LOGINไฟซอยเสาเดียวกระพริบเหมือนจะดับ เสียงมอเตอร์ไซค์ขี่ผ่านหัวซอยหายลับไปพร้อมเสียงท่อดังแสบหู ไกลออกไปอีกนิดเป็นเสียงแตรสองแถวที่ขับวนหาผู้โดยสาร ทั้งหมดผสมกับเสียงแมวจรจัดร้องหง่าว ๆ อยู่บนกำแพงอิฐดำเปื้อนคราบสกปรก
พื้นซอยแฉะ น้ำสกปรกขังในร่องซีเมนต์ มีซองขนม ถุงขยะ กระป๋องเบียร์ยับยู่ยี่กองรวมกันข้างถังแดงที่ล้นออกมา มีกลิ่นบุหรี่ที่มือกาวพ่นควันออกมาคละคลุ้งไปกับกลิ่นกาวที่เขาสูดเข้าปอด
เงาสองเงายืนหันเข้าหากันเงาหนึ่งคือ ยิปซีผู้หญิงแต่งตัวจัดแต่ปกปิดตัวตมิดชิด แว่นตาซ่อนใบหน้า หมวกที่ปิดบัง เธอเขี่ยเท้ากับเศษขยะไปมา ขณะที่อีกมือกำเงินในกระเป๋าแน่น
อีกเงาคือมือกาว ผู้ชายหัวมันใบหน้าซูบ มีรอยแผลถลอกตรงคาง กลิ่นตัวเขาเหม็นผสมเหงื่อกับกาวจนยิปซีเบือนหน้าแทบอาเจียน
เสียงรถซาเล้งผ่านไปตรงปากซอย คนลากซาเล้งไม่ได้มองเข้ามาด้วยซ้ำ ทุกอย่างเหมือนเงียบแต่ความอันตรายกำลังหมุนวนรอบตัว
“กลัวเหรอแม่สาว ซอยแบบนี้ถึงมีคนเห็นก็ไม่มีใครกล้าเสือกหรอก” มือกาวหัวเราะแห้ง ปากเหม็นกาว เขาเอียงหัวมองผู้หญิงตรงหน้าเหมือนแมลงสาปที่คิดว่าแค่เหยียบก็ตาย
ยิปซีเบือนหน้าหนีเธอกำชายหมวกให้คลุมใบหน้าให้มิดกว่าที่เป็น แต่รังสีดูถูกยังแผ่จากสายตาที่ตวัดกลับมา
“อย่าเพิ่งคิดจะเล่นแสบนัก แกแค่เอามันให้เข็ด เอาให้มันกลัว อย่าให้ถึงตายเข้าใจมั้ย” เสียงเธอราบเรียบแต่ฟังแล้วเย็นจนขนลุก ชั่ววินาทีที่แสงไฟซอยกะพริบผ่าน ใบหน้าใต้เงาหมวกยิ่งดูน่ากลัว
“ปล้นแล้วจะไม่เจ็บตัวได้ไงวะ ฉันจัดให้หนักนิดนึงได้ปะ รับรองมันร้องไห้ขี้มูกย้อยให้เห็นแน่” มือกาวยกถุงกาวขึ้นสูดฟอดใหญ่ กลิ่นเหม็นฉุนตลบไปทั่วซอย น้ำเน่าในร่องซีเมนต์เหม็นจนแทบสำลัก
“จะทำอะไรก็ทำ แต่ระวังตัวแกให้ดี ถ้าพลาด ฉันไม่ช่วยขยะอย่างแกนะ จำไว้” ยิปซีจ้องเขาในความมืด เสียงรถสองแถวแตรยาวลอดเข้ามาในซอยแคบ ๆ แต่ไม่มีใครสนใจคนสองคนที่กำลังตกลงงานสกปรก
“ฮ่าแม่สาวคนสวย” มือกาวเอียงคอ หัวมัน ๆ ส่งเงาดำบนกำแพงอิฐถลอก
“ฉันก็ไม่ได้อยากทำให้ตายหรอก แต่เงินเธอมันหอมดีนี่หว่า…เดี๋ยวจัดให้ อย่าลืมหลังจบงานส่วนที่เหลือ”
เสียงแมวจรจัดกระโจนใส่ถังขยะดัง โครม เศษเบียร์และกระป๋องเปล่ากลิ้งลงพื้น กลิ่นบุหรี่ กาว และเหงื่อผสมจนเหม็นตลบซอยมันกระเด็นมาโดนขาเธอ
ยิปซีสะบัดมือเหมือนรังเกียจ ก่อนถอยออกมาแค่ก้าวเดียว ไฟซอยกระพริบวูบสุดท้าย ร่างผู้หญิงที่คิดจะสั่งฆ่าแบบไม่เปื้อนมือกับชายติดกาวที่พร้อมขายวิญญาณให้เศษเงิน ถูกกลืนไปในความเปลี่ยวที่ไม่มีใครอยากยุ่งด้วย
เสียงแมวร้องลากยาวแล้วทุกอย่างก็กลับเงียบสนิท เหลือแค่กลิ่นกาวที่ยังฟุ้งเหมือนตราตรึงกลิ่นบาปเอาไว้
หน้าค่ายเพลง ก่อนแผนลงมือจริง
“วันนี้คุยกับพี่โปเต้ก็สรุปดีนะ” เสียงอ๊อฟพูดขึ้นพลางหันไปชนไหล่ก๊อปเปอร์ คนข้างๆ ขำพรืดตาม
“ดีอะไรล่ะ กูจะร้องแหกปากอยู่คนเดียว พวกมึงปล่อยกูเป็นตัวตลก” ก๊อปเปอร์โวยวาย แต่เสียงหัวเราะก็ยังไม่หยุด มาคินหัวเราะเบาๆ ดึงร้อยดาวให้ถอยห่างจากประตูค่าย
“เดินไปส่งมั้ยรีบกลับกันก่อนเดี๋ยวฝนตก” ร้อยดาวยกมือโบก
“ไม่เป็นไร ฉันกลับเองได้”
“กลับเองได้ก็ยังต้องมีคนไปส่ง” มาคินกดเสียงดุแต่หางตายังยิ้มจาง ๆ อ๊อฟกับก๊อปเปอร์มองแล้วโห่ล้อเลียนกันไปมา
ร้อยดาวหันขำ แต่แล้วเสียงเครื่องยนต์ แง๊น! แง๊น! ดังแทรกมาจากมุมลานจอดเกือบจะถึงใกล้ป้อมยาม เสียงแต่งท่อมันแสบหูจนทุกคนต้องหันไปมอง
“ใครวะซิ่งแถวนี้ นี่ค่ายเพลงไม่ใช่สนามแข่ง” อ๊อฟขมวดคิ้ว
มือกาวกับเพื่อนบนมอเตอร์ไซค์ ไอ้มอเตอร์ไซค์คันนั้นไฟหน้ากระพริบวูบ ๆ ป้ายทะเบียนไ่ม่มี คนซ้อนท้ายใส่หมวกกันน็อคเต็มใบ มีผ้าปิดจมูกซ้อนอีกชั้น
มือกาวหันไปแสยะยิ้มในเงาไฟ ลมหายใจยังเหม็นกลิ่นกาวที่ซึมติดหน้ากาก
“แม่สาวนั่นแหละคนที่ยัยคุณนายจ้างกูไว้" เสียงมันครางต่ำผ่านหมวกกันน็อค มือตบถุงกาวที่ซุกในกระเป๋าเสื้อ เพื่อนซ้อนท้ายหัวเราะแห้ง ๆ
“เอาดิ เฉี่ยวมันหน่อยมั้ย จะได้รู้ว่ากูดักดูอยู่”
กลับมามุมร้อยดาวที่ยังไม่รู้ตัวว่าจะเกิดเรื่องกับตนเอง
“กลับจริงเหรอ” มาคินยังถามย้ำเพราะเห็นร้อยดาวหันไปมองเสียงเครื่องยนต์ที่ดังแสบหู
“เออสิ นายจะห่วงอะไรนักหนา” เธอยักคิ้วหาเรื่องจะหยอกกลับ
แต่ทันใดนั้น เสียงมอเตอร์ไซค์เร่งเครื่อง แง๊น ๆ มันปาดหัวรถเข้ามาตรงข้างฝั่งร้อยดาวเธอเดินริมขอบถนนจนปลายผมเธอสะบัด ลมแรงจากรถเฉี่ยวหน้าหวิด ๆ
“เฮ้ย” อ๊อฟเกือบคว้าแขนคนซ้อนไว้ได้ แต่ไม่ทัน
ร้อยดาวหันขวับ ใจเต้นแรง มาคินรีบยื่นมือคว้าเธอมาไว้ด้านหลังทันที ดวงตาเขาตวัดมองตามไฟท้ายมอเตอร์ไซค์ที่หายเข้าไปในตรอกข้างตึก
เสียงเครื่องยนต์กระหึ่มแล้วเงียบหาย เหลือแค่เศษฝุ่นปลิวกลางลาน เงาไฟถนนวูบวาบคล้ายมีคนยืนซุ่มมองจากไกล ๆ แต่ทุกอย่างกลับเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มันใครวะ ไอ้พวกนี้มันหาเรื่องหรือเปล่า” ก๊อปเปอร์สบถ มาคินกระชับมือจับไหล่ร้อยดาวแน่นขึ้น ดวงตาเขานิ่งสนิท
“ไม่ใช่อุบัติเหตุแน่ ใครมันอยากลองดี คงจะเริ่มแล้วจริง ๆ ”
"เป็นอะไรกันไหมครับ" ยามที่ป้อมเห็นเข้ารีบวิ่งมาถาม ร้อยดาวเม้มปากแน่น ใจเธอเต้นตุ้บไม่เป็นจังหวะ แต่เธอรู้ดี…นี่มันแค่คำเตือนน่าขนลุกกว่าด่ากันต่อหน้าเสียอีก
"ขอบคุณค่ะ แค่เฉี่ยวผ่าน ยังไม่ได้ชนคะ"
เสียงเครื่องมอเตอร์ไซค์เงียบหายไปแล้ว แต่เสียงหัวใจร้อยดาวยังเต้นโครมคราม มือน้อยของเธอเย็นเฉียบ มาคินสังเกตได้ชัด
“เธอโอเคมั้ย เดี๋ยวมานี่ก่อน" เขายื่นมือไปกุมข้อมือเธอแน่น อ๊อฟกับก๊อปเปอร์ยืนมองด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“ฉัน ฉันแค่ตกใจ” ร้อยดาวกัดริมฝีปาก เธอพยายามดึงมือออกแต่เขาไม่ยอมปล่อย
“ไม่มีใครรู้ว่ามันจะบ้าอะไรอีก เข้าไปข้างในก่อน เข้าไปในค่ายทุกคนเลย” มาคินหันไปสั่งเสียงแข็ง ดวงตาเขาเข้มเหมือนจะพุ่งไปลากคนร้ายด้วยมือเปล่า อ๊อฟตบบ่าพี่ชายเบา ๆ
“เออ เข้าไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวมึงคุยกับโปเต้เลยนะ”
โปเต้กำลังยืนคุยเรื่องโปรเจกต์กับสงคราม ใบหน้าเขาขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นมาคินพาร้อยดาวเดินตัวสั่นเข้ามาพร้อมอ๊อฟกับก๊อปเปอร์
“เกิดอะไรขึ้น” โปเต้ถามทันที เสียงนิ่งแต่มีน้ำหนัก
“เด็กโดนเฉี่ยว” อ๊อฟรีบเล่าแทน
“มีไอ้พวกแต่งท่อ ขี่มาปาดหน้าหวิดหัวทิ่ม เล่นเอาหลอนกันหมด" ก็อปเปอร์บอกเฮีย ร้อยดาวหันไปมองเฮียสงคราม ดวงตาเธอแดงนิด ๆ
“มันเหมือนตั้งใจจริง ๆ ค่ะเฮีย เหมือนเขามาดักรอมันไม่ใช่อุบัติเหตุแน่ ๆ” สงครามช้อนสายตาคมกริบขึ้นมองหน้ามาคิน
“เห็นหน้าได้มั้ย”
“มันใส่หมวกเต็มใบปิดหมดครับ แต่ตรงนั้นมีกล้องอยู่ผมว่าจะไปขอกล้องวงจรปิดในห้องควบคุมมาดูด้วย ” มาคินตอบฉะฉาน มือยังไม่ยอมปล่อยมือร้อยดาว โปเต้ถอนหายใจ มองสองคนสลับกัน สีหน้าคล้ายจะเครียดกว่าทุกที
“ดีแล้ว เก็บหลักฐานไว้ อย่าให้เรื่องพวกนี้มันเลยเถิด ไปบอกคนในห้องว่าเฮียขอไป” สงครามเคาะนิ้วบนแฟ้มงานเบา ๆ ก่อนจะพูดเสียงต่ำแต่เด็ดขาด
“ไปแจ้งความไว้ด้วย ลงบันทึกประจำวัน เก็บภาพกล้องไปให้ครบเรื่องนี้กูจะไม่ปล่อยผ่าน”
“ครับเฮีย” มาคินตอบทันที อ๊อฟกับก๊อปเปอร์พยักหน้ารับคำ
สงครามปรายตามองร้อยดาวที่ยังดูหน้าเสีย
“เธออยู่กับพวกมันไปก่อน อย่าเพิ่งกลับบ้านคนเดียว จะไปไหนให้ยะห์ขับรถให้ เดี๋ยวเฮียจะบอกยะห์ให้”
อากาศในห้องประชุมยังตึงเครียด ร้อยดาวยืนใกล้มาคินจนแทบชิบ เสียงฝนพรำบางเบานอกหน้าต่างเหมือนช่วยกดบรรยากาศให้นิ่งสนิทขึ้น ไม่มีใครรู้เลยว่าคืนนี้ พรุ่งนี้ หรืออีกกี่วัน คนที่ซุ่มเงาอยู่นั้นจะโผล่มาอีกเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ ๆ ครั้งนี้จะไม่ใช่แค่ เฉี่ยวเล่นอีกต่อไป
ร้อยดาวยังลูบหัวเจ้ามะยมกับเจ้าก้อนทองที่กระโดดไปกระโดดมาบนเบาะหลังอยู่ไม่หยุด มาคินยื่นมือมาเปิดประตูรถฝั่งเธอ ลมหนาวตีเข้ามาทันทีจนเธอต้องห่อตัว ดึงผ้าพันคอคลุมแน่น“หนาว” เสียงเธอสั่น ๆ พอให้มาคินขำในลำคอมือหนายื่นมาโอบไหล่เธอไว้ ก่อนจะหยิบกระเป๋าเล็ก ๆ ของเธอสะพายเองแล้วพาก้าวลงจากรถทันทีที่เท้าเหยียบพื้นดินบนลานจอดบ้านพัก เสียงกรวดกรอบ ๆ ใต้รองเท้าฟังดูสงบกว่าทุกวัน เจ้าก้อนทองกับเจ้ามะยมกระโดดลงมาก่อน วิ่งดมดิน ดมต้นหญ้า หมอกบาง ๆ ลอยผ่านขนหมาจนเปียกเป็นหย่อม ๆบ้านพักไม้สองชั้นทรงเรียบ แต่มีระเบียงกว้างทอดออกไปด้านหลัง มองเห็นเนินเขาลูกแล้วลูกเล่า ปลายไม้ระเบียงมีละอองน้ำเกาะพราวเป็นหยด ยามแสงแดดอ่อน ๆ ของเช้าเริ่มส่องลอดกลุ่มหมอก ก็ดูเหมือนเกล็ดเพชรระยิบระยับ“สวยจนเหมือนฝันเลยนะ” ร้อยดาวพึมพำออกมาเบา ๆ เธอเกาะแขนเขาแน่น มาคินหันมามอง ยิ้มบางอย่างใจดี“ไม่ใช่ฝันหรอก วันนี้ของจริงแล้ว” เขาดันประตูบ้านพักออกไปเบา ๆ กลิ่นไม้สนหอมอ่อน ๆ ลอยออกมาต้อนรับภายในบ้านมีเตาผิงเล็ก ๆ มุมหนึ่ง แต่สองคนไม่สนใจอะไรในบ้านเลย เพราะข้างนอกนั่นกำลังเรียกพวกเขาออกไปหามาคินวางกระเป๋า แล้วจับมือ
ไฟห้องนั่งเล่นเปิดสลัว ๆ มีเพียงเสียงหมาน้อยสองตัวที่วิ่งไล่กันอยู่บนพื้นไม้ เสียงกรงเล็บเล็กกระทบพื้นดังกิ๊ก ๆ สลับกับเสียงเห่าเถียงของเจ้าก้อนทองกับเจ้ามะยมมาคินนั่งพิงโซฟา ยื่นขาถอดรองเท้าออกวางบนพรม ร้อยดาวเพิ่งเดินออกจากครัวพร้อมถ้วยโกโก้อุ่นในมือสองใบ กลิ่นนมสดกับผงโกโก้แท้ลอยคลุ้งไปทั่วบ้าน เธอวางแก้วใบหนึ่งลงตรงหน้ามาคิน แล้วทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ มืออุ่นของเธอเลื่อนมาลูบหัวเจ้าก้อนทองที่กระโดดขึ้นมาตักคืนนี้ไม่มีแสงสปอร์ตไลท์ ไม่มีเสียงแฟนคลับกรี๊ด ไม่มีไฟเวทีพร่างตา มีเพียงลมหายใจของสองคน ที่กำลังจะออกเดินทางไปหาหมอกขาวบนดอยในวันรุ่งเช้า เสียงหรีดหริ่งเรไรข้างบ้านดังลอดหน้าต่าง ครู่หนึ่งร้อยดาวหันมามองคนข้างกาย“นี่ คิดดีแล้วใช่มั้ย จะพาฉันกับหมาสองตัวไปหนาวบนดอยด้วยเนี่ย" มาคินอมยิ้ม หันมาจับแก้มเธอเบา ๆ ปลายนิ้วเย็นนิดหน่อเพราะเพิ่งแตะแก้วโกโก้“คิดดีแล้วครับคุณแฟน เพราะไม่มีเธอ ฉันก็หนาวแย่สิ”ร้อยดาวตีแขนเขาเบา ๆ แต่ก็ยอมเอนหัวซบไหล่เหมือนเด็กขี้อ แสงไฟสีอุ่นในห้องนั่งเล่นตกกระทบเสี้ยวหน้าเธอ ดวงตาเป็นประกายระยิบเหมือนเด็กที่กำลังเฝ้ารออะไรสักอย่างด้วยใจเต้นแรงเจ้ามะยมกร
AFTER PARTY ก้าวต่อไปหลังไฟสปอร์ตไลท์ดับค่ำคืนนั้นหลังเวทีใหญ่ปิดฉาก เสียงปรบมือยังแว่วอยู่ในหัว ร้อยดาวกับมาคินเพิ่งเปลี่ยนชุดเป็นชุดสบาย ๆ เดินออกจากห้องแต่งตัวด้วยใบหน้ายังแดงระเรื่อจากไฟบนเวทีในห้องพักหลังคอนเสิร์ต ทีมงานทุกคนรออยู่แล้ว โปเต้เดินถือขนมกล่องใหญ่กับเครื่องดื่มในมือ สงครามยืนพิงกำแพงรอ ส่วนอ๊อฟกับก็อปเปอร์นั่งกอดหมอนบนโซฟายาว สภาพทุกคนดูอ่อนล้าแต่ตากลับเปล่งประกายเหมือนเพิ่งได้รับพลังใหม่บนโต๊ะกลางมีเค้กเล็ก ๆ ปักเทียน “1 Year Anniversary” ที่โปเต้สั่งให้ บรรยากาศไม่มีเสียงกรี๊ด ไม่มีใครถือแท่งไฟ มีแต่เสียงหัวเราะเบา ๆ ของคนที่เป็นเหมือนครอบครัวจริง ๆ โปเต้วางกล่องขนมลงโต๊ะ“เอ้า นี่ของขวัญวันครบรอบหนึ่งปีของเด็กคู่นี้… พี่สั่งมากับมือ ไม่ได้ให้เอฟซีนะ พี่ให้เอง” โปเ้เองพอใจในน้อง ๆ สังกัดตนเองทุกคน“ขอบคุณพี่โปเต้มากครับ พี่นี่แหละคนดันเรามาตลอด”“เฮีย ถ้าไม่มีเฮีย หนูคงไม่มีวันนี้จริง ๆ ค่ะ” ร้อยดาวขอบคุณสงคราม“ถ้าเธอสองคนไม่อดทน ก็คงไม่มีวันนี้เหมือนกัน จำเอาไว้ ทุกเทคที่ซ้อมกันยันเช้า ไม่เสียเปล่าเลย” สงครามพยักหน้านิ่งก็อปเปอร์ลุกมาดึงทั้งคู่มานั่งรวมวงบนพื
เสียงกรี๊ดต้อนรับดังลั่นจนเกือบกลบเสียงพิธีกรบนเวทีในฮอลล์คอนเสิร์ตใหญ่ที่ถูกตกแต่งด้วยไฟเวทีสีทองนวล พร็อพดอกไม้หลากสีและแบนเนอร์คู่จิ้น ร้อยดาว × มาคินทุกเก้าอี้ถูกจับจองแน่นขนัด แท่งไฟนับพันกวาดแสงไปมาเป็นคลื่นเหมือนท้องทะเลเรืองแสงเสียงเพลงอินโทรเปิดตัวเริ่มขึ้นพร้อมแสงไฟไล่ไปตามแนวเวที เมื่อเงาสองคนก้าวออกมาจากด้านหลัง ม่านไฟพุ่งขึ้นต้อนรับ เสียงกรี๊ดก็ดังสนั่นราวกับฮอลล์จะสั่นสะเทือนร้อยดาวยืนข้างมาคิน มือเล็กกำไมค์ไว้แน่นเพราะหัวใจเต้นแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แววตาของเธอวาววับ มองแฟนเพลงกว่าพันชีวิตที่โบกแท่งไฟรออยู่"สวัสดีครับ โอ้โห ผมคิดว่าจะไม่มีคนมาดูพวกเราสองคนเสียอีกครับ" เสียงมาคินทักทายเรียกเสียงกรี๊ดดังสนั่นลั่นฮอลล์“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่วันนี้ทุกคนมาชาร์จพลังให้พวกเราจริง ๆ ”เสียงเธอสั่นหน่อย ๆ ก่อนจะหัวเราะเบาเมื่อมาคินโอบไหล่ให้กำลังใจข้าง ไฟสปอร์ตไลท์สาดลงบนสองคนที่ยืนเคียงกันเหมือนคู่พระนางในนิทานช่วงกลางคอนเสิร์ต หลังจากเพลงซึ้งจบไปสามสี่เพลงพิธีกรเซอร์ไพรส์ด้วยการเชิญ “แขกรับเชิญพิเศษ” ของสองคนขึ้นมาบนเวทีเสียงกรี๊ดรอบใหม่ดังขึ้นทันที เมื่อเห็นพ่อกับแม่
กำลังใจจากครอบครัวหลังจากนั่งพักได้ไม่นาน เสียงประตูข้างเวทีก็เปิดออกอย่างเบา ๆ แม่ของร้อยดาวเดินนำเข้ามาก่อน ตามด้วยพ่อแม่ของมาคิน ทุกคนยิ้มให้กันด้วยความเก้อเขินปนอบอุ่น“แม่” ร้อยดาวร้องเรียกเสียงเบา ลุกไปกอดแม่ตัวเองแน่น แม่ลูบหัวลูกสาวเบา ๆ เห็นใบหน้าเหนื่อยล้าก็ถอนหายใจอย่างโล่งใจ“ลูกทำได้ดีแล้วนะ แม่อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวแล้วนะ” มาคินเดินไปยกมือไหว้พ่อแม่ตัวเอง ก่อนจะหันมายกมือไหว้แม่ร้อยดาวด้วย ร้อยดาวยกมือไหว้พ่อแม่มาคินเช่นกัน“ขอบคุณนะคะ ที่มาดูพวกเราด้วยตัวเอง” ร้อยดาวก้มศีรษะบอกแม่มาคินด้วย รอยยิ้มบนหน้าทุกคนเหมือนเชื่อมกันไว้แน่นกว่าเดิมในอ้อมแขนพ่อของมาคินมี เจ้ามะยม หมาตัวน้อยหูตั้ง ๆ ใส่ผ้าพันคอสีเหลือง ส่วนเจ้าก้อนทองนั่งอยู่บนตักแม่ร้อยดาว ขนฟูจมอยู่ในตะกร้าใส่ของกิน พร้อมเสียงเห่าเมื่อเจอหน้าร้อยดาวทันที“ดูสิ ๆ พาเด็ก ๆ มาด้วย เผื่อจะให้กำลังใจพวกแก” แม่มาคินพูดขำ ๆ แล้วอุ้มเจ้ามะยมเดินวนไปรอบ ๆเจ้าก้อนทองกระโดดออกจากตะกร้า พุงเล็ก ๆ ชะโงกดมถุงขนมบนโต๊ะ ทำเอาอ๊อฟกับก๊อปเปอร์หัวเราะแล้วแหย่มันเล่น“โอ๊ย ก้อนทองนี่กินเก่งเหมือนแม่มันเลย" ก๊อปเปอร์แซวแล้วโดนร
วันแถลงข่าวเปิดตัว 1st Anniversary คู่วงจิ้น Kin&Daoจัดที่โถงใหญ่ของค่าย ศิลปินรุ่นพี่รุ่นน้องยืนออรอให้กำลังใจอยู่รอบนอกมาคินใส่สูทสีเบจ เนี้ยบแต่ดูอบอุ่น ร้อยดาวอยู่ในเดรสยาวลูกไม้สีขาวอมชมพู รวบผมหลวม ๆ ให้ดูน่ารักแต่สง่าสองคนเดินจับมือออกมาหน้าแบ็กดรอปพร้อมกัน ท่ามกลางแฟลชกล้องจากนักข่าวและเสียงกรี๊ดของเอฟซีที่ตามมาตั้งแต่เช้าหลังตอบคำถามเรื่องอัลบั้มใหม่ โปรเจกต์เพลง และเซอร์ไพรส์เวทีใหญ่ ร้อยดาวหันมามองกลุ่มแม่ ๆ เอฟซีที่ยืนรวมกันตรงแถวหน้า เธอจับไมค์แน่นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจน สั่นนิด ๆ เพราะตื้นตัน“ขอบคุณนะคะ ที่รักกันมาตลอดปีที่ผ่านมา ขอบคุณที่อยู่ข้างเราตั้งแต่ตอนที่เรายังไม่มีอะไรเลย จนถึงวันที่มีเวทีเป็นของตัวเองแบบนี้” เธอยกมือไหว้แฟนคลับทุกบ้าน เสียงกล้องยังดังไม่หยุด แต่ทุกคนจะได้ยินถ้อยคำที่ออกจากใจเธอชัดเจน“หนูขออ้อนแม่ ๆ ทุกบ้านเลยนะคะ วันจริงอย่าลืมพากันมาดูพวกเราด้วยนะ มาเจอกันหน้างานอีกครั้ง จะมีที่ว่างตรงนี้ให้แม่ ๆ เสมอค่ะ” เสียงกรี๊ดแทบแตกฮอลล์ มาคินหันมามองแฟนสาวแล้วส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนหัวเราะออกมา“ถ้าใครไม่ได้มานะ ดาวจะน้อยใจจริง ๆ ด้วย”หลังจบช่วงตอบ







