로그인ศศิธรหรือเดือนหญิงสาวอายุ24ปี เธอเป็นพนักงานออฟฟิศในบริษัท
แห่งหนึ่ง เธอทำงานที่นี่มาได้หลายปีแล้วส่งผลให้เงินเดือนของศศิธรสูงค่อนข้างที่จะสูง แต่ความฝันสูงสุดของเธอคือการได้กลับไปอยู่บ้านนอกและใช้ชีวิตกับแม่ที่ใกล้ชรา ทำสวนปลูกผักใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยสบายๆ ไม่ใช่ชีวิตที่ทุกอย่างคือการแข่งขันและต้องเร่งรีบไปเสียหมดเธอกำลังอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว เนื่องจากโครงการที่เธอได้รับมอบหมายล่าสุดถูกส่งต่อให้กับฝ้ายคู่อริของเธอ ทั้งศศิธรและฝ้ายเป็นคนสวยทั้งคู่ เดือนเป็นคนสวย
ที่มองแล้วสบายตาเธอชอบแต่งตัวเรียบง่าย ส่วนฝ้ายเธอเป็นคนสวยที่หน้าตาเย้ายวนชอบแต่งตัวเซ็กซี่ฝ้ายมักจะมีหนุ่มๆ ในออฟฟิศมาตามจีบเสมอในตอนแรกๆ ที่เข้ามาพร้อมกันทั้งคู่เคยสนิทกันมาก สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่มีปัญหากันเพราะฝ้ายเคยแย่งงานของเดือนไปโดยการขโมยไฟล์งานในคอมพิวเตอร์ของเดือนไปมันเป็นโครงการที่เดือนใช้เวลาหลายเดือนในการคิดค้น เดือนไม่มีหลักฐานอะไรในการเอาผิดอีกฝ่าย หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มมีปัญหากันเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ถนนxxx เวลา 08.30 น.
ศศิธรกำลังนั่งอยู่บนรถแท็กซี่ วันนี้รถติดหนักกว่าทุกวัน “คุณผู้ชมคะ
เรากำลังอยู่หน้าโรงเรียนย่านxxxที่มีเหตุโครงสร้างอาคารถล่มลงมาในช่วงเย็นของ เมื่อวานค่ะ จากรายงานพบว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น13คนคือผู้รักษาความปลอดภัยของโรงเรียนที่กำลังเดินตรวจอาคารตอนเกิดเหตุ2ศพ เด็กนักเรียน9ศพและครูอีก2ศพ” เธอได้ยินข่าวจากเครื่องเล่นเสียงบนแท็กซี่ก็รู้ได้ถึงสาเหตุที่รถติดทันทีในขณะนั้นเองเธอก็หันไปเห็นโรงเรียนที่เกิดเหตุถล่ม ได้แต่คิดในใจว่าน่าสงสารจริงๆ ยังเป็นเด็กกันอยู่แท้ๆ ต้องมาโชคร้ายแบบนี้ ชีวิตคนเรานี่มันไม่แน่ไม่นอนจริงๆ เราจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะตายเมื่อไหร่
พอคิดมาถึงตรงนี้ก็ทำให้คิดถึงแม่ที่รออยู่ที่บ้านที่ต่างจังหวัดขึ้นมา เมื่อไหร่จะได้กลับไปอยู่กับแม่นะคิดถึงจะแย่อยู่แล้ว แม่
รอหนูก่อนนะอีกไม่นานเราจะได้ใช้ชีวิตที่วาดฝันไว้ด้วยกันเมื่อมาถึงบริษัทเธอก็นั่งพักจิบกาแฟที่โต๊ะทำงานเพื่อเรียกสติก่อน
เริ่มงาน ศศิธรเป็นคนขยันตั้งใจทำงานเธอมักจะมาถึงคนแรกและกลับคนสุดท้ายเสมอเมื่อเห็นว่ามีคนมาใหม่เป็นพี่ที่สนิทกันก็ยิ้มทักทายและถามว่า “พี่จิ๊บ เอกสารรายงานประชุมเมื่อวานอยู่กับพี่หรือเปล่าคะหนูจะเอามาทำสรุปไว้”
“อ๋อ อยู่ในห้องเก็บเอกสารนู่นแหละพี่พิมพ์เสร็จก็เอาไปเก็บตั้งแต่เมื่อเย็น”
“ขอบคุณค่ะ งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ” ศศิธรยิ้มขอบคุณ และลุกขึ้นเพื่อเดินไปที่ห้องเก็บเอกสารทันที
เมื่อมาถึงเธอก็เริ่มค้นหาแฟ้มรายงานประชุม “เอ๊ะ ปกติมันต้องอยู่ชั้นนี้สิใครย้ายไปไหนนะ” เธอพึมพำเบาๆ
ศศิธรค้นหาไปเรื่อยๆ จนมาเจอกับแฟ้มสีส้มเล่มหนึ่งเธอเปิดอ่านมัน
”เจอสักที” เธอกำลังหันหลังกลับเพื่อจะออกไปทางประตูแต่ก็มีเสียงคุ้นหูแว่วข้ามาจากประตูอีกฝั่งที่เชื่อมกับห้องของหัวหน้าของเธอเสียงของหญิงสาวกล่าวว่า “พี่นัท พี่สัญญากับฝ้ายแล้วนะว่าจะซื้อกระเป๋าใบนี้ให้อ่ะทำไมพี่ผิดสัญญาล่ะ”
“ฝ้ายก็ต้องเข้าใจพี่ด้วยเดือนนี้พี่ต้องจ่ายค่าเทอมลูก ฝ้ายรอเดือนหน้าไม่ได้หรอ” เมื่อรู้ว่าในห้องนั้นเป็นใครเดือนตกใจสุดขีดรีบเอามือกุมริมฝีปากทันที
“ไม่รู้ล่ะ ถ้าพี่ไม่ซื้อให้ฝ้ายจะไปบอกเมียพี่เรื่องของเรา ฝ้ายไปละ” น้ำเสียงของเธอประชดประชันชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า ฝ้ายเดินหนีอีกฝ่ายมือของเธอเอื้อมไปจับลูกบิดประตู
เมื่อศศิธรรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะเปิดประตูเข้ามาเธอก็รีบหันหลังกลับเพื่อจะรีบวิ่งออกจากห้องเอกสารแต่ด้วยความที่ห้องนี้ค่อนข้างอัดแน่นไปด้วยเอกสารทำให้เธอสะดุดล้มลงไปใส่ชั้นเอกสารทำให้ชั้นโอนไปเอนมาเครื่องเย็บเอกสารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนชั้นล่วงลงมาโดนศีรษะของเธอ
ตึง!
ศศิธรหมดสติทันที “กรี๊ดดด เดือน!เป็นอะไรไหม เดี๋ยวฉันจะไปตามคน
มาช่วยนะ” ฝ้ายที่เข้ามาเห็นก็รีบไปดูอาการเดือนทันทีถึงจะไม่ถูกกันแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเจ็บตัวเธอก็ไม่อาจเมินเฉยได้ แต่มันสายไปเสียแล้วร่างของศศิธรกลายเป็น ร่างไร้ลมหายใจไปแล้วณ บ้านสกุลกู้
ศศิธรรู้สึกตัวมาได้สักพักแล้วแต่เธอยังไม่สามารถปรับม่านตาให้รับแสงได้ หญิงสาวรู้สึกได้ว่ามือทั้งสองข้างของเธอโดนฝ่ามืออุ่นของบางคนจับไว้เบาๆ
“แม่หรอ แม่” เธอพยายามเปล่งเสียงออกมาแต่มันช่างแหบแห้งเหลือเกิน
“เยว่เอ๋อร์ แม่อยู่นี่ลูก พ่อกับแม่อยู่นี่แล้วนะ” ใครคือเยว่เอ๋อร์ ไม่เห็นรู้จัก เปลือกตาของเธอเริ่มเปิดออกได้ครึ่งหนึ่งแล้ว หางตาเห็นเงาของคนสองคน ในหัวเริ่มประมวลผล เอ๊ะ แต่เดี๋ยวก่อนนะนี่มันภาษาจีนไม่ใช่เหรอ ศศิธรพูดภาษาจีนได้เพราะเธอต้องคุยกับลูกค้าที่เป็นคนจีนบ่อยๆ จึงต้องไปเรียนภาษาเอาไว้
เมื่อเธอลืมตาทั้งสองข้างขึ้นก็ต้องตกใจสุดขีด คนพวกนี้เป็นใครกัน แล้วนี่เราอยู่ที่ไหน ทำไมมันเหมือนในหนังย้อนยุคเลย โอเคยัยเดือนเมื่อกี้เธอโดนของแข็งหล่นใส่แล้วก็หมดสติไป แล้วพอลืมตาขึ้นมาเธอก็มาโผล่ที่ไหนก็ไม่รู้คิดสิคิด เอาล่ะมันต้องใช่แน่ๆ
ศศิธรในร่างจินเยว่พยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งโดยมีพ่อแม่ของเยว่จิช่วยประคอง “พวกคุณจับตัวฉันมาทำไม ปล่อยฉันไปเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฉันจะโทรเรียกตำรวจเดี๋ยวนี้เลย” พูดแล้วก็พยายามควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋า เอ๊ะ! แล้วกระเป๋าไปไหน
เธอยังคงพยายามหาต่อไป“เยว่เอ๋อร์ ลูกพูดเรื่องอะไรกัน แม่ไม่เข้าใจ” หนิงเทียนทำหน้าฉงน เมื่อครู่
เยว่เอ๋อร์ของนางยังนอนซมอยู่เลยแล้วนี่ลุกขึ้นมานั่งได้อย่างไรพอหาไปสักพักศศิธรเริ่มหอบหายใจแรงขึ้น เธอรู้สึกเหนื่อยจนหายใจไม่ทันท้ายที่สุดก็สลบไปอีกครั้ง
“ไม่นะเยว่เอ๋อร์ ท่านพี่ทำอย่างไรดีเจ้าคะ” หนิงเทียนถามเสียงสั่น
“ให้ลูกนอนพักก่อนเถอะ นางไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว” เขาเลือกที่จะตอบ
หนิงเทียนไปแบบนั้นเพราะไม่อยากให้ภรรยาทุกข์ใจไปมากกว่านี้“เจ้าค่ะ” หนิงเทียนจำใจยอม แต่มือก็กุมมือของบุตรสาวไว้ไม่ปล่อย
บทที่ 18 หมูกรอบเช้านี้จินเยว่และเจียวจิ้นออกไปขายของตามปกติ จินเยว่รู้สึกได้ว่าวันนี้นางขายดีกว่าสองวันแรก เพียงเปิดร้านไม่ถึงครึ่งชั่วยามส้มที่เตรียมมาประมาณร้อยผลก็หมดเกลี้ยงขนาดปิดร้านแล้วยังมีคนมาถามหาอยู่เลย ถ้าขายดีแบบนี้ทุกวันก็ดีสิแต่อะไรก็ไม่แน่นอนคนเราคงไม่สามารถกินส้มได้ทุกวันหรอกนางจะต้องหาสินค้ามาขายเพิ่มก่อนจะกลับบ้านจินเยว่ก็นึกขึ้นได้ว่านางยังไม่มีอุปกรณ์สำคัญสำหรับมื้อเย็นนี้เลยชวนเจียวจิ้นไปยังร้านที่ต้องการทันที“เจ้าจะซื้ออะไรอีกหรือเมื่อวานเราก็ใช้จ่ายไปเยอะแล้วนะ” เจียวจิ้นเอ่ยปากเตือนน้องสาว เขากลัวว่าน้องสาวจะกลายเป็นคนฟุ่มเฟือยภายหน้าจะเดือดร้อนได้“ข้าอยากได้เหล็กแหลมลักษณะคล้ายเข็มที่เราเอาไว้เย็บผ้าแต่ขนาดใหญ่กว่าหน่อยเจ้าค่ะ” จินเยว่บอกก่อนจะหันไปถามเจ้าของร้าน“ท่านลุงมีเหล็กแหลมความยาวประมาณฝ่ามือความใหญ่ประมาณตะเกียบไหมเจ้าคะ”“ตอนนี้ไม่มีหรอก ถ้าอยากได้เจ้ามารับพรุ่งนี้ลุงจะทำให้ใหม่”“งั้นข้าเอาสักสองอันนะเจ้าคะ”“ได้สิ ทั้งหมดก็ยี่สิบห้าอีแปะนะเจ้าสั่งจำนวนน้อยราคาก็จะสูงหน่อย”“ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะมารับช่วงสายๆ นะเจ้าคะ”จินเยว่รู้สึกเ
บทที่ 17 คนที่ไม่อยากเจอบ่ายวันนั้นจินเยว่เข้าไปเก็บส้มในมิติ นางไม่ต้องกังวลว่าส้มพวกนี้จะหมดเพราะพวกมันมีมากมายเหลือเกินแต่อาจจะต้องเอาสินค้าอย่างอื่นไปขายเพิ่มมาหมุนเวียนไปเรื่อยๆเมื่อเก็บส้มเสร็จก็พากันกลับบ้าน จินเยว่นึกขึ้นได้ว่านางลืมเปลือกหอยที่อาสี่นำมาให้เมื่อวานไปเลย โฉมสะคราญเดินไปในห้องครัวนำเปลือกหอยใส่ตะกร้าและเติมน้ำลงไปใช้มือวนๆ จนน้ำกลายเป็นสีขุ่นก็เปลี่ยนน้ำ นางเอาแปรงมาขัดเพื่อช่วยให้มันสะอาดมากยิ่งขึ้น ทำแบบนี้อยู่หลายครั้งเปลือกหอยที่อยู่ในตะกร้าดูสะอาดขึ้นก็เทน้ำออกจนหมด ก่อนจะนำเปลือกหอยไปวางตากแดดไว้เมื่อถึงเวลานัดส่งสินค้าสองพี่น้องก็นำส้มมาส่งที่ร้านอ้ายเหม่ย พวกเขาตกแต่งร้านสวยงามขนาดของร้านก็น่าจะเป็นร้านเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในตลาดนี้ ร้านอ้ายเหม่ยนี้มีขายทั้งเครื่องประดับมากมายและยังมีพวกเครื่องประทินโฉมอีกด้วย“พวกข้านำจวี๋จื่อมาส่งเจ้าค่ะ” จินเยว่ที่เห็นหญิงชรากำลังคุยกับลูกค้าอยู่ก็รอจนนางคุยเสร็จจึงจะเอ่ยทัก“มาแล้วหรือ มาๆ เข้ามาก่อน” หญิงชราบอกอย่างใจดี“นี่เงินค่าจวี๋จื่อ และนี่ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากยายถือว่าตอบแทนที่คราวก่อนแม่หนูแถมให้ยา
บทที่ 16 มันกินได้จริงหรือสองพี่น้องพากันเดินมาถึงที่บ้านหยอกล้อกันมาตลอดทาง ชีวิตพวกเขาสองสามวันมานี้รู้สึกเหมือนสุนัขที่โดนปลดโซ่คล้องคอออก พวกเขาสามารถทำสิ่งใดที่ใจคิดได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะต้องโดนว่ากล่าวหรือทุบตี ถึงบ้านหลังนี้จะเก่าทรุดโทรมแต่มันก็ให้ความอบอุ่นเป็นบ้านที่เจียวจิ้นไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เขาไม่ต้องโดนกดหัวใช้งานหรือโดนดูถูกเหยียดหยามจากคนในครอบครัววันนี้หนิงเทียนทำกับข้าวเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นคือผักป่าเอาไปผัดใส่เกลือเล็กน้อยกินกับข้าวต้ม จินเยว่รีบไปล้างมือล้างหน้าเตรียมตัวเพื่อที่จะเข้าครัวทำอาหารต่อ“ท่านแม่ไม่ต้องช่วยข้าหรอกเจ้าค่ะ ข้าทำคนเดียวได้” เอ่ยบอกกับมารดาที่รอช่วยนางอยู่ในครัวร่างเล็กนำเห็ดไปล้างในน้ำสะอาดจนมั่นใจแล้วว่าพวกมันสะอาดไร้สิ่งปนเปื้อนใดๆ ก่อนจะนำไปวางตากลมไว้ให้แห้งสักพัก ระหว่างรอเห็ดแห้งร่างเล็กก็ตักแป้งที่อยู่ในห่อออกมาประมาณหนึ่ง ใส่ชามผสมก่อนที่จะเทน้ำลงไปผสมให้เข้ากันและนำเห็ดใส่ลงไปคลุกเคล้าจนแป้งเหลวๆ เคลือบทั่วทุกอณูของเห็ดเหล่านั้น จินเยว่นำกระทะมาตั้งบนเตาที่หนิงเทียนก่อไฟไว้เมื่อเห็นว่าไอร้อนเริ่มแผ่ออกมาก็ค่อยๆ ใส่เห็ดล
บทที่ 15 ทุกอย่างต้องมีครั้งแรกเสมอ“ท่านป้าหมายถึงใครหรือเจ้าคะ” จินเยว่ยิ้มแต่สิ่งที่นางพูดออกมาทำอีกฝ่ายโกรธจนควันแทบออกหู “ใครเป็นป้าเจ้า!” นางตะโกนออกไปจนลืมว่าเมื่อครู่พึ่งบ่นจินเยว่ที่ตะโกนเสียงดังข้าอายุแค่สามสิบจะมาเป็นป้าใครได้ที่ไหนกัน นังเด็กนี่ปากเสียจริงๆ “ก็ท่านนั่นแหละเจ้าค่ะ ป้า ” จินเยว่เน้นเสียงหนักๆที่คำท้าย“หึ ไม่มีหัวคิดแบบนี้น่ะสิถึงได้นำแค่จวี๋จื่อออกมาขาย”แม่ค้าแผงผักเห็นว่าคนเริ่มมามุงดูนางทะเลาะกับเด็กสาวแผงข้างๆเยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มเรียกสติของตัวเองได้ นางขายตรงนี้มานานถือว่าเป็นทำเลที่ค่อนข้างดีเหมาะสมกับค่าเช่าแผง ถ้าทะเลาะกันจนโดนไล่ไปที่อื่นนางและครอบครัวจะต้องเดือดร้อนแน่ๆ “ข้าไม่อยากเถียงกับเด็กอย่างเจ้าแล้ว” แม่ค้าแผงผักพูดกระแทกเป็นการตัดบทจินเยว่ที่เห็นว่าอีกฝ่ายล่าถอยไปแล้วก็ไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดแต่อย่างใด นางมาขายของก็ไม่ได้อยากมีปัญหากับใครอยู่แล้ว ร่างเล็กเริ่มส่งเสียงเรียกลูกค้าอีกครั้งแต่คนที่มุงดูอยู่เมื่อกี้ก็ทยอยเดินหนีกันหมด แม่ค้าแผงผักข้างๆแอบยิ้มเยาะที่นางไม่สามารถขายจวี๋จื่อได้ จินเยว่กัดฟันกรอด “ไม่ต้องเสียใจไปหรอก พี
บทที่ 14 ค้าขายครั้งแรก“พรุ่งนี้ท่านไม่ต้องไปหางานหรอก เราเข้าป่าไปหาของมาขายดีกว่าเจ้าค่ะ” จินเยว่บอกกับพี่ชายที่นั่งกลุ้มอยู่“จะดีหรือ ในป่าก็ไม่ค่อยมีอะไรที่ขายได้ราคา แล้วก็ไม่ค่อยมีใครรับซื้อด้วยนะเยว่เอ๋อร์” เจียวจิ้นคิดตามที่เขาบอกกับน้องสาว การเก็บผักผลไม้ในป่าไปขายมีชาวบ้านทำกันเยอะแยะ แต่ก็มักจะโดนกดราคาจนแทบไม่คุ้มที่ต้องเสี่ยงเข้าไปในป่า“พวกเราลองไปกันก่อนเถอะเจ้าค่ะ จะได้หาเงินมาซื้ออาหารและเครื่องปรุงเข้าบ้านด้วย ข้าไม่อยากกินผักต้มทุกวันนะเจ้าคะ” จินเยว่หน้างอเช้าวันต่อมา แสงแดดอบอุ่นยามเช้าทำให้จินเยว่รู้สึกจิตใจสงบ ร่างเล็กและพี่ชายทานอาหารเช้าเสร็จแล้วพากันเดินทางเพื่อไปหาของในป่าพวกเขาเดินเข้ามาไม่ลึกมากนัก จินเยว่มาที่นี่อย่างมีเป้าหมาย ร่างเล็กจำได้ว่าในป่านี้มีผลไม้หลากหลายชนิดโดยเฉพาะจวี๋จื่อหรือส้ม มันขึ้นเต็มไปหมดเป็นผลไม้ที่หาได้ทั่วไปทำให้ไม่ค่อยมีราคา โดยปกติก็จะขายกันจินละ2-3อีแปะเท่านั้น “เจ้าอย่าเดินไปไกลนะพี่ขอตัดไม้ตรงนี้ก่อนเราจะได้เอาไปทำฟืนกัน ฟืนที่ตัดไปครั้งก่อนเกือบหมดแล้ว” เจียวจิ้นหันมาบอกจินเยว่เสร็จก็หันกลับไปตัดไม้ต่อ“เจ้าค่ะท่านพี่ข
บทที่ 13 เปลือกหอย“ที่ดินที่หลังบ้านพวกเราสามารถทำการเกษตรได้หรือไม่เจ้าคะข้าเห็นมันยังว่างอยู่” จินเยว่ถามอย่างกระตือรือร้น“จะว่าได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่ที่ดินนี้มันมีปัญหาอยู่ ไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุอันใดปลูกอะไรก็ไม่ขึ้นสักอย่าง ถึงขึ้นก็เหี่ยวเฉาตายเสียหมด” หนิงเทียนทำหน้ากลุ้มใจ ปัญหานี้มีมานานแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามหาทางแก้อย่างไรก็ไม่สามารถปลูกอะไรบนที่ผืนนี้ได้เลย นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ที่ดินท้ายหมู่บ้านนี้ไม่มีราคา ชาวบ้านที่อยู่แถบนี้ค่อนข้างยากจนเสียส่วนใหญ่เพราะพวกเขาเพาะปลูกในที่ดินของตัวเองไม่ได้ บางคนก็ไปเป็นลูกจ้างโดนกดค่าแรง บางคนก็ไปเช่าที่ดินของคนอื่นเพื่อทำการเพาะปลูก “งั้นข้าขอลองไปดูหน่อยนะเจ้าคะเผื่อจะทำอะไรได้บ้าง”จินเยว่เดินไปยังที่ดินหลังบ้าน นางเดินสังเกตที่ดินไปเรื่อยๆก็พบว่า ต้นไม้ที่ขึ้นรอบๆที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีลักษณะใบเหลือง ลำต้นของพวกมันแคระแกร็น“นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆแล้วนะเนี่ย” จินเยว่พูดอย่างหนักใจนางเดินสังเกตมาสักพักไม่พบคราบเกลือบนผืนดินและหน้าดินบริเวณนั้นก็มีลักษณะออกสีเหลืองๆอีกด้วยนางเดาได้ทันทีว่าที่ดินพวกนี้ปลูกอะไรไม่ขึ้น







