เข้าสู่ระบบ“ของเหล่านั้นก็เพียงของนอกกาย ท่านเก็บไว้เถอะ!”
“หรงเอ๋อร์...” หลี่จือหลินขยับมือที่กุมมือน้อยไว้ ยกมือของเซียงหรงข้างที่ถือถังหูลู่ขึ้นจรดริมฝีปากเล็กๆ ดูจิ้มลิ้ม “กัดสักคำสิ”
เสี่ยวเซียงหรงตื่นตระหนก รีบส่ายหน้ายิก
เห็นนางใกล้จะหลั่งน้ำตาเต็มทีแล้ว หลี่จือหลินยิ้มน้อยๆ ก่อนย่อตัวลงนั่งชันเข่า ปาดน้ำตาที่ใกล้จะร่วงหล่นให้นาง จุมพิตแก้มนุ่มละมุนที่เริ่มจะโดนความเย็นกัดจนขึ้นสีแดงระเรื่อเหมือนถังหูลู่ที่ถูกตนบังคับจับมือให้ถือเอาไว้เบาๆ
เซียงหรงพลันตกใจจนลืมร้องไห้
อา...บอกนางเรื่องกำไลหยกที่ห้อยคอนางอยู่ดีไหมนะ? หลี่จือหลินไล้ปลายนิ้วเรียวงามไปตามกรอบหน้าเล็กๆ ที่ผิวพรรณขาวนวลผ่องใสราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้
หลังชั่งใจอยู่ชั่วครู่ จวิ้นหวังจ๋างจื่อก็เลื่อนมือขึ้นลูบศีรษะน้อยๆ ของนางอย่างถนอม
ยังก่อน
ถูกแล้ว...เขายังไม่จำเป็นต้องรีบร้อนบอกนางในยามนี้ รอนางโตกว่านี้ค่อยว่ากันใหม่ก็แล้วกัน...
ทว่าเรื่องที่สมควรพูดก็ยังต้องพูด หว่านเมล็ดไปแล้วที่ไหนเลยคนชนชั้นตระหนี่ถี่เหนียวเช่นเขาจะปล่อยให้เสียเปล่า ไม่คิดเก็บเกี่ยวสักนิด ยามนี้เกาทัณฑ์ของเขาง้างสายเอาไว้แล้ว ลูกศรหรือก็ชี้ไปที่เป้า จะไม่ให้ยิงเกาทัณฑ์ข่มขวัญกระต่ายน้อยตาแดงบางตัวสักหน่อยได้อย่างไร?
หลี่จือหลินใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่เชยคางน้องสาวตัวน้อยให้เงยหน้าขึ้นมาสบตา กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หรงเอ๋อร์...ข้าทั้งจับมือถือแขน ทั้งจุมพิตเจ้าต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ หากไม่แต่งให้ข้า จวนเฉินกั๋วกงคงต้องขายหน้าผู้คนแย่แล้ว”
“ข้า...ยามนี้ข้ายังเด็ก ข้าไม่ถือ คนอื่นๆ ก็คงไม่มีผู้ใดคิดอะไรไปในทางที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น...เพราะฉะนั้นท่านก็ลืมเรื่องวันนี้ไปเสีย ถูกแล้ว! รอกลับถึงจวนข้าจะคืนเงินห้าอีแปะให้ท่าน แล้ว...แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็ต่างคนต่างอยู่เหมือนน้ำบ่อกับน้ำคลอง หาก...หากเรื่องในวันนี้ทำให้ท่านต้องเสียหาย ข้ายินดีบวชเป็นแม่ชีชดใช้ให้ท่าน!” ใช่แล้ว! หากนางเข้าสู่ทางธรรม เช่นนั้นนางก็จะไม่ต้องแต่งให้ผู้ใดชั่วชีวิต เหตุใดนางถึงเพิ่งมาคิดได้เอาป่านนี้นะ! นางตัดสินใจแล้ว นางจะบวชเป็นชี!
“ไม่ได้” หลี่จือหลินแย้งเสียงเข้ม “เจ้าคิดจะให้ข้าอับอายขายหน้า เพราะว่าที่ภรรยาถึงกับยอมละทิ้งความสบายในตำหนักอันยิ่งใหญ่ ปลงผมบวชชี ถือศีลกินเจตลอดชีวิต ทว่าไม่ยอมแต่งให้ข้างั้นรึ”
เห็นท่าทางของนางแล้ว เขาหมั่นเขี้ยวจนอดไล่ต้อนนางไม่ได้เลยจริงๆ
“ข้า...ข้าจะชดเชยให้ท่านห้าตำลึงก็ได้...” เสี่ยวเซียงหรงจนปัญญา น้ำตาคลอเบ้าอีกหน
หลี่จือหลินเห็นดังนั้นก็พลันสำนึกได้ว่าคงกลั่นแกล้งรังแกนางเกินไป
จะอย่างไรนางก็ยังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง
จริงสิ...อาจเพราะนางยังเด็ก จึงได้ปฏิเสธจวิ้นหวังจ๋างจื่อเช่นเขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด…รอจนนางโตกว่านี้ เขาค่อยมาไล่ตาม ทวงสัญญาหมั้นหมายห้าอีแปะนี้จากนางก็ยังไม่สาย จะอย่างไรหลังเทศกาลหยวนเซียวในวันนี้ เขาก็ต้องติดตามบิดาเข้ากองทัพ กว่าจะได้กลับเมืองหลวง นางก็คงโตเป็นสาวแล้วพอดี
อืม...เอาตามนี้ก็แล้วกัน
“ต่อให้เจ้ามอบให้ข้าสักห้าพันตำลึง ก็ยังไม่ใช่ห้าอีแปะนั้นที่ข้าจ่ายออกไปอยู่ดี นอกจากนี้ต่อให้เจ้าไม่ยอมรับอย่างไร เรื่องระหว่างพวกเราก็เกิดขึ้นไปแล้ว ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้คนคงรู้กันทั่วแล้วว่าคืนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง...ทว่าตอนนี้เจ้าไม่อยากแต่งให้ข้าก็ช่างเถอะ ข้าก็ไม่มีความคิดอยากบังคับจับเด็กเจ็ดแปดขวบมาแต่งงานเข้าพิธีอยู่แล้ว”
เซียงหรงกำลังตื่นกลัว จับประเด็นได้เพียงว่าพี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อไม่มีใจอยากบังคับจับนางเข้าพิธีแต่งงานก็พลันโล่งใจ ปาดน้ำตาทิ้งทันที
“ท่าน...ท่านพูดจริงหรือ” นางถามเสียงสั่น “ท่านหมายความตามนั้นจริงๆ ใช่หรือไม่”
“จวิ้นหวังจ๋างจื่อที่ไหนจะโกหก ข้าก็เป็นผู้มีศักดิ์ศรีหน้าตาให้ต้องรักษาผู้หนึ่ง เจ้าไม่รู้หรือ”
เซียงหรงคิดตามแล้วก็รู้สึกว่าจริง
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







