดโพล่งอะไรแบบนี้ออกมา ก็รู้อยู่หรอกว่าเขาคงหมายถึงกระโปรงหน้ารถ! "รถ" เขาพยักเพยิดหน้าไปที่รถเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดที่ไม่ได้สื่อสารออกไปทางสองแง่สองง่ามแบบตั้งใจ ฉันแอบถอนหายใจและพยักหน้าเบาๆก่อนจะหมุนตัวหันหลังเดินไปเปิดกระโปรงหน้ารถให้เขาตามที่เขาบอก แอบกรอกตาด้วยแหละ ก็ไม่รู้จะประหยัดคำพูดอะไรนักหนา กลัวดอกพิกุลทองจะร่วงหรือไงกัน? "..." ฉันเดินไปหยิบเสื้อคลุมของตัวเองที่ตอนแรกถอดไว้ในรถและมายืนดูผู้ชายคนนี้ใกล้ๆและกำมือถือเอาไว้ในมือ อย่างที่บอกว่าฉันใส่ชุดวาบหวิวพอสมควร ที่สำคัญตรงนี้มันก็มืดพอดู ถึงฉันจะเป็นคนโบกมือเรียกให้เขามาช่วย แต่ฉันก็ไม่ควรไว้ใจผู้ชายง่ายๆถูกไหม ฉันยืนมองเขาที่ก้มๆเงยๆทำอะไรก็ไม่รู้อยู่ เห็นเขาขมวดคิ้วมุ่น สวบ~ "คุณคะ?" ฉันเอ่ยขึ้นอีก เขาชะงักและพ่นลมหายใจออกมา "คือฉันอยากรู้ว่ามันใช้เวลานานมั้ยคะ พอดีว่าฉันต้องรีบไปทำงาน คุณซ่อมมันได้มั้ยคะ หรือว่าต้องโทรเรียกอู่ เพราะเมื่อวานฉันเพิ่งจะเอารถออกมาจากอู่เอง วันนี้มันก็เป็นอีกแล้ว" "ซ่อมอู่ไหนมา?" เสียงเขาพูดขึ้น "ก็อู่ละแวกใกล้ๆที่พัก..." "เปลี่ยนอู่?" "ทำไมคะ?" "โดนเปลี่ยนเครื่องไปไม่รู้เลยหรือไง" "ห้ะ?" เปลี่ยนเครื่อง! "จริงเหรอคะ" "ไม่เชื่อก็ได้ แล้วแต่" "ละ แล้ว แถวนี้พอจะมีอู่มั้ยคะ" "มี อยู่ไม่ไกล" "แล้วจะนานมั้ยคะ ฉันต้องทันสองทุ่ม" "ไม่ทัน เร็วสุดก็สามวัน ต้องเอาเครื่องสับปะรังเคนี่ออกแล้วเปลี่ยนใหม่" ฉันมองหน้าเขา ทำไมเขาดูรู้ดีจังเลย... ไม่ได้หลอกฉันจริงๆใช่ไหมนะ? เขายืดตัวขึ้นตรงพลางปิดกระโปรงรถลงและหันมามองหน้าฉัน "ถ้างั้น...คุณพอจะติดต่ออู่นั้นให้ฉันได้มั้ยคะ" ฉันถาม เขาพยักหน้าพลางเดินกลับไปที่รถและหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทร ฉันยืนมองอยู่ตรงนี้เห็นเขาคุยกับใครไม่รู้สักพักก็เดินกลับมา "เดี๋ยวจะมีรถมาลาก" "ขอบคุณนะคะ..." "จะไปทำงานหรือจะตามไปที่อู่ก่อน?" เขาถามขึ้นอีก พอพูดเยอะขึ้นก็พูดไม่รอจังหวะให้ฉันพูดให้จบเลยนะ หึ "แถวอู่นั้นจะมีแท็กซี่มั้ยคะ ถ้าต้องทิ้งรถไว้ ฉันคงต้องขึ้นแท็กซี่" ฉันถาม "เดี๋ยวเรียกแท็กซี่ให้แล้วกัน" สุดท้ายเขาก็พยักหน้าและพูดขึ้น จากนั้นก็เดินไปที่รถตัวเองและขึ้นไปนั่งรอบนรถอย่างสบายใจเฉิบ ส่วนฉันก็ได้แต่ยืนตบยุงเก้ๆกังๆอยู่แบบนี้ พอมองไปรอบๆก็วังเวงดีเหมือนกันเนอะ... บรื้น~ วี้ดวิ้ว~ แถมยังมีวัยรุ่นสองคนขี้มอเตอร์ไซค์ผ่านไปพร้อมกับผิวปากแซวฉันด้วย แล้วก็นะ เลี้ยวรถกลับมาทำบ้าอะไรวะ! ก็อก ก็อก~ สุดท้ายฉันก็รีบเอาตัวรอดด้วยการเดินไปเคาะกระจกรถเขา ก็ไหนๆฉันก็ขอร้องให้เขาช่วยขนาดนี้แล้ว ฉันก็ขออีกนิดคงไม่เป็นไรหรอกเนอะ เขาเลื่อนกระจกลงมาและมองหน้าฉัน "คือว่า...ขอฉันขึ้นไปนั่งรอบนรถได้หรือเปล่าคะ" ปกติฉันไม่ใช่คนพูดจาสุภาพอ่อนน้อมขนาดนี้หรอกนะ แต่ฉันก็ต้องเอาตัวรอดไง ถึงมันจะแปลกๆปากไปบ้าง ก็เอาเถอะ เขามองหน้าฉัน ก่อนจะเหลือบมองรถมอเตอร์ไซค์คันเดิมที่วนรถกลับมาพร้อมกับถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าและปลดล็อกประตูให้ "นั่งข้างหลัง" "คะ?" ฉันร้องถามเมื่อฉันจะขึ้นไปนั่งบนเบาะด้านข้างคนขับแต่เขากลับบอกให้ฉันเข้าไปนั่งที่เบาะแคปด้านหลัง ก็ไม่เข้าใจว่าจะให้เข้าไปทำไมให้ลำบากเหมือนกัน "ถ้าไม่นั่งก็แล้วแต่" เขาพูดพลางเบนสายตามองออกไปนอกรถ เหมือนเป็นการบอกกับฉันกลายๆว่า ถ้าฉันไม่ไปนั่งที่เบาะด้านหลัง ก็ให้ฉันยืนรออยู่นอกรถซะยังไงยังงั้น "ค่ะ นั่งค่ะ" ฟลุ่บ~ แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหมล่ะ ฉันก็ต้องขึ้นไปนั่งที่เบาะด้านหลังเพื่อตากแอร์รออยู่บนรถของเขาด้วยอย่างเงียบเชียบน่ะสิ... และไม่นานก็มีรถที่น่าจะถูกส่งมาจากอู่เพื่อมาลากรถฉันไป ******** อ่ะ เปิดตัวลลิส ว่าแต่ ผู้ชายท่าทางแบบนี้เหมือนใครนะ เจอใครน๊าาา?ฉันชะงักและมองหน้าวีวี่ตอนที่มันพูดออกมาแบบนั้น ฉันมองมันพักนึงก่อนจะใช้มือเคาะหัวมันหนึ่งที "นี่!" "โอ้ย!" "แกไม่ต้องมาทดสอบอะไรฉันเลย ไม่มีอะไรก็คือไม่มีอะไรไง" "โถ่ รู้ทันอีกละนะ" วีวี่ทำหน้ามุ้ยใส่ฉัน เพราะฉันรู้ทันไง ที่มันพูดน่ะ มันก็แค่อยากจะดูปฏิกิริยาของกับคำพูดของฉันไง "แต่น้องเขาก็น่ารักจริงๆนะแก แต่เอาจริงๆฉันก็มูฟออนไปหาเขาไม่ได้หรอก" "..." ฉันหันไปมองหน้ามัน "ก็น้องเขาเห็นขนาดนั้นอ่ะ เขาคงไม่เอาฉันแน่ๆ" "ถ้าคนมันจะรักอ่ะ ต่อให้แกเป็นใครเขาก็จะรักอยู่ดีนั่นแหละ" ฉันพูดออกไป "เดี๋ยวนะ" "อะไร" "แกพูดอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ นี่ใช่แกเหรอลลิส" ฉันชะงักอีกครั้งเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรออกไป บ้าจริง คำพูดพวกนี้มันผุดเข้ามาในสมองแต่ฉันไม่คิดว่าจะพูดมันออกมาสักหน่อยนะ ฉันส่ายหัวให้วีวี่ก่อนจะหลบตามันมามองหน้าจอมือถือแล้วอ่านแชทของลูกค้าแทน "อ้าว" แต่ปรากฏว่า ลูกค้าของฉันออกไปข้างนอกซะแล้ว เธอเลยบอกว่าให้ฉันเอาของฝากไว้ที่เจ้านายของเธอแทน ซึ่งนั่นก็คือมีอยู่แค่สองคน คือคนที่ชื่อเกียร์กับเรย์ ก็อก ก็อก~ ฉันสะดุ้งตอนที่กระจกรถฝั่งคนขับของฉันถ
ทางร้านจัดการแจ้งตำรวจให้เราเรียบร้อยแล้ว แต่เพราะวีวี่เมามาก ตำรวจก็เลยต้องขังพวกนั้นเอาไว้ที่สถานีก่อนและรอให้วีวี่มาให้ปากคำในวันพรุ่งนี้ แต่ก็ถือว่ายังดีนะที่ตรงนั้นมีกล้องวงจรปิด ถึงวีวี่จะจำอะไรไม่ได้ แต่ภาพจากกล้องมันก็ยืนยันได้อยู่แล้วนี่นาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ส่วนตอนนี้น่ะเหรอ ฉันกับวีวี่กำลังกลับบ้านโดยมีเรย์ขับรถตามมาส่งด้วย เพราะว่าฉันเองก็ดื่มไปเหมือนกัน ถึงจะไม่ได้เมาขนาดนั้นแต่เขาก็ยืนยันจะมาส่ง ฉันก็เหนื่อยจะพูดแล้วเหมือนกันก็เลยยอมๆไป "วี่ ถึงบ้านแล้ว" ฉันเขย่าตัววีวี่ให้รู้สติ มองเข้าไปในบ้านแล้วรู้สึกโชคดีหน่อยๆที่พี่สาวกับพี่เขยฉันยังไม่กลับมา เพราะฉันไม่รู้ว่าถ้าเฮียเจอเรย์ในตอนที่เขาไม่ได้เมาเขาจะมีปฏิกิริยายังไง ฉันไม่อยากเดาให้ปวดหัวเหมือนกัน "วีวี่" "อื้อ บ้านไหนนน" วีวี่ปรือตาขึ้นมาถามเสียงยานใส่ฉัน "ม่ายไป ฉันไม่เข้าบ้าน" "นี่บ้านเฮียโจ แกเข้าได้" "ม่าย แกอย่ามาหลอกฉัน" "ฉันจะหลอกแกทำไมล่ะ ฉันไม่พาแกไปบ้านนั้นหรอก ลงมาเร็ว" ฉันพยายามดึงแขนวีวี่ให้ลงมาจากรถ แต่วีวี่กลับเกาะเบาะรถเอาไว้แน่น ฉันส่ายหัวกับมัน แต่ก็เป็นฉันเองไม่ใช่เหรอ ที่พาม
*ร้านชนแก้ว ในขณะที่คนเรากำลังเศร้ามากๆ ปฏิเสธไม่ได้เลยนะ ว่าเหล้าคือทางออกอย่างหนึ่งจริงๆที่จะทำให้เราลืมเรื่องบางเรื่องไปได้ และนั่นแหละ ฉันถึงพาวีวี่มาที่นี่ ฉันพามันมากินเหล้า ถึงฉันจะยังแอบเคืองมันอยู่ แต่นาทีนี้ก็ยังดีกว่าปล่อยให้มันไปไหนต่อไหนตัวคนเดียวไม่ใช่เหรอ ฉันปล่อยมันไปแบบนั้นไม่ได้หรอก และที่ๆฉันพามันมาคือร้านเหล้า เป็นร้านเหล้าแบบนั่งชิลล์ มีดนตรีสดและมีอาหารให้กิน ฉันไม่ได้พามันเข้าผับหรือบาร์อะไรหรอก เพราะสภาพมันไม่ได้ไง และที่ฉันเลือกมาที่นี่เพราะว่ามันมีห้องคาราโอเกะให้ด้วย วีวี่มันเพิ่งร้องไห้มาหมาดๆนะ สภาพหน้าไม่ได้โอเคเท่าไหร่ ฉันว่าที่นี่แหละดีสุดแล้ว ฉันเลือกพาวีวี่ไปที่ห้องคาราโอเกะของร้านที่มีความเป็นส่วนตัวและปล่อยให้มันได้เต็มที่กับความเสียใจของมันเพราะผู้ชายเฮงซวย สวบ~ แต่เดี๋ยวนะ... ขวับ~ "นายตามมาทำไมเนี่ย?" ใช่ เรย์ตามฉันกับวีวี่มาทำไมเนี่ย ฉันคิดว่าเขาขับรถแยกกลับบ้านไปแล้วนะ "ผมเป็นห่วง" เขาตอบออกมา "ฉันไม่ได้เป็นอะไร และเพื่อนฉันคนเดียวฉันดูแลได้" "ผมหิวด้วย" "ห้ะ?" "ก็ผมรีบตามพี่ออกมา เลยไม่ได้กินข้าว" ฉันกรอกตาและถอนหาย
เอี้ยด~ ฉันเหยียบเบรกรถทันทีที่ขับมาถึงที่หมาย ที่นี่เป็นบ้านพักของวีวี่เพื่อนฉันเอง ฉันจอดรถที่หน้ารั้วบ้านพร้อมกับเปิดประตูรถและพุ่งตัวออกมาอย่างรีบร้อน ฉันวิ่งเข้าไปในตัวรั้วบ้านของวีวี่ที่ถูกเปิดค้างไว้ในทันที เมื่อเข้ามาถึงในตัวบ้าน ฉันก็ต้องชะงักเพราะเห็นข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นไปหมด นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย! เพล้ง~ ฉันสะดุ้งอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของแตกดังมาจากชั้นบนของบ้าน และด้วยความเป็นห่วงวีวี่ฉันก็รีบสาวเท้าไปที่บันไดทันที แต่ทว่า... "อ๊ะ!" ฉันชะงักเพราะถูกใครบางคนดึงแขนเอาไว้ ฉันหันขวับไปก็ต้องตกใจเพราะคนที่ดึงฉันไว้คือเรย์ "นาย!" เขามาได้ยังไงเนี่ย? "พี่ขับรถเร็วมากเลยนะ ผมเกือบตามไม่ทัน" "แล้วใครให้ตามมาเล่า" "ก็ผมตกใจ เห็นพี่รีบร้อนออกมา คิดว่าคงมีเรื่องอะไรแน่ๆ" แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับเขาไม่ใช่เหรอ... เพล้ง~ "วี่!" และเสียงของแตกอีกรอบนั่นทำให้ฉันไม่สนใจอะไรกับเรย์แล้ว ฉันรีบหันกลับมาพร้อมกับจะก้าวขาไปอีกรอบ แต่ก็ถูกเขาดึงเอาไว้อีก "นี่!" "พี่จะเหยียบแก้วอยู่แล้ว" เขาพูดแทรกขึ้นพร้อมกับส่งสายตามองลงไปบนพื้น นั่นทำให้ฉันห
-เรย์- "มองอะไรขนาดนั้นอ่ะ?" เสียงกิวถามขึ้นทำให้ผมหันไปมองเธอ กิวเป็นรุ่นน้องที่วิทยาลัยของผม มีพี่สาวฝาแฝดชื่อเกลที่เป็นแฟนของไอ้กัสรุ่นน้องผมเหมือนกัน ตอนนี้ทั้งสองคนมาทำงานที่อู่ของผมกับไอ้เกียร์ ช่วยงานในเรื่องของเพจ การเงินและเอกสารต่างๆน่ะ ถามว่าทั้งสองคนนี้ได้เรียนทางด้านนี้มาไหม จริงๆก็ไม่หรอก แต่ของแบบนี้มันก็ฝึกฝนกันได้ถ้าตั้งใจจะทำจริงๆอ่ะนะ "ชอบอ่อ?" กิวถามอีก ผมเดินไปนั่งบนโซฟาที่จัดเอาไว้สำหรับลูกค้าและเหลือบมองเธอ "สวยๆ ขาวๆ ใครไม่ชอบบ้างล่ะกิว เนี่ยเกลยังคิดอยู่ ว่าพี่เรย์จะปล่อยให้หลุดมือไปมั้ย" คราวนี้เกลพูดขึ้นบ้าง ผมเบนสายตาไปมองเธอ "มองก็รู้แล้ว ว่ารู้จักกันมาก่อน" "ใช่ ทำมาเป็นนิ่ง แต่สายตาเฮียเรย์ไม่นิ่งเลยนะจ๊ะ" "รู้ดี" ผมกระตุกยิ้มเบาๆ "ทำมาเป็นพูด พี่เค้ามีแฟนหรือยังเถอะ ขืนไปจีบมั่วซั่ว แฟนเค้าจะตีหัวเอานา" เกลพูดขึ้นอีก "สืบมาหมดแล้วแหละ เชื่อเถอะเกล" กิวหันไปพยักหน้ากับพี่สาวฝาแฝดของตัวเอง ผมลุกขึ้นยืนพลางเดินไปเขกหัวสองแฝดที่ขยับมานั่งสุมหัวกันแซวผมไปคนละที "ทำงานได้แล้ว นินทาเจ้านายอยู่นั่นแหละ" "นินทาที่ไหน พูดกันต่อหน
2 วันต่อมา... Rrrr~ ฉันชะงักเมื่อโทรศัพท์มือถือของตัวเองดังขึ้น ตอนนี้ฉันกำลังแพ็คของอยู่กับวีวี่ที่มาช่วยและหลังจากแพ็คของชุดนี้เสร็จเราก็จะไปส่งของและจะไปกินข้าวกัน เรากำลังคุยเล่นกันไปด้วยแต่ฉันก็ต้องชะงักและหันมารับสายก่อน "ฮัลโหลค่ะ" (ครับ คุณลลิสราใช่มั้ยครับ) "..." (คุณลลิสราใช่มั้ยครับ?) "คะ ค่ะ" ฉันตอบไป แอบตกใจนิดหน่อยตอนที่ได้ยินเสียงปลายสาย ตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรที่มีเบอร์แปลกโทรมา เพราะปกติก็มักจะมีคนโทรมาหาฉันแแบบนี้อยู่แล้ว มือถือฉันมีสองซิม เบอร์แรกของฉันจะไม่มีใครรู้นอกจากพี่อัญ เฮียและวีวี่ ส่วนอีกเบอร์ก็จะเป็นเบอร์ติดต่อทั่วไป (ผมโทรมาจากอู่จีแอนด์อาร์คาร์แคร์อะไหล่รถยนต์นะครับ) "อ้อค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?" (พอดีจะโทรมาแจ้งว่ารถที่คุณเอามาซ่อม ตอนนี้เสร็จแล้วนะครับ ถ้าคุณสะดวก เข้ามารับรถได้เลยนะครับ) "เสร็จแล้วเหรอคะ งั้น..." "วันนี้เลยแก ฉันอยากเห็นหน้าเจ้าของอู่ตัวจริงแล้ว" ยัยวีวี่กระซิบกระซาบฉัน ฉันเหลือบมองมันพลางส่ายหัวกับความอยากรู้อยากเห็นของมัน "วันนี้ก็ได้ค่ะ น่าจะเข้าไปช่วงบ่ายสองโมง" (บ่ายสองโมง โอเคครับ เชิญเข้ามา
Komen