แสงอรุณยามเช้าเริ่มสาดส่องเข้ามาในหอโอสถเซียว เซียวหลันกำลังง่วนอยู่กับการจัดยาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับผู้ป่วยรายวัน แม้เมื่อคืนจะผ่านเรื่องราวที่น่าตกใจมา แต่ความเด็ดเดี่ยวจากวิญญาณของศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโลกอีกใบก็ทำให้นางสามารถกลับมาทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างรวดเร็ว
"คุณหนูเจ้าคะ" เสี่ยวชุนเดินเข้ามาพร้อมกับท่าทีร้อนรน “คนขององค์ชายสามต้องการให้คุณหนูเข้าเฝ้าองค์ชายเจ้าค่ะ”
“เมื่อไหร่”
“ตอนนี้เจ้าค่ะ องค์ชายต้องการให้คุณหนูรักษาขุนนางที่โดนทำร้ายเจ้าค่ะ”
"พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน" เซียวหลันถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
"อยู่ที่จวนผู้ว่าการเจ้าค่ะ เห็นว่าท่านผู้ว่าการจัดห้องพักให้เป็นการชั่วคราว" เสี่ยวชุนตอบอย่างรวดเร็ว
เซียวหลันตัดสินใจทันที นางรีบหยิบกล่องยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นใส่ถุงผ้า แล้วหันไปสั่งอาหลง "อาหลง เจ้าช่วยเฝ้าหอโอสถแทนข้าก่อน ข้าจะไปที่จวนผู้ว่าการ"
"คุณหนูจะไปที่นั่นได้อย่างไรขอรับ" อาหลงถามอย่างกังวล "ที่นั่นเต็มไปด้วยทหาร และองค์ชายสามก็เป็นคนอันตรายนัก"
"ข้าจะไปในฐานะหมอ" เซียวหลันตอบด้วยความเด็ดเดี่ยว "ในฐานะหมอ ข้าไม่มีความจำเป็นต้องกลัวใคร และการลอบทำร้ายครั้งนี้ต้องมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่เป็นแน่"
จวนผู้ว่าการเมืองหลี่เฉิงเต็มไปด้วยทหารองครักษ์ในชุดเกราะสีดำ การรักษาความปลอดภัยเข้มงวดเป็นพิเศษ เซียวหลันต้องแสดงใบอนุญาตการเป็นหมอของเธอ และใช้ชื่อเสียงของหมอเทวดาที่ผู้คนในเมืองต่างยกย่อง เพื่อให้ได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้
เมื่อเข้าไปด้านใน นางเห็นขุนนางคนสนิทของเฉินเหวินนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียว เลือดไหลไม่หยุดจากบาดแผลที่แขน บาดแผลนั้นลึกและน่ากลัว ราวกับถูกโจมตีด้วยอาวุธที่แหลมคมเป็นพิเศษ
เฉินเหวินยืนอยู่ข้างเตียง ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมและเย็นชาผิดปกติจากที่เซียวหลันเคยเห็นเมื่อวาน เขามองเซียวหลันด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา
“คิดว่าเจ้าจะไม่ยอมมาเสียแล้ว" เฉินเหวินถามเสียงเรียบ
“ในเมื่อมีผู้บาดเจ็บ ข้าก็ต้องรีบมาช่วยเพคะ" เซียวหลันตอบพลางเดินเข้าไปใกล้เตียงคนไข้
เฉินเหวินไม่พูดอะไร เขาเฝ้ามองนางตรวจดูอาการของขุนนางคนสนิทด้วยความสงสัยระคนประหลาดใจ เซียวหลันจัดการห้ามเลือดอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ก่อนจะนำสมุนไพรและอุปกรณ์ที่เตรียมมาออกมาทำแผล
ขณะที่นางกำลังทำแผลอยู่นั้น ก็มีกระแสพลังประหลาดไหลเวียนเข้ามาในตัวเซียวหลัน นางสัมผัสได้ถึงรอยแผลที่ไม่ได้เกิดจากคมอาวุธธรรมดา แต่มันมีพลังงานบางอย่างที่เชื่อมโยงกับหลี่หยางที่เพิ่งมาหานางเมื่อคืน
ทันใดนั้นเอง เซียวหลันก็เห็นภาพบางอย่างซ้อนขึ้นมาในหัว เป็นภาพการต่อสู้ที่รวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ท่ามกลางเงามืดของราตรี ชายในชุดคลุมสีดำกำลังต่อสู้กับชายอีกคน แล้วคมกระบี่ของชายชุดดำคนนั้นก็พุ่งตรงไปยังขุนนางคนสนิทของเฉินเหวิน ภาพนั้นไม่ชัดเจนนัก แต่เซียวหลันมั่นใจว่าชายในชุดคลุมสีดำนั้นคือหลี่หยาง
แต่ทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น? หรือเขาโกหกเมื่อคืน?
ความสับสนและความไม่เชื่อใจเริ่มก่อตัวในใจของเซียวหลัน
เมื่อทำแผลเสร็จแล้ว เซียวหลันก็ลุกขึ้นยืนหันหน้าเข้าหาเฉินเหวิน "บาดแผลนี้ลึกนัก... จะต้องใช้เวลาพักฟื้นพอสมควร แต่เขาก็จะปลอดภัยเพคะ"
"เจ้าเก่งนัก" เฉินเหวินกล่าวอย่างจริงใจ "แม้แต่หมอหลวงยังวินิจฉัยไม่ได้ว่าบาดแผลนี้เกิดจากอะไร"
เซียวหลันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูดความจริงบางส่วน "บาดแผลนี้... ไม่ได้เกิดจากคมกระบี่ธรรมดาเพคะ"
เฉินเหวินเลิกคิ้ว "แล้วเกิดจากอะไร"
"เกิดจาก... พลังจากคมกระบี่ที่รุนแรงเพคะ" เซียวหลันตอบอย่างระมัดระวัง "หม่อมฉันคิดว่าผู้ที่ทำร้ายเขาต้องมีพลังที่ไม่ธรรมดา"
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเซียวหลัน สายตาของเฉินเหวินก็แข็งกระด้างขึ้นทันที เขานึกถึงหลี่หยางและความลับดำมืดที่พวกเขาเคยทำข้อตกลงกันไว้เมื่อสิบปีก่อน เขานึกถึงเรื่องเมื่อคืนทันที เขาได้ให้องครักษ์คนหนึ่งแอบติดตามชายชุดดำผู้นั้นไป จึงได้รู้ว่าชายชุดดำคนนั้นแอบหนีเข้าไปในหอโอสถเซียวกลางดึก
เฉินเหวินรู้ทันทีว่าชายผู้ลึกลับที่มาหานางเมื่อวาน คือชายคนเดียวกันที่เขาเคยเผชิญหน้ามาแล้วในอดีต
"เมื่อคืนนี้มีชายต้องสงสัยเข้าไปพบเจ้าใช่หรือไม่"
"ฝ่าบาท... ทราบได้อย่างไรเพคะ"
"เจ้า... รู้จักคนผู้นั้นใช่หรือไม่" เฉินเหวินไม่ตอบแต่เลือกเอ่ยถามต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เซียวหลันมองสบตาเขา นางรู้ดีว่าหากโกหกอาจจะยิ่งทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย "หม่อมฉันเคยพบกับเขาเพียงครั้งเดียวเพคะ"
"เจ้าโกหก" เฉินเหวินกล่าว "เจ้ากับเขาต้องมีความเกี่ยวข้องกัน"
เซียวหลันไม่ตอบ นางเงียบไปครู่หนึ่ง ทำให้บรรยากาศในห้องยิ่งตึงเครียดขึ้น
"ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นใคร หรือมีความเกี่ยวพันกับคนผู้นั้นอย่างไร" เฉินเหวินกล่าวต่อ "แต่ข้าต้องการให้เจ้ามาช่วยข้า"
"ช่วยอะไรหรือเพคะ" เซียวหลันถาม
"ช่วยข้าสืบหาคนผู้นั้น" เฉินเหวินตอบ "ข้าต้องการกำจัดมัน"
เซียวหลันส่ายหน้าช้าๆ "หม่อมฉันเป็นเพียงหมอ ไม่ใช่สายสืบเพคะ"
"อย่าปฏิเสธข้าเลย" เฉินเหวินกล่าวเสียงอ่อนลง "หากเจ้าช่วยข้าได้ ข้าจะช่วยเจ้ากอบกู้ชื่อเสียงของตระกูลเซียว และข้าจะปกป้องเจ้าจากทุกสิ่งทุกอย่าง"
คำพูดของเฉินเหวินดังก้องอยู่ในหูของเซียวหลันราวกับเสียงกระซิบจากปีศาจ เขากำลังยื่นข้อเสนอที่น่าเย้ายวนใจนัก การกอบกู้ชื่อเสียงของตระกูลเซียว เป็นสิ่งที่นางปรารถนามาโดยตลอด แต่การร่วมมือกับเขาเพื่อตามล่าหลี่หยางกลับเป็นสิ่งที่นางไม่อาจยอมรับได้
"การกอบกู้ชื่อเสียงของตระกูล... เป็นสิ่งที่หม่อมฉันอยากทำให้สำเร็จเพคะ แต่การเป็นสายสืบ... ไม่ใช่วิถีของหม่อมฉัน" เซียวหลันกล่าวปฏิเสธอย่างสุภาพแต่มั่นคง ดวงตาของนางมองตรงไปยังเฉินเหวินโดยไม่หลบเลี่ยง
เฉินเหวินมองนางด้วยสายตาที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะหยั่งถึง เขายิ้มเล็กน้อย "เจ้าไม่เชื่อใจข้า"
"หม่อมฉันเชื่อในความสามารถของตัวเองที่จะกอบกู้ชื่อเสียงของตระกูลได้ด้วยตัวเองเพคะ" เซียวหลันตอบ
"ดี" เฉินเหวินกล่าว "ความมั่นใจของเจ้าเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม แต่เจ้าคิดว่าหากเจ้าต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างคนผู้นั้นเพียงลำพัง เจ้าจะรอดหรือไม่"
คำพูดของเขาแทงใจดำเซียวหลันอย่างจัง นางนิ่งไปครู่หนึ่ง หลี่หยางไม่ได้เป็นศัตรูของนาง แต่หากนางต้องเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งของคนทั้งสอง นั่นอาจทำให้ชีวิตของนางและผู้คนที่นางรักตกอยู่ในอันตราย
"ข้าจะให้เวลาเจ้าตัดสินใจ" เฉินเหวินกล่าวต่อ "ข้าจะอยู่ที่นี่อีกเจ็ดวัน หากเจ้าเปลี่ยนใจก็ให้มาหาข้าได้ตลอดเวลา" เขาหันหลังเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมของไม้จันทน์ที่คล้ายคลึงกับกลิ่นกายของหลี่หยางอย่างประหลาด
เมื่อบทสนทนาสิ้นสุดเซียวหลันก็ขอตัวกลับไปยังหอโอสถเซียว เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกแต่ก็หนักใจไม่แพ้กัน อาหลงและเสี่ยวชุนรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความตื่นตระหนก
"คุณหนู! องค์ชายสามทรงพูดอะไรกับคุณหนูเจ้าคะ" อาหลงถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ด้วยเห็นสีหน้าไม่สบายใจจากเซียวหลัน
เซียวหลันส่ายหน้า "เขาแค่อยากให้ข้าไปช่วยงานในวังหลวง แต่ข้าปฏิเสธไปแล้ว" นางตอบเลี่ยงๆ ไม่ต้องการให้อาหลงและเสี่ยวชุนต้องกังวล
แต่แล้ว... ก็มีเงาร่างสูงโปร่งก้าวเข้ามาในหอโอสถอีกครั้ง หลี่หยางยืนอยู่หน้าประตู เขามองตรงมายังเซียวหลัน ดวงตาภายใต้ผ้าคลุมฉายแววความห่วงใยและร้อนรน
"เขาพูดอะไรกับเจ้า" หลี่หยางถามทันทีที่เข้ามาในห้อง
เซียวหลันแปลกใจที่หลี่หยางมาเร็วถึงเพียงนี้ หรือว่าเขาแอบเฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา นางส่ายหน้า "ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ"
"อย่าโกหกข้า" หลี่หยางกล่าวเสียงแข็ง "ข้ารู้จักเฉินเหวินดี มันไม่มีทางมาหาเจ้าเฉยๆ แน่"
เซียวหลันเงียบไปครู่หนึ่ง นางมองเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความกังวลของเขา ก่อนจะตัดสินใจบอกความจริง "เขาอยากให้ข้าไปช่วยสืบเรื่องของท่าน และอยากให้ข้าเข้าร่วมกับเขา"
ทันทีที่ได้ยินคำตอบ สีหน้าของหลี่หยางก็เปลี่ยนไป เขาดูเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด "แล้วเจ้าตอบว่าอย่างไร"
"ข้าปฏิเสธไปแล้ว" เซียวหลันตอบ
หลี่หยางถอนหายใจอย่างโล่งอก "ดีแล้ว อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน"
"แต่... เขาบอกว่าหากข้าช่วยเขา เขาจะช่วยกอบกู้ชื่อเสียงของตระกูลข้า" เซียวหลันกล่าวเบาๆ เพื่อหยั่งเชิง
หลี่หยางเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวด "เจ้าเชื่อคำพูดของมันหรือ"
"ข้าไม่เชื่อ แต่ข้า... ปรารถนาที่จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ" เซียวหลันตอบอย่างจริงใจ "ข้าอยากให้ครอบครัวของข้าได้รับความยุติธรรม"
หลี่หยางมองนางด้วยความเข้าใจ "ข้าจะช่วยเจ้าเอง"
คำพูดของเขาทำให้เซียวหลันประหลาดใจนัก "อะไรนะ?"
"ข้าจะช่วยเจ้ากอบกู้ชื่อเสียงของตระกูลเซียว" หลี่หยางกล่าวอย่างหนักแน่น "และข้าจะปกป้องเจ้าจากทุกสิ่งทุกอย่าง"
"ทำไมท่านถึงยอมช่วยข้า" เซียวหลันถาม
"เพราะเรามีชะตากรรมที่คล้ายคลึงกัน" หลี่หยางตอบ "ทั้งเจ้าและข้าต่างก็สูญเสียครอบครัวไปเพราะความมืดมิดในราชสำนักและยุทธภพ หากเราไม่ร่วมมือกัน... เรื่องราวในอดีตก็อาจจะเกิดขึ้นกับคนอื่นๆ อีก"
เซียวหลันมองเขาด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน ความช่วยเหลือของหลี่หยางนั้นมีค่ามหาศาล แต่การร่วมมือกับชายผู้ลึกลับที่เต็มไปด้วยปมในอดีตก็เป็นเรื่องที่อันตรายไม่น้อย แต่นางก็รู้ดีว่านี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้เรื่องราวของตระกูลเธอได้รับการสะสาง
"ตกลง" เซียวหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ข้าจะร่วมมือกับท่าน"
หลี่หยางยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนกว่าที่เซียวหลันเคยเห็นมาก่อน "ดี"
ในชั่วขณะนั้นเองความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่เพียงแค่คนไข้และหมออีกต่อไป แต่กลายเป็นพันธมิตรที่จะร่วมมือกันเพื่อไขปมปริศนาในอดีตและเผชิญหน้ากับความอันตรายที่รออยู่เบื้องหน้า
"ท่านมีแผนการอะไรหรือเปล่า" เซียวหลันถาม
"มี" หลี่หยางตอบ "เราจะเริ่มจากการหาเบาะแสที่ซ่อนอยู่ในราชสำนัก และข้าคิดว่าเราควรจะเริ่มที่เมืองหลวง... สำนักกระบี่ล่องลอย"
คำพูดของหลี่หยางทำให้เซียวหลันประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีก นั่นคือสถานที่ที่หลี่หยางเคยกล่าวถึงว่าเป็นต้นกำเนิดของบาดแผลบนแขนของเขา และอาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความลับที่แท้จริงของเขาและเรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความขัดแย้งทั้งหมด
ภารกิจครั้งนี้มิอาจปฏิเสธได้... ชะตากรรมของพวกเขาทั้งคู่ได้ผูกพันกันอย่างแน่นหนาแล้ว และไม่มีสิ่งใดจะแยกพวกเขาออกจากกันได้อีก
บรรยากาศในห้องโถงกว้างของวังหลวงเต็มไปด้วยความตึงเครียด เซียวหลันมองหน้าหลี่หยางและเฉินเหวินสลับกันไปมา หัวใจของนางเต้นรัวด้วยความสับสนและความเจ็บปวด"ถ้าเป็นเรื่องจริง แล้วพวกเจ้า... จะทำอย่างไรกับข้า"คำพูดของเฉินเหวินดังก้องอยู่ในหัวก้องเธอ เธอไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายทำอย่างนั้นกับพวกเธอได้อย่างไร ถึงแม้ว่าจะระแวดระวังกันมาตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะใจร้ายขึ้นมาจริงๆ“เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้ เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป” เฉินเหวินเอ่ยขึ้น สายตาของเขาจับจ้องมาที่เซียวหลัน“ข้าไม่เข้าใจ ทำไมท่านถึงทำเช่นนั้น" เซียวหลันถามเสียงสั่นเครือ "ทำไมท่านถึงหลอกใช้เรา""ข้าไม่ได้หลอกใช้พวกเจ้า" เฉินเหวินตอบ "ข้าแค่... ทำตามหน้าที่ของข้า""หน้าที่ของเจ้าคือการทำลายพวกเราอย่างนั้นหรือ!" หลี่หยางตะโกนด้วยความโกรธแค้น "เจ้าทำลายครอบครัวของข้า! ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามี!""ไม่ใช่ข้า" เฉินเหวินปฏิเสธ "เป็นตระกูลของข้าต่างหาก... ที่ต้องการพลังที่ซ่อนเร้นในตัวพวกเจ้า""แล้วทำไมท่านถึงไม่บอกเราแต่แรก!" เซียวหลันถาม"เพราะข้า... อยากที่จะสร้างโชคชะตาของข้าเอง" เฉินเหวินตอบ "ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าต้องมาเกี่ยวข้อง
การฝึกฝนของเซียวหลันภายใต้การดูแลของเฉินเหวินดำเนินไปอย่างเข้มข้น วันแล้ววันเล่าที่เธอต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายทั้งทางร่างกายและจิตใจ พลังแห่งแสงของเธอนับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แต่เธอก็รู้สึกถึงความมืดที่คืบคลานเข้ามาในจิตใจเช่นกัน"เจ้าต้องควบคุมมันให้ได้" เฉินเหวินกล่าวขณะมองเซียวหลันที่กำลังควบคุมพลังแสงในมือของเธอให้แปรเปลี่ยนเป็นอาวุธที่ทรงพลัง "หากเจ้าปล่อยให้ความโกรธเข้าครอบงำ... เจ้าก็จะกลายเป็นพวกมัน"เซียวหลันเข้าใจดี นางไม่ต้องการที่จะกลายเป็นคนเช่นนั้น นางจึงพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเองและใช้พลังในทางที่ถูกต้องในขณะเดียวกัน... หลี่หยางที่นอนป่วยอยู่ก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างช้า ๆ แม้พลังของเขาจะหายไปจนหมดสิ้น แต่เขาก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความผูกพันที่เชื่อมโยงระหว่างเขากับเซียวหลัน และเขาก็ตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือนาง"ข้าจะต้องช่วยเซียวหลัน" หลี่หยางพึมพำกับตนเอง "ข้าจะต้องฟื้นฟูพลังของข้าให้กลับมา"เขาเริ่มค้นหาวิธีที่จะฟื้นฟูพลังของตนเองโดยเริ่มจากการค้นหาตำราโบราณที่เฉินเหวินเก็บไว้ในห้องสมุดของเขา ในตำราเหล่านั้นมีบันทึกเกี่ยวกับการฝึกฝนพลังอัคคีที่บร
การเดินทางออกจากหุบเขาต้องห้ามเต็มไปด้วยความยากลำบากเซียวหลันพยุงร่างที่ไร้สติของหลี่หยางไว้ในอ้อมแขนขณะที่เฉินเหวินคอยนำทางและระวังภัยให้ การเสียสละของหลี่หยางทำให้พลังในตัวเขาหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงร่างกายที่อ่อนแรง และเซียวหลันเองก็รู้สึกถึงความสูญเสียครั้งใหญ่ที่เข้ามาในชีวิตของเธอ"เราจะไปไหนกันต่อ" เซียวหลันถามเสียงแผ่ว"เราจะไปที่สำนักแพทย์หลวงในเมืองหลวง" เฉินเหวินตอบ "ที่นั่นมีหมอที่ดีที่สุด และพวกเขาก็จะสามารถดูแลหลี่หยางได้"เซียวหลันพยักหน้าอย่างเข้าใจ นางรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นทางเลือกเดียวที่พวกเขาจะทำได้ในตอนนี้เมื่อเดินทางมาถึงสำนักแพทย์หลวง เซียวหลันก็รีบพาหลี่หยางไปให้หมอหลวงตรวจดูอาการ หมอหลวงวินิจฉัยว่าหลี่หยางได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง และไม่มีวิธีใดที่จะสามารถรักษาเขาได้เลย นอกจากปล่อยให้เขาฟื้นตัวด้วยตนเอง"ไม่... ไม่จริง!" เซียวหลันกล่าวด้วยความสิ้นหวัง "ท่านต้องช่วยเขา!""ข้าขอโทษ" หมอหลวงกล่าว "ข้าไม่มีทางเ
แสงจากคันธนูแห่งแสงเลือนหายไปในความมืดมิดของถ้ำ เหลือไว้เพียงร่างที่ไร้สติของเซียวหลันที่นอนอยู่บนพื้น หลี่หยางรีบเข้าไปประคองนางขึ้นมาอย่างร้อนรน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด"เซียวหลัน! เซียวหลัน!" หลี่หยางเรียกชื่อนางซ้ำๆ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากนางเฉินเหวินเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว เขามองไปยังเซียวหลันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "นาง... ต้องมาเจอกับเรื่องนี้เพราะข้า""ไม่ใช่ความผิดของท่าน" หลี่หยางกล่าว "เป็นความผิดของข้าต่างหาก... ที่ปล่อยให้นางต้องมาเสี่ยงชีวิต"หลี่หยางใช้พลังอัคคีที่เหลืออยู่ทั้งหมดเพื่อรักษาเซียวหลัน แต่นางก็ยังคงไม่ฟื้น และลมหายใจของนางก็เริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ"ไม่... ไม่จริง!" หลี่หยางร้องไห้ออกมาอย่างหมดหวัง "เจ้าต้องไม่เป็นไรนะ... เซียวหลัน!"เฉินเหวินเดินเข้ามาใกล้หลี่หยาง "ยังมีทางเดียวที่จะช่วยนางได้""วิธีอะไร" หลี่หยางถามด้วยความหวังอันริบหรี่
ในที่สุดอาวุธในตำนานก็ตกอยู่ในมือของเซียวหลัน คันธนูส่องแสงประกายสว่างท่ามกลางความมืดมิดของหุบเขาต้องห้าม พลังอันยิ่งใหญ่ที่ไหลเวียนออกมาจากอาวุธนั้นทำให้ทั้งหลี่หยางและเฉินเหวินรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่น่าเกรงขาม"มันคือ... คันธนูแห่งแสง" เฉินเหวินเอ่ยเสียงแผ่ว "อาวุธที่ถูกกล่าวถึงในคำทำนาย"เซียวหลันรับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลที่ผสานเข้ากับพลังแห่งแสงในตัวเธออย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับว่าอาวุธชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ"แต่เราจะใช้มันอย่างไร" เซียวหลันถาม"เจ้าจะต้องใช้จิตใจที่บริสุทธิ์เพื่อควบคุมมัน" หลี่หยางกล่าว "พลังของเจ้าจะหลอมรวมเข้ากับคันธนูแห่งแสง และเมื่อถึงตอนนั้น... เจ้าก็จะเป็นผู้เดียวที่จะสามารถใช้มันในการต่อสู้ได้"ขณะที่ทั้งสามกำลังสนทนากันอยู่นั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านนอกถ้ำ ตามมาด้วยเงาร่างที่ปรากฏขึ้นในความมืดมิด"พวกเราตามพวกเจ้ามานานแล้ว" เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น "และในที่สุด... เราก็เจอตัวผู้สืบทอดพลังแห่งแ
หลังจากความจริงอันน่าตกตะลึงถูกเปิดเผยในคัมภีร์โบราณ เซียวหลันและหลี่หยางก็เข้าใจแล้วว่าชะตากรรมของพวกเขาไม่ได้ผูกพันเพียงแค่การกอบกู้ตระกูล แต่ยังเกี่ยวพันกับสงครามที่จะตัดสินชะตาของโลกเฉินเหวินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศัตรู บัดนี้ได้กลายเป็นพันธมิตรที่ไม่อาจขาดไปได้"ในคัมภีร์ระบุว่ามีอาวุธโบราณถูกซ่อนไว้ในที่ลับแห่งหนึ่ง" เฉินเหวินกล่าวขณะมองแผนที่ที่เพิ่งค้นพบ "หากเราได้อาวุธนี้มา จะช่วยให้เรามีพลังที่จะต่อสู้กับคนพวกนั้นได้""แล้วอาวุธนั้นอยู่ที่ไหน" หลี่หยางถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น"มันถูกซ่อนไว้ใน... หุบเขาต้องห้าม" เฉินเหวินตอบ "สถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายและพลังที่ชั่วร้าย"เซียวหลันและหลี่หยางมองหน้ากัน พวกเขารู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พวกเขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะยอมเสี่ยง"เราจะไป" เซียวหลันกล่าวอย่างหนักแน่น "เราต้องไปเอาอาวุธนั้นมาให้ได้"การเดินทางสู่หุบเขาต้องห้ามเต็มไปด้วยอุปสรรค พ