LOGIN“เช่นนั้นมาเดิมพันกันหรือไม่” บุรุษต่างถิ่นหนวดเครารกครึ้มกล่าวพลางควงถุงเงินในมือเล่น “ข้าเดิมพันข้างคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง เฉินเซียงหรง ด้วยเงินถุงนี้ทั้งถุง”
เหล่าบุรุษตรงหน้าเขาได้ยินแล้วกลับหัวเราะออกมา ผู้ที่คล้ายร่ำรวยที่สุดในกลุ่มกล่าวอย่างใจกว้าง “พี่ชายท่านนี้ เก็บเงินถุงนี้ของท่านไว้เถอะ การพนันที่รู้ผลแพ้ชนะตั้งแต่แรกเช่นนี้จะพนันไปเพื่อสิ่งใด แม้จะเป็นชนชั้นพ่อค้า พวกเราก็หาใช่พวกใจคดที่ชอบเอาเปรียบคนต่างถิ่นที่ไม่รู้อะไรเช่นคนเหล่านั้น” พวกเขาต่างพร้อมใจกันผินหน้าไปยังกลุ่มผู้รับพนันขันต่อที่รวมตัวกันอยู่ในบริเวณที่นั่งอีกฟากฝั่งหนึ่งของลาน
ใครคนหนึ่งในกลุ่มเหล่าบุรุษนักวิพากษ์วิจารณ์กล่าวขึ้นอย่างเสียมิได้
“ได้ข่าวว่าผู้ที่ลงเดิมพันข้างคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง หากคุณหนูสามท่านนั้นสามารถชนะการประชันขันแข่ง กลายเป็นโฉมงามยอดเมธีคนใหม่ของงานเทศกาลชมบุปผาในครั้งนี้ นักพนันเหล่านั้นจะได้รับกำไรถึงยี่สิบเท่าของเงินลงพนันเลยทีเดียว เข้าใจหรือไม่ กระทั่งเซียนพนันผู้เป็นเจ้ามือเหล่านั้นที่หูไวตาไว อ่านสถานการณ์เรื่องพรรค์นี้เก่งเสียยิ่งกว่าพวกเราเหล่าพ่อค้าก็ยังไม่คิดว่าคุณหนูสามท่านนั้นจะเป็นผู้ชนะ...เกิดเป็นสตรีในยุคสมัยเช่นนี้น่ะ มีแค่ความงามอย่างเดียวอย่างคุณหนูสามท่านนั้นกลับไม่เพียงพอเสียแล้ว!”
“ความงามหรือ...” ผู้ถูกปฏิเสธการเดิมพันพึมพำ พลางจ้องมองไปยังคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงในประเด็นสนทนา “ก็นับว่างดงามโดดเด่นมากจริงๆ นั่นแหละ...”
เหล่าพ่อค้าเห็นท่าทีคนต่างถิ่นแล้วก็ได้แต่ก้มหน้าอมยิ้ม บ้างก็ลอบส่ายหน้า
เฮ้อ! นี่ล่ะ ข้อแตกต่างของพวกเขาเหล่าคนในเมืองหลวงกับคนต่างถิ่น...ในยุคสมัยที่สตรีออกมาศึกษาเล่าเรียนในสถานศึกษาร่วมกับบุรุษ มิได้เอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือนหลังเช่นเมื่อก่อน สำหรับพวกเขาเหล่าคนในเมืองหลวงแล้ว ยังมีสตรีงดงามชนิดใดบ้างที่ไม่เคยได้พบเห็น หึหึ ดูนัยน์ตาหวานล้ำทอประกายของสหายหน้าใหม่ท่านนี้สิ...ดูเหมือน ณ ที่นี่จะมีผู้ถูกความงามอันโดดเด่นของคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง ตอกหมุดเสน่หาปักดวงใจเอาไว้อย่างแน่นหนาตั้งแต่แรกพบเสียแล้ว…
การแข่งขันในรอบที่สอง เริ่มขึ้นทันทีที่เหล่าสาวงามผู้ผ่านเข้ารอบต่างหงายป้ายไม้สุ่มเลือกคู่ประชันขันแข่งครบทุกคน
คู่มือของเซียงหรงในการแข่งขันในรอบนี้ก็คือคุณหนูสี่สกุลอู๋
ในสายตาของเซียงหรง คุณหนูสี่จากสกุลอู๋ผู้นี้ช่างมีกิริยามารยาทและรูปร่างหน้าตางดงามหมดจดเป็นอย่างยิ่ง เซียงหรงไม่เคยคาดคิดว่าใต้หล้านี้จะมีสตรีที่สง่างามโดดเด่นไปกว่าพี่หญิงใหญ่ของตน ทว่า...หากจะกล่าวกันอย่างไม่เข้าข้างพี่หญิงใหญ่ของนางแล้ว ต้องยอมรับว่าคุณหนูสี่สกุลอู๋ผู้นี้ ดูงามสง่าสูงส่งในระดับที่พี่หญิงใหญ่ของนางยังไม่อาจทาบรัศมี เป็นความงามทรงพลังชนิดที่ยากจะหาใครเหมือน...ครั้งนี้นางต้องประชันหมากกับสตรีที่ดูยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้?
เซียงหรงพลันรู้สึกได้ว่าหัวใจดวงน้อยในช่องอกเต้นรัวถี่
นางรู้สึก...รู้สึกมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง!
เห็นคู่มือของตนนัยน์ตาใสซื่อบริสุทธิ์เปล่งประกายวิบวับดูคุ้นตา อู๋ชิงชิง เห็นแล้วอดเอ็นดูไม่ได้
โดยปกติแล้ว สตรีที่นางพบเจอมีอยู่สามประเภทด้วยกัน ประเภทแรกคือพวกที่ชอบวางตัวว่าบริสุทธิ์ซื่อใส ประเภทที่สองคือพวกที่มักวางตัวสงบไว้สง่า ประเภทที่สามคือยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูด จะกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใด บนใบหน้าของพวกนางก็ล้วนมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอราวกับสวมหน้ากาก...
ทว่าคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง เฉินเซียงหรง ผู้นี้ กลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป
แม้คุณหนูสามผู้นี้จะดูบริสุทธิ์ซื่อใส ทั้งยังวางตัวสงบไว้สง่า ใบหน้าหรือก็มีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลา ทว่า...ทว่านางกลับไม่อาจนับคุณหนูสามตรงหน้านี้เข้ารวมเป็นพวกเดียวกับสตรีเหล่าที่ว่าพวกนั้นได้
แววตาสุกสกาวแวววาวเช่นนี้มันคล้ายกับ...คล้ายกับอะไรกันแน่นะ? เหตุใดนางจึงได้รู้สึกว่าคุณหนูจวนเฉินกั๋วกงตรงหน้าช่างดูนุ่มนิ่ม น่ารักน่าเอ็นดู ชวนให้อยากลูบหัวและอยากสวมกอดเช่นนี้?
อ๋า...อยากลูบ...ข้าอยากลูบผมเงาๆ นั่น! อู๋ชิงชิงมองดวงตาคู่นั้นอย่างเผลอไผล กระทั่งนางกำนัลข้างกายผายมือกล่าวเชิญให้นั่งลง จึงค่อยกลับคืนสติอีกครั้ง
“ท่านก็คือคุณหนูสามจากจวนเฉินกั๋วกง เฉินเซียงหรง บุตรสาวเพียงคนเดียวของเซียงเหลียนจวิ้นจู...” อู๋ชิงชิงยิ้มน้อยๆ กล่าวด้วยแววตาซื่อตรงเป็นอย่างยิ่ง “ที่จริงแล้วข้าชื่นชมมารดาของคุณหนูสามเป็นอย่างยิ่ง ไม่ทราบว่าคุณหนูสามทราบหรือไม่ ในอดีตเซียงเหลียนจวิ้นจูนับเป็นผู้แตกฉานในกลหมากอย่างที่ยากจะหาใครเทียม กลหมากมากมายที่มารดาของคุณหนูสามคิดค้นเอาไว้ ล้วนถูกคัดลอกเอาไว้ในหอตำราของพวกเรา ตำรากลหมากของมารดาท่านนับเป็นหนึ่งในตำรากลหมากสำคัญอันดับต้นๆ ที่พวกเราเหล่าลูกศิษย์ของสำนักศึกษาทั้งชายและหญิงต่างต้องศึกษาเรียนรู้”
ได้ยินผู้เล่าถึงมารดาเช่นนี้ เฉินเซียงหรงตื่นตาตื่นใจ ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
“จริงหรือเจ้าคะ! ไม่ทราบว่าคนนอกเช่นข้าจะสามารถขอชื่นชมตำราหมากที่ว่านั้นสักครั้งได้หรือไม่ อ๊ะ...ทว่าพวกเราอยู่ในระหว่างการแข่งขัน...”
ฟังประโยคเหล่านี้ ที่กล่าวด้วยกิริยาซื่อใสไร้เดียงสา ปราศจากการปรุงแต่ง จากคุณหนูสามตรงหน้าแล้ว อู๋ชิงชิงก็เกิดสะท้อนใจขึ้นมา
หรือว่าเฉินกั๋วกงตัดเยื่อใยไร้ไมตรีกับบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกเพียงเพราะข่าวเล่าลือเมื่อเจ็ดแปดปีก่อน ไม่เพียงกักขังบุตรสาวไว้ในเรือน ยังถึงขั้นปิดหูปิดตานางจากทุกสิ่ง...คู่มือที่เป็นเช่นนี้จะให้นางที่เป็นยอดฝีหมากอันดับหนึ่งในเมืองหลวงรังแกลงได้อย่างไร?
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







