ชีหยวนไม่เคยละทิ้งความคิดที่จะสังหารสวีไห่เลยแม้แต่ชั่วขณะบุรุษผู้นั้นเหี้ยมโหดไร้มนุษยธรรมแถมยังเจ้าเล่ห์นัก ชำนาญในการทำลายกำลังใจผู้คนครั้งนั้นกองกำลังป้องกันถูกซุ่มโจมตี ในมือของสวีไห่ยังมีอาวุธที่ซื้อจากชาวผูเถาหยา[1]มา ใช้การได้ดีกว่าปืนไฟของต้าโจวมากนัก จึงทำให้พวกเขาสูญเสียอย่างหนักสามเณรน้อยบังร่างนางไว้ข้างหน้า อกถูกยิงจนร่างแทบกลายเป็นโพรงโลหิตถึงเพียงนั้น สามเณรน้อยก็ยังจับมือนางไว้ พูดเสียงเบา “ท่านต้องกลับบ้าน ท่านต้องมีชีวิตรอดกลับบ้าน”นับแต่วันนั้น ชีหยวนจึงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องเข้าไปในจวนอ๋องฉีเพื่อสังหารอ๋องฉีให้ได้เพราะด้วยการอุปถัมภ์ของอ๋องฉี สวีไห่ถึงได้ขยายกำลังอย่างรวดเร็วเขาช่วยอ๋องฉีลักลอบค้าของเถื่อน อ๋องฉีก็ให้การคุ้มครองเขาทว่าก่อนหน้านั้น นางเคยคิดว่าตนจะต้องสิ้นชีพในวันนั้นแล้วเพราะสุดท้ายแล้ว สวีไห่คนนี้ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมสังหารคนไร้ร่องรอย มิใช่ผู้จะมีเมตตาในหัวใจแม้แต่น้อยแต่ครั้งนั้น สวีไห่กลับเมิได้ฆ่านาง หากเพียงแทงทะลุกระดูกสะบักนาง แล้วโยนทิ้งลงบนโขดหิน มองนางแล้วยิ้มแย้มพลางพูดว่า “ใกล้น้ำขึ้นแล้ว ลองดูสิว่าวันนี้โชคของเจ้า
นางรู้แจ้งแก่ใจ อ๋องฉีให้ฉีหลินอยู่ข้างกายเฝิงไฉ่เวย ย่อมไม่มีเจตนาดีเป็นแน่เพียงแต่ครานี้ถูกจับได้ หากความอดทนของเฝิงไฉ่เวยมากกว่านี้อีกสักหน่อย รั้งไว้นานกว่านี้อีก มีฉีหลินอยู่ด้วย ไม่รู้เลยจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้างไม่ง่ายเลยกว่านางจะเดินมาถึงก้าวนี้เกือบจะได้มีชีวิตเหมือนเช่นคนธรรมดาแล้วหากใครมาขวางทางนาง คนผู้นั้นก็คือศัตรูของนางตายก็ไม่ต้องเสียดายฉีหลินร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เห็นชีหยวนยังไม่สะทกสะท้าน หยิบเข็มขึ้นมาอีกครั้ง จึงกรีดร้องออกมา “ท่านอ๋องก็เพียงอยากให้พวกข้าพาเจ้าไปหงตูเท่านั้น! ท่านอ๋องพึงใจต่อเจ้า ก็แค่นั้นเอง!”พึงใจหรือ?ตัดแขนตัดขา ทำให้นางหมดสภาพความเป็นมนุษย์ นั่นเรียกว่าพึงใจอย่างนั้นหรือ?ชีหยวนหัวเราะเบา ๆ นิ้วมือลากไปบนร่างฉีหลิน แล้วหยุดลงที่จุดหนึ่ง เอ่ยเสียงแผ่ว “ตรงนี้คือจุดหมิงเหมิน[1]หากข้าแทงลงไปอีก เจ้าก็จะตาย”ฉีหลินตกใจจนหน้าซีดเผือดชีหยวนจึงเอ่ยถามเสียงเรียบ “ว่าอย่างไร จะพูดหรือไม่พูด?”ฉีหลินไม่อาจทนต่อไปได้แล้วจริง ๆเขาเองก็รู้ว่าชีหยวนจัดการได้ยากยิ่งจูเชวี่ย เสวียนอู่และไป๋หู่ ล้วนสิ้นชีพอยู่ในมือของชีหยวนทั้งสิ้น
ชีหยวนปรายตามองเขาอย่างเย็นชา จากนั้นก็ควักห่อผ้าเล็ก ๆ ออกจากถุงห้อยเอวมา คลี่ออกบนพื้นอย่างไม่ลังเล เผยให้เห็นเข็มทองเรียงรายอยู่ภายในเข็มทอง!ฉีหลินพลันดิ้นรนสุดแรง “เจ้าจะทำอะไร?! เจ้าคิดจะทำอะไร?!”ชีหยวนสีหน้านิ่งเฉย ยื่มมือไปกดใบหน้าเขาไว้ “ทางที่ดีเจ้าอย่าได้ขยับ เจ้าฝึกวรยุทธ์มา ย่อมรู้ว่าหากข้าแทงพลาดไปถูกจุดใดเข้า เจ้าก็อาจจะเป็นอัมพาตไปทั้งซีก หากไม่เชื่อเจ้าก็ลองดูสิ”ฉีหลินร่างกายแข็งทื่อในบัดดล มิกล้าขยับแม้แต่น้อย ได้แต่โพล่งปากด่าไม่หยุด “นางหญิงใจอสรพิษ! เจ้าช่างอำมหิตถึงที่สุด! ท่านอ๋องของพวกเรามีใจต่อเจ้าลึกซึ้งเพียงนั้น แม้จะให้พวกเรารั้งอยู่ที่เมืองหลวง ก็ไม่เคยคิดลงมือกับเจ้า เพียงอยากจะพาเจ้าไปหงตูเท่านั้น!”......ชีหยวนเพียงแค่เหลือบตามองเขาหนึ่งทีแล้วก็อดมิได้ที่จะรู้สึกว่าอ๋องฉีผู้นี้น่าขันยิ่งนักน่าขันจนถึงที่สุดบุรุษผู้นี้เป็นเช่นนี้เสมอมา ไม่เคยเห็นคุณค่าในตัวนาง กดทับฝีมือของนาง ทำร้ายคนในครอบครัวของนาง ตัดแขนตัดขานาง แล้วก็ยังกล้าพูดว่าเป็นความรักความรักเช่นนี้ ช่างชวนให้ผู้คนขนหัวลุกนางหยิบเข็มทองขึ้นมาหนึ่งเล่ม แทงลงตรงกลางฝ่ามือฉีหลิ
แต่ตอนนี้ชีหยวนกลับต้องไปสอนหนังสือในสำนักศึกษาเช่นนั้น มิเท่ากับว่าเมื่อถึงเวลาก็จะแพร่กระจายไปจนคนรู้กันทั่วหรือ?ท่านโหวผู้เฒ่าชีลูบเคราตนเอง กลับสนับสนุนเรื่องนี้นัก “แม่หนูหยวน ควรไป! ฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้ ก็แสดงว่าชื่นชมเจ้า”พูดตามตรง ถ้อยคำที่ชีหยวนเอ่ยไว้ที่ภัตตาคารนั้น ช่างดีนักหนา!ดีกว่านี้หามีไม่ทุกวันนี้ท่านโหวผู้เฒ่าชีออกไปข้างนอก มักมีคนเข้ามากล่าวกับเขาเสมอ ว่าเขามีหลานสาวที่เก่งกาจยิ่งแม้การกระทำของฮ่องเต้หย่งชางครานี้ จะมีเค้าลางเหมือนเป็นการผลักชีหยวนออกไปรับไฟแค้นแทนตระกูลเถียนอยู่บ้างแต่กระนั้นก็นับว่าเป็นเรื่องดี ที่จะได้สร้างชื่อเสียงชื่อเสียงระบือไกล มีสิ่งใดไม่ดีเล่า?ฮูหยินผู้เฒ่าชีขมวดคิ้วพลางว่า “หากต้องไป เช่นนั้นก็ให้น้าสะใภ้รองไปกับเจ้าด้วย”แต่นี้หาใช่ประเด็นหลักไม่สิ่งที่ชีหยวนใส่ใจกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นางถามท่านโหวผู้เฒ่าชี “แล้วอีกสามสิบคนที่เหลือนั้น ท่านปู่จัดการอย่างไร?”“อย่าได้เอ่ยเลย คนตั้งมากมาย!” ท่านโหวผู้เฒ่าชีหลับตาลง เอ่ยเสียงขรึม “ข้าให้กักตัวไว้ในเรือนพักนอกเมืองแล้ว คนมากเกิน ฆ่าไปก็ไม่รู้จะปกปิดอย่างไรไม่ให้เป็นที่สงส
ครานี้ราชสำนักดำเนินการอย่างสายฟ้าแลบโดยแท้ที่ลานสุนัขเริ่มทำการเก็บกวาดซากกระดูกมิได้หยุด แล้วให้ราษฎรมาตรวจสอบและรับไป หากไม่มีผู้ใดรับกลับไป ก็ให้ราชสำนักเป็นผู้รับผิดชอบฝังศพให้ส่วนเหล่าราษฎรที่สูญเสียญาติ ราชสำนักได้จัดสรรเงินส่วนหนึ่งเพื่อชดเชยความสูญเสียให้แก่คนเหล่านี้ฮ่องเต้หย่งชางย่อมรู้ดีว่า เงินมิอาจซื้อชีวิตคนกลับคืนมาแต่สำหรับราษฎรชั้นล่าง หากมีเงินก็ยังพอมีความหวัง ย่อมดีกว่าทั้งคนทั้งทรัพย์สินต้องสูญสิ้นแม้พระองค์รู้ว่าไทเฮารู้จักกาลเทศะ แต่ก็หาได้เป็นอุปสรรคต่อการลงทัณฑ์ตระกูลเถียนไม่ทรัพย์สินของจวนเฉิงเอินกงถูกริบจนหมดนำมาใช้ชดเชยแก่ราษฎรที่สูญเสียญาติส่วนที่เหลือ ก็นำไปสร้างสำนักศึกษาขึ้นตรงที่เดิมที่เคยเป็นลานสุนัขให้บุตรหลานราษฎรยากจนได้มีโอกาสเรียนหนังสือบทเรียนแรก ฮ่องเต้หย่งชางกลับเลือกชีเจิ้นชีเจิ้นถึงกับตะลึงงันเดิมทีเขายังมัวยุ่งอยู่กับการฝึกทหาร เพราะอีกไม่กี่วันก็เป็นวันฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้หย่งชางพอดี ปีนี้หว่าล่า เหมิงกู่ รวมถึงตงอิ๋ง เกาลี่และอันหนาน ต่างก็ส่งคณะทูตเข้ามาดังนั้น สำนักขุนนางหลวงจึงออกคำสั่ง ให้ค่ายท
ครั้งนี้การแสดงออกของเขาช่างโดดเด่นนัก แต่ถึงกระนั้น ในพระทัยฮ่องเต้หย่งชางก็ยังคงผูกพันห่วงใยเซียวอวิ๋นถิงที่สุดไร้ประโยชน์สิ้นดี ไม่ว่าตนจะทำได้ดีเพียงใด จะเก่งกาจสักเพียงไหน ก็ยังมิอาจเทียบกับตำแหน่งของเซียวอวิ๋นถิงในพระทัยฮ่องเต้หย่งชางได้อย่างไรก็ตาม เซียวจิ่งจาวก็ปรับอารมณ์ของตนได้อย่างรวดเร็ว สูดลมหายใจลึกหนึ่งเฮือก สีหน้ากลับคืนเป็นปกติแล้วออกจากวังไปเขาตรงไปยังวังบูรพาเพื่อเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทองค์รัชทายาทกำลังเริงร่าอยู่กับบรรดาสาวงามทั้งหลาย ข้างกายมีซ่งเหลียงตี้คอยพัดให้ครั้นเห็นเซียวจิ่งจาวเข้ามา ดวงตาของซ่งเหลียงตี้ก็เป็นประกายสว่าง แต่ยังข่มใจมิได้ขยับกายจนเมื่อองค์รัชทายาทอุทานเบา ๆ พลางโบกมือเรียก ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม “กลับมาแล้วหรือ?”เซียวจิ่งจาวก็เข้าไปนั่งใกล้องค์รัชทายาทอย่างสนิทสนม พลางหยิบองุ่นที่อยู่ข้าง ๆ กินลูกหนึ่ง แล้วกดเสียงต่ำ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฟังองค์รัชทายาทฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มเยาะเย้ย “เถียนป๋อจือไม่เห็นหัวผู้ใดมานานแล้ว เขาจะเกิดเรื่องก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นเอง แต่ว่าขิงต้องแก่ถึงจะเผ