หลายวันต่อมา จูฉิงอันตื่นแต่เช้ามืดก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่าง นางเตรียมตะกร้า เชือก และมีดเล็กๆ อย่างเงียบเชียบที่สุด ร่างบางก้าวออกจากบ้านด้วยฝีเท้าที่ระมัดระวัง นางไม่อยากให้แม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ที่อยู่เรือนใหญ่รับรู้ถึงสิ่งที่นางทำ
“ถ้าพวกเขารู้ว่าข้าหาเงินได้...ทุกอย่างที่ข้าเหนื่อยยากคงต้องตกเป็นของพวกเขา” นางคิดในใจ ขณะเดินลัดเลาะเส้นทางเล็กๆ ที่นำไปสู่ป่าลึก
ในป่าที่เงียบสงบ จูฉิงอันยังคงใช้ความรู้ในภพก่อนอย่างชำนาญ เก็บสมุนไพร เห็ดป่า และผลไม้ที่มีมูลค่า แต่ครั้งนี้นางไม่เก็บมามากจนเกินไป
“หากข้าเก็บของกลับไปมากเกิน อาจเป็นที่สงสัยได้” นางพึมพำกับตัวเอง นางเลือกเก็บเฉพาะของที่สามารถนำไปขายได้ราคาและมีน้ำหนักเบา เพื่อไม่ให้ดูผิดสังเกต
บางครั้ง นางแวะริมลำธารเพื่อดื่มน้ำจากแหล่งน้ำใสสะอาด และใช้เวลาสั้นๆ ตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นไม้และพื้นที่ใกล้เคียง
หลังจากเก็บของป่าจนพอใจ นางมุ่งหน้าไปอำเภอไห่ตงด้วยเส้นทางที่เงียบสงบและไม่พลุกพล่าน นางเลือกเดินตามทางที่ร่างเดิมของนางเคยจำได้ เพื่อลดโอกาสพบเจอผู้คน
เมื่อถึงตลาดในอำเภอ นางขายของป่าเหล่านั้นให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่เคยพบกันก่อนหน้า ด้วยท่าทางที่เป็นมิตรและราคาที่เหมาะสม นางสามารถขายของป่าได้ในราคาดี
“เด็กคนนี้เก่งนะ เก็บของป่าคุณภาพดีมาขายได้ทุกวัน” พ่อค้าคนหนึ่งพูดชม ขณะจ่ายเงินให้นาง
จูฉิงอันเพียงแค่ยิ้มรับ แต่ไม่ได้พูดคุยมากนัก นางไม่อยากให้ใครจำตัวตนของนางได้มากเกินไป
หลังจากได้เงินจากการขายของป่า นางรีบซื้อข้าวสาร เนื้อสัตว์ และผักสด โดยเลือกซื้อในปริมาณพอเหมาะ นางรู้ว่าหากนำของกลับไปมากเกินไป แม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่อาจสังเกตเห็นความผิดปกติ
เมื่อกลับถึงบ้านในช่วงเย็น นางเลือกที่จะหลบเข้าทางหลังบ้านเพื่อไม่ให้ใครเห็นว่าตะกร้าของนางมีอะไรอยู่บ้าง
“วันนี้เหนื่อยหน่อย แต่ก็คุ้มค่า” นางบอกกับตัวเอง ขณะจัดเก็บอาหารและเสบียงอย่างเงียบๆ
ในทุกๆ วัน จูฉิงอันต้องใช้ชีวิตเหมือนเดินอยู่บนเชือกเส้นบางๆ ระหว่างความลับและการเปิดเผย นางรู้ดีว่าแม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่เป็นคนละโมบและโหดร้าย หากพวกเขารู้ว่านางสามารถหาเงินและอาหารมาได้เอง ทุกสิ่งที่นางเหนื่อยยากหามาคงถูกพวกเขายึดไปจนหมด
ทุกเช้ามืด ก่อนที่ใครในเรือนใหญ่จะตื่น จูฉิงอันจะลุกจากที่นอนอย่างเงียบเชียบ นางเตรียมตะกร้าและเครื่องมือที่ใช้เก็บของป่าล่วงหน้าในคืนก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงเสียงดังที่อาจปลุกคนในบ้าน
นางเลือกใช้เส้นทางด้านหลังบ้านที่รกร้างและไม่มีใครผ่านไปมา เพราะรู้ดีว่าหากเดินผ่านเรือนใหญ่ แม่เฒ่าจูหรือจูฉางไห่อาจมองเห็นและตั้งคำถาม นางเดินออกจากบ้านด้วยฝีเท้าที่เบาราวกับแมว และไม่เคยลืมที่จะปิดประตูอย่างระมัดระวัง
เมื่อกลับมาจากป่า ตะกร้าของนางมักเต็มไปด้วยสมุนไพร เห็ดป่า และผลไม้ต่างๆ นางจะเดินอ้อมไปยังด้านหลังบ้านและซ่อนตะกร้าในที่ที่แม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ไม่มีทางหาเจอ เช่น ในพุ่มไม้หนา หรือใต้หลังคาดินที่แตกแล้ววางซ้อนกัน
หลังจากนั้น นางจะทยอยนำของเข้าไปในบ้านทีละเล็กทีละน้อย เพื่อไม่ให้ดูเป็นที่ผิดสังเกต ทุกอย่างที่นางนำกลับมาจะถูกจัดเก็บอย่างมิดชิด โดยเฉพาะอาหารดีๆ อย่างเนื้อสัตว์และข้าวสาร
จูฉิงอันรู้ว่าหากครอบครัวของนางกินอาหารดีเกินไปจนผิดปกติ แม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่อาจสังเกตเห็น นางจึงวางแผนการใช้ทรัพยากรอย่างรอบคอบ อาหารบางส่วนจะถูกปรุงอย่างเรียบง่ายเพื่อไม่ให้มีกลิ่นหอมจนดึงดูดความสนใจ
ในบางวัน นางกับหลินอ้ายจะทำทีว่ากินเพียงผักธรรมดา แต่ความจริงแล้วเนื้อและข้าวดีๆ ถูกแบ่งซ่อนไว้ในส่วนอื่นเพื่อบำรุงร่างกายของจูฉางหยูและน้องชายทั้งสอง
จูฉิงอันพยายามไม่ปรากฏตัวในบริเวณเรือนใหญ่หากไม่จำเป็น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่แม่เฒ่าจูและจูฉางไห่มักเดินตรวจตรา นางเลือกทำงานที่บ้านหรือในบริเวณที่มีร่มเงา เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
ในบางครั้ง หากต้องพบพวกเขา นางจะแสร้งทำเป็นอ่อนแอและป่วยหนักเพื่อไม่ให้พวกเขาสงสัยในความสามารถของนาง
เสียงฝีเท้าหนักๆ หรือเสียงพูดดังของแม่เฒ่าจูและจูฉางไห่ทำให้นางต้องตื่นตัวอยู่เสมอ หากพวกเขาเข้าใกล้ นางจะรีบเก็บทุกอย่างที่อาจเป็นหลักฐานว่าครอบครัวรองมีอะไรดีไปกว่าที่พวกเขารู้
แม้แต่การพูดคุยในครอบครัว นางก็เตือนแม่และน้องชายว่าอย่าพูดถึงของที่นางนำมาในที่ที่พวกเขาอาจได้ยิน
แม้ว่าการใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังจะเป็นเรื่องเหนื่อยล้า แต่นางกลับไม่เคยท้อถอย ความรักที่นางมีต่อครอบครัวและความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นเป็นแรงผลักดันที่สำคัญ
“ข้าจะไม่ยอมให้พวกเขาทำลายสิ่งที่ข้าสร้างขึ้นมาอีกต่อไป” นางคิดในใจทุกครั้งที่รู้สึกหวาดกลัว
ทุกคืนก่อนเข้านอน นางจะตรวจสอบอาหารและสิ่งของที่สะสมไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างยังอยู่ครบและไม่มีใครล่วงรู้ถึงความลับนี้
“วันหนึ่ง...ข้าจะพาทุกคนออกจากที่นี่ และเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป” นางพูดกับตัวเองในใจ พร้อมทั้งสัญญาว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องครอบครัวจากเงื้อมมือของแม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่
หลายวันผ่านไป หลังจากที่จูฉิงอันเริ่มนำอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมาบำรุงให้ครอบครัว จูฉางหยูที่เดิมทีร่างกายซูบผอมและเต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกทำร้ายและการล่าสัตว์ก็เริ่มมีอาการดีขึ้นทีละน้อย
ทุกวัน จูฉิงอันจะเลือกส่วนที่ดีที่สุดจากสิ่งที่นางหาได้ ไม่ว่าจะเป็นปลาสดจากลำธาร เนื้อสัตว์คุณภาพดี หรือสมุนไพรที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายมาปรุงอาหารให้บิดาของนาง
“ท่านพ่อควรกินเนื้อต้มกับสมุนไพรนี้ก่อน ร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็วขึ้น” นางพูดพลางตักซุปใส่ถ้วยเล็กๆ แล้วยื่นให้จูฉางหยู
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของซุปสมุนไพรผสมกับเนื้อทำให้จูฉางหยูรู้สึกดีขึ้นทันทีหลังจากดื่มคำแรก แม้ว่าเขาจะยังพูดไม่ได้มากเพราะบาดแผล แต่สายตาที่เปล่งประกายขึ้นบ่งบอกว่าเขารับรู้ถึงความรักและความตั้งใจของลูกสาว
ร่างกายของจูฉางหยูที่เคยอ่อนล้าเริ่มมีแรงมากขึ้น เขาสามารถลุกขึ้นนั่งเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาหลินอ้ายหรือจูฉิงหยางช่วยพยุง แม้จะยังเดินไม่ได้ แต่สีหน้าของเขาดูสดใสขึ้น
“ท่านพ่อ วันนี้ดูดีขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ” จูฉิงอันกล่าวพลางยิ้มบางๆ ขณะเช็ดเหงื่อให้เขา
“ก็เพราะเจ้ามิใช่หรือ? ลูกข้า” จูฉางหยูตอบเบาๆ น้ำเสียงแฝงความรู้สึกขอบคุณ
ไม่เพียงแต่อาหารที่ช่วยให้ร่างกายของจูฉางหยูดีขึ้น แต่กำลังใจจากครอบครัว โดยเฉพาะจูฉิงอันที่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลเขาไม่ขาดสาย ก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เขามีกำลังใจต่อสู้กับความเจ็บปวด
ในบางวัน จูฉิงอันจะเล่าเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นางพบเจอในป่า หรือบอกเล่าถึงแผนการทำให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้น
“ข้าสัญญา ท่านพ่อ...ไม่นาน ครอบครัวเราจะต้องหลุดพ้นจากความทุกข์นี้” นางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เมื่อผ่านไปหลายสัปดาห์ จูฉางหยูเริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด เขาสามารถลุกขึ้นยืนได้ด้วยความช่วยเหลือเล็กน้อยจากหลินอ้าย และเริ่มฝึกเดินช้าๆ ภายในบ้าน“ข้ารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง” เขาพูดขึ้นในวันหนึ่ง ขณะลองเดินเองเป็นครั้งแรก“นี่เป็นเพราะลูกสาวของท่าน ท่านต้องขอบคุณฉิงอันให้มาก” หลินอ้ายกล่าวพลางมองดูสามีที่ค่อยๆ ฟื้นคืนความแข็งแรงจูฉางหยูหันไปมองจูฉิงอันที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก นางเพียงยิ้มและตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“นี่เป็นสิ่งที่ลูกควรทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อพักผ่อนมากๆ ก่อนเถิด ยังมีอีกหลายสิ่งที่ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าในอนาคต”อาการของจูฉางหยูที่ดีขึ้นทำให้ทุกคนในบ้านรองมีกำลังใจมากขึ้น แม้พวกเขายังคงต้องระมัดระวังและอดทนกับการกดขี่จากแม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ แต่ก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายทางจูฉิงอันรู้ดีว่า การฟื้นตัวของบิดาคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของพวกเขา“ท่านพ่
หลังจากแม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่กลับไปพร้อมถุงอาหารและเงินที่พวกเขารีดไถมาได้ หลินอ้ายรีบคว้าลูกชายทั้งสองเข้ามาในบ้าน นางปิดประตูแน่นหนาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะเลื่อนกลอนประตูเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครบุกเข้ามาอีก“ท่านแม่ ท่านเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” จูฉิงหยางรีบถามพลางประคองแขนแม่อย่างเป็นห่วง หลินอ้ายส่ายหน้าและลูบศีรษะลูกชายเบาๆ แต่แววตาของนางยังคงเต็มไปด้วยความวิตก“แม่ไม่เป็นไรหรอก แต่พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี” นางกล่าว ก่อนจะมองไปยังจูฉิงเฉิง ผู้ที่เพิ่งลุกขึ้นมาจากพื้นหลังจากถูกผลักล้มเมื่อครู่“ข้าไม่เป็นไรขอรับท่านแม่” จูฉิงเฉิงตอบอย่างกล้าหาญ แม้สีหน้าและท่าทางของเขาจะยังเจ็บปวดอยู่จูฉิงอันเดินออกมาจากห้องของบิดา หลังจากดูแลอาการของเขาจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดน่ากังวลในตอนนี้ นางเรียกทุกคนมารวมตัวในห้องพ่อ พลางปิดประตูห้องไว้เพื่อไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไปจูฉิงอันนั่งลงบนพื้นข้างเตียงของพ่อ
หลายวันผ่านไป แม่เฒ่าจูยังคงเดินเทียวไปมาระหว่างเรือนหลักและบ้านรองเพื่อสอดส่อง แต่ทุกครั้งที่นางมองเห็นหลินอ้ายและลูกๆ ที่ดูซูบเซียวกว่าเดิม นางก็ยิ่งโมโหจนแทบขบฟันแตก นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนพวกนี้ถึงไม่ยอมตายไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว และยิ่งคิดถึงจูไฮ่เฟิง หลานชายคนโตที่นางรักดั่งดวงใจ ซึ่งต้องหยุดเรียนเพราะไม่มีเงินส่งให้ในช่วงเดือนที่ผ่านมา นางยิ่งรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังโถมทับร่างกายของนาง“เฮอะ! แค่คนพวกนี้ตายไป ข้าก็คงได้หายใจสะดวกขึ้น” แม่เฒ่าจูพึมพำพลางปัดมือที่เต็มไปด้วยฝุ่นจากการกวาดลานบ้านในเย็นวันหนึ่ง ขณะที่จูฉางไห่กลับมาจากทำงานที่โรงเตี๊ยมด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า เขานั่งลงที่โต๊ะอาหารพร้อมกับถอนหายใจหนักหน่วง“ท่านแม่ ข้าว่ามันไม่ไหวแล้ว” เขาเริ่มพูดขณะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ“พวกมันทำให้บ้านรองดูเป็นเหมือนรังโรค นี่ข้าเองยังต้องอดทนทำงานทั้งวัน กลับมาบ้านยังต้องมากลัวว่าจะติดโรคระบาดจากพวกมันอีก!”
จูฉางหยูรู้สึกถึงมือเล็ก ๆ ของลูกสาวที่วางลงบนแขนเขาเบา ๆ นางไม่พูดอะไร แต่ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมานั้นทำให้เขาพอจะบรรเทาความเจ็บปวดในใจได้บ้าง“ท่านพ่อ...” จูฉิงอันกระซิบ“ท่านไม่ได้ไร้ค่า ท่านยังมีข้ากับท่านแม่และน้อง ๆ พวกเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”คำพูดของจูฉิงอันทำให้จูฉางหยูนิ่งไป ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ พยักหน้า แม้ในใจยังเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ลึก ๆ แล้วเขารู้สึกถึงพลังใจที่ลูกสาวพยายามส่งมอบให้เขาผู้ใหญ่บ้านมองแม่เฒ่าจูด้วยสายตาเรียบนิ่ง“แม่เฒ่าจู ท่านพูดออกมาได้เช่นนี้ ท่านได้ตรวจสอบแล้วหรือว่าบ้านรองเป็นโรคระบาดจริง ๆ หรือไม่?”แม่เฒ่าจูยกมือขึ้นเท้าสะเอว“ข้าไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไรทั้งนั้น! ข้าเห็นมากับตาว่ามันอาการแย่กันขนาดไหน ยังจะต้องการหลักฐานอะไรอีกหรือ?”คำพูด
เมื่อเห็นแผ่นหลังแม่เฒ่าจูสะบัดจากไปและได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยอคติและความโกรธของนาง จูฉางหยูที่เงียบมาตลอดสูดลมหายใจเข้าลึก เขาเริ่มรู้สึกว่าอดทนต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ใดอีกแล้ว ร่างผอมซูบยืดตัวขึ้นช้า ๆ แม้จะยังไม่หายดีเต็มที่ แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแววตาแน่วแน่“ท่านแม่! ท่านฟังข้าดี ๆ” เสียงของจูฉางหยูดังก้องไปทั่วบริเวณ ทุกสายตาหันมามองเขาอย่างตกตะลึงแม่เฒ่าจูหยุดเดิน หันกลับมาด้วยความไม่พอใจ“เจ้ามีอะไรอีก? อยากพูดแก้ตัวอะไรรึ?”จูฉางหยูมองตรงไปยังมารดาของตน เขาพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนและหนักแน่น“ข้าจะขอแยกบ้าน! ข้าไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจูอีกต่อไป!”คำพูดนี้ทำให้ทั้งผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านที่มุงดูอยู่ตกตะลึงกันถ้วนหน้า เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นทันที“แยกบ้าน? เขาพูดจริงหรือ?”“นี่เป็นเรื่องใหญ่นะ!”“แต่จะว่าไป ถ้าเขาแยกออกไป ก็น่าจะดีกว่าถูก
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจยาว ดวงตาฝ้าฟางของเขามองตรงไปยังแม่เฒ่าจูด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความจริงจัง“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอบอกให้ชัดเจนเลย จูฉางหยูไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเจ้า ทรัพย์สินบางอย่างที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เด็ก เช่น หยกพกนั่น เจ้าไม่มีสิทธิ์เก็บไว้ มันต้องคืนให้เขา!”คำพูดนี้ทำให้ทั้งลานบ้านตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกคนที่ได้ยินต่างเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ขณะที่แม่เฒ่าจูถึงกับหน้าซีด แต่เพียงเสี้ยววินาที ความโกรธก็พุ่งขึ้นมาแทนที่“หยกพกนั่นเป็นของข้า! ข้าเลี้ยงดูมันมาทั้งชีวิต ข้าจะเก็บไว้! ใครก็เอาไปไม่ได้!”นางตะโกนเสียงแหลม มือสองข้างกำชายเสื้อแน่นราวกับจะปกป้องสมบัตินั้นด้วยชีวิต“แม่เฒ่าจู” ผู้ใหญ่บ้านพูดเสียงเข้ม“ถ้าเจ้ายังดื้อดึง ข้าจะส่งเรื่องนี้ไปถึงทางการ เจ้าอยากถูกลงโทษเพราะยักยอกทรัพย์สินส่วนตัวของจูฉางหยูหรือ?”
จูฉางหยูยื่นมือออกมารับหยกพกนั้น แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน ทั้งเศร้าใจ อ่อนล้า และขอบคุณ เขาจ้องมองหยกนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำเบา ๆ “นี่เป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงข้ากับพ่อแม่แท้ ๆ ของข้า...”เขาเก็บหยกพกไว้ในอกเสื้ออย่างระมัดระวัง เสียงหัวใจเขาเต้นแรงขึ้นด้วยความกังวลว่าสิ่งนี้อาจถูกขโมยไปอีก เขากำอกเสื้อแน่นขณะยืนตัวตรง ดวงตาที่เคยอ่อนแอกลับเปล่งประกายความแน่วแน่ออกมาเมื่อผู้ใหญ่บ้านเริ่มกล่าวถึงข้อตกลงการแบ่งที่นาและเงินเก็บจำนวนหนึ่งให้แก่บ้านรอง แม่เฒ่าจูรีบตะโกนสวนทันที“ไม่มีทาง! ที่นานั่นข้ากับฉางไห่ทำงานหนักเพื่อได้มันมา! ส่วนเงินเก็บ ข้าก็เก็บออมมาจากหยาดเหงื่อแรงงานของพวกข้า! พวกมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ทำไมข้าต้องแบ่งให้ด้วย!”เสียงตะโกนของนางทำให้ชาวบ้านเริ่มกระซิบกระซาบถึงความงกและใจร้ายของแม่เฒ่าจู ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา“แต่ไหนแต่ไรบ้านรองก็ทำงานหนักหาเลี้ยงทั้งบ้าน
“ท่านพ่อ พวกเราจะไปที่ไหนก่อน?”จูฉางหยูลูบหัวลูกชายทั้งสองอย่างอ่อนโยน“เราจะไปที่ที่ดินตีนเขาที่ได้มา พ่อจะขอให้ชาวบ้านช่วยเราสร้างเพิงพักเล็ก ๆ เอาไว้ก่อน ส่วนเรื่องบ้านดี ๆ พ่อจะหาทางต่อเมื่อเรามีเงินเพียงพอ”จูฉิงอันที่ยืนฟังอยู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ข้าจะช่วยท่านแม่ทำงาน และช่วยท่านพ่อหาเงินสร้างบ้านอีกแรง เราไม่ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ ทุกอย่างจะดีขึ้น”จูฉางหยูยิ้มอ่อนโยนให้ลูกสาว“ข้าภูมิใจในตัวเจ้าเสมอฉิงอัน ขอบใจที่เจ้าช่วยแบ่งเบาภาระ”แม้รถเข็นจะเต็มไปด้วยข้าวของและน้ำหนักมาก แต่บ้านรองช่วยกันผลักดันมันออกไปจากบ้านเก่าอย่างตั้งใจ หลินอ้ายช่วยจัดของที่เคลื่อนที่ไปมาให้มั่นคง ขณะที่จูฉิงอันคอยจับล้อรถเข็นด้านหนึ่ง ส่วนเด็กชายทั้งสองช่วยกันดันท้ายรถอย่างสุดแรงเมื่อมอ
หลังผ่านงานหมั้นของหลินฉิงอันไป ชาวบ้านในหมู่บ้านที่เข้าไปในเมืองก็กระจายข่าวดีนี้ให้ญาติมิตรที่เข้ามาซื้อสิ่งของกันในช่วงหน้าหนาวฟังกัน กระทั่งข่าวแพร่ไปถึงเจ้าเมืองเติ้ง เขายังไม่ได้นำของขวัญไปอวยพรปีใหม่เหิงอันโหวเลย พอได้ยินข่าวว่าหลินฉิงอันขุนนางขั้นสี่ได้หมั้นหมายกับแม่ทัพเหิงซึ่งเป็นหลานชายคนเดียวของเหิงอันโหวก็ยิ่งอยากไปเยี่ยมเยียนพวกเขาที่บ้านฮูหยินของเจ้าเมืองเติ้งเองก็อยากสร้างสัมพันธ์กับครอบครัวหลินเช่นกัน นางคิดว่าหากทั้งสองครอบครัวสนิทสนมกันแล้ว สามีของนางคงได้รับประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย“ท่านพี่ หรือเราจะเตรียมของขวัญไปมอบให้ท่านโหวกับครอบครัวหลินดีเจ้าคะ”“ความคิดเจ้าไม่เลว เช่นนั้นก็สั่งพ่อบ้านหาสิ่งของมีค่าไปมอบให้พวกเขาวันพรุ่งนี้กันดีหรือไม่ เจ้าเองก็ช่วยสานสัมพันธ์กับฮูหยินหลินแทนข้าด้วยก็แล้วกันนะ”“ได้เจ้าค่ะ ข้าเองก็อยากรู้จักนางเช่นกัน ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดลูก ๆ ของนางจึงต่างมีความสามารถกันมากตั้งแต่
ชาวบ้านที่ให้ผู้อาวุโสของตนมาทาบทามหลินฉิงอันเป็นต้องหน้าเสียไปตาม ๆ กัน เมื่อเหิงอันโหวเอ่ยปากขอหมั้นด้วยตัวเอง พวกเขามีหรือจะกล้าต่อกรกับคนใหญ่คนโตเช่นนี้ ถึงแม้จะเสียดายการหมั้นหมายครั้งนี้มากก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังต้องเจียมเนื้อเจียมตัวอย่างที่เหิงอันโหวบอกก่อนหน้านี้ว่าหลินฉิงอันเป็นถึงขุนนางขั้นสี่ พวกเขาที่เป็นชาวบ้านคงไม่อาจเอื้อมหมายเด็ดดอกฟ้ากันได้อีกไม่นานนักรถม้าทั้งสิบคันของจวนโหวก็มาจอดเรียงรายกันที่ด้านข้างลานหน้าเรือนหลัก จากนั้นองครักษ์และบ่าวของจวนโหวทยอยยกหีบใบใหญ่หลายหีบลงมาจากรถม้า ชาวบ้านต่างมองหีบทั้งหลายตาโต พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าเหิงอันโหวจะเตรียมการเกี่ยวกับของหมั้นมามากมายถึงเพียงนี้ ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งละอายใจที่หาญกล้าไปขอหลินฉิงอันหมั้นหมายก่อนหน้านี้พ่อบ้านใหญ่เห็นพวกเขาวางหีบเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ เขาก็สั่งให้คนเปิดหีบทีละใบเพื่ออ่านรายการของหมั้นที่ยาวเป็นหางว่าวเพราะมีหีบทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดใบตามเลขมงคลครอบครัวหลินตอนนี้อ้าปากค้างกันไปหมดเมื่
พ่อบ้านใหญ่เห็นว่าทุกคนเตรียมตัวพร้อมสำหรับเริ่มพิธีการปักปิ่นแล้ว เขาเริ่มเอ่ยลำดับขั้นตอนการทำพิธีตั้งแต่เริ่มต้นทันที“ขอเชิญขุนนางขั้นสี่หลินฉิงอัน เข้าประจำตำแหน่งเพื่อเริ่มพิธีการขอรับ”หลินฉิงอันพยักหน้ายิ้มรับคำพ่อบ้านใหญ่ ก่อนที่นางจะเดินไปยังตำแหน่งประธานของงานในวันนี้ซึ่งอยู่หน้าห้องโถงเรือนหลัก บรรดาชาวบ้านที่นั่งกันอยู่ที่โต๊ะตรงลานหน้าบ้านล้วนมองเห็นพิธีการกันอย่างทั่วถึง“ขอเชิญท่านเหิงอันโหวสวมเสื้อคลุมให้คุณหนูหลินขอรับ”เมื่อประโยคนี้สิ้นสุดลง เหล่าชาวบ้านต่างฮือฮากันขึ้นมาทันที พวกเขาไม่รู้ว่าตำแหน่งโหวนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด แต่จากเสื้อผ้าอาภรณ์ของเหิงอันโหวแล้ว พวกเขาก็คิดว่าจะต้องไม่ใช่ขุนนางธรรมดาเป็นแน่หลินฉางหยู หลินอ้าย หลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางเองก็ตกใจไม่น้อย พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่าอาจารย์ปู่จะเป็นถึงท่านโหวของแคว้นเลยทีเดียว ส่วนหลินฉิงอันนั้นนางเดาได้มานานแล้วว่าท่านปู่ผู้นี้จะต
งานเลี้ยงปีใหม่ผ่านไปอย่างสนุกสนาน ยิ่งกับการกินหมูกระทะในครั้งนี้นั้นทำให้ทุกคนต่างติดอกติดใจ หลินฉิงอันจึงมอบเตาและกระทะให้กับบ่าวและครอบครัวท่านลุงของนางเป็นของขวัญด้วยก่อนงานเลี้ยงจะสิ้นสุดลง หลินฉิงอันก็นำหยกพกมอบให้กับบ่าวทั้งหมดรวมทั้งคนในครอบครัวของนางเอง ส่วนของบ้านท่านลุงนั้นนางไม่ได้ทำให้ เพราะนางอยากให้พวกเขาออกแบบลวดลายบนหยกด้วยตนเอง หลินฉิงอันยังมอบเงินให้ครอบครัวท่านลุง 500 ตำลึงเพื่อนำไปทำหยกพกเช่นกัน คราแรกท่านลุงของนางไม่ยอมรับเงินจำนวนนี้ แต่ด้วยเหตุผลและการคะยั้นคะยอของคนในครอบครัวทำให้เขาต้องยิ้มรับมาอย่างจนใจ เขายังสัญญากับครอบครัวน้องสาวด้วยว่าจะนำเงินนี้ไปใช้จ่ายตามที่หลานสาวของเขาต้องการเหิงอันโหวกับคนในจวนโหวที่มาต่างยอมรับนับถือในความใจกว้างของครอบครัวหลินฉิงอัน น้อยนักที่พวกเขาจะเห็นครอบครัวชาวบ้านยอมจ่ายเงินจำนวนมากออกไปอย่างไม่เสียดายเช่นนี้ ยิ่งพ่อบ้านคนสนิทของเหิงอันโหวที่มาเพราะอยากเห็นหน้าว่าที่หลานสะใภ้ของท่านโหวด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งยอมรับในความมีน้ำใจของครอบครัวว่าที่นายหญิ
ก่อนเที่ยงวัน หวังไห่ หลี่หมิง เหมยลี่และอิงฮวาก็เดินทางมาถึงเรือนหลัก พวกเขารีบเข้าไปคารวะเหล่านายท่านที่กำลังรออยู่“คาราวะนายท่าน นายหญิง คุณหนูใหญ่ขอรับ/เจ้าค่ะ”“พวกเจ้าตามสบายเถอะ ก่อนมาที่นี่ พวกเจ้าปิดร้านกันดีแล้วหรือยัง”“เรียบร้อยดีขอรับคุณหนูใหญ่ นี่เป็นสมุดบัญชีทั้งสองเล่ม ข้าน้อยนำมาให้ท่านตรวจสอบด้วยขอรับ”หลินฉิงอันยื่นมือไปรับสมุดบัญชีทั้งสองเล่มมาวางเอาไว้ที่โต๊ะด้านข้าง ก่อนจะบอกให้พวกเขานำสัมภาระไปเก็บที่เรือนพักในที่ดินอีกฝั่งหนึ่ง เพราะที่นั่นยังมีเรือนพักว่างอีกมากนักหวังไห่กับคนอื่น ๆ ขอตัวลาเหล่านายท่านก่อนจะออกไปขับรถม้าไปยังที่ดินอีกฝั่งหนึ่งเพื่อเก็บข้าวของที่นำมาด้วย โดยมีโจวซานทำหน้าที่พ่อบ้านเดินตามรถม้าของพวกเขาไปยังเรือนพักตั้งแต่เริ่มเข้าสู่หน้าหนาวเต็มตัว บ้านหลินก็หยุดการรับซื้อผลไม้ทั้งหมดและให้บ่าวช่วยกันแช่อิ่มผลไม้ที่เหลื
หลังจากองครักษ์ทั้งแปดนำสิ่งของต่าง ๆ ที่หลินฉิงอันสั่งคนจัดเตรียมเอาไว้ขึ้นเกวียนครบแล้ว พวกเขาก็ใช้ม้าหกตัวในการลากเกวียน ส่วนม้าอีกสองตัวนั้นวิ่งขนาบข้างคอยคุ้มกันสิ่งของบนเกวียนใหญ่ก่อนที่ขบวนขององครักษ์จิงหยานจะออกเดินทาง เหิงอันโหวได้ฝากจดหมายให้พวกเขานำไปส่งหลานชายด้วย หลินฉิงอันเองก็ฝากจดหมายไปเช่นกัน นางยังแนบแบบเกือกม้าและอานทั้งหมดให้ไปด้วย เพราะนางเห็นว่าสิ่งของพวกนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับกองทัพของเหิงจิ้งกั๋ว“พวกเจ้าออกเดินทางได้แล้ว ประเดี๋ยวหิมะจะตกลงมาเสียก่อน”“ขอรับนายท่านผู้เฒ่า” องครักษ์ทั้งแปดรีบรับคำเหิงอันโหว“ขอให้พวกพี่ชายเดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ อย่าลืมว่าถ้าหิมะตกให้เปลี่ยนล้อเป็นแบบลากเลื่อนด้วยนะเจ้าคะ จะได้เดินทางสะดวก”“ขอรับคุณหนูหลิน ขอบคุณสำหรับเสบียงระหว่างเดินทางด้วยขอรับ”เหิงอันโหวกลัวว่าพวกเขาจะออกเดินทางสายไปมากกว่
อีกสองสัปดาห์จะเข้าหน้าหนาวอย่างเต็มตัวแล้ว หลินฉิงอันนึกถึงอากาศที่หนาวเย็นในปีที่แล้วขึ้นมา นางจึงคิดที่จะสร้างเกือกม้าและอานม้า รวมทั้งชุดม้า ลา สำหรับให้พวกมันใส่เพื่อป้องกันความหนาวเย็นด้วยหลินฉิงอันใช้เวลาว่างถึงสามวันวาดแบบออกมาเท่าที่นางจำได้ จากนั้นจึงนำแบบไปปรึกษากับเฉียนซื่อและเฉินกังก่อนให้พวกเขานำเงินไปสั่งทำที่ร้านตีเหล็กในเมือง นางไม่รู้ว่าราคาจะแพงมากหรือไม่จึงให้เงินพวกเขาไป 100 ตำลึงเผื่อเอาไว้ก่อน ส่วนหนังสัตว์ที่นางต้องการนำมาให้ท่านแม่กับพี่สาวหลิงฟางเย็บให้นั้นก็สั่งให้พวกเขาซื้อมาด้วยจำนวนมาก นางให้เงินพวกเขาไปอีก 100 ตำลึงเช่นกันจะได้ไม่เสียเวลากลับมานำเงินไปซื้อของหลายครั้งหลินอ้ายไม่ได้ทักท้วงอะไรที่เห็นหลินฉิงอันใช้เงินจำนวนมากในครั้งนี้ นางรู้ดีว่าบุตรสาวทำสิ่งใดก็ล้วนแล้วแต่เพื่อประโยชน์ของคนในบ้านทั้งนั้น เรื่องชุดในบ้านที่นางเองจะมอบให้บ่าวรับใช้ก็เสร็จครบทั้งหมดแล้ว หลินอ้ายนึกถึงเสื้อคลุมกันหนาวขึ้นมาได้ นางจึงคิดจะส่งโจวซานไปสอบถามราคาที่ร้านค้าดูก่อน หากราคาแพงเกินไป นางค
สองวันต่อมา หลินฉิงอันเข้าเมืองกับชุนจินเพื่อไปรับหยกพกที่นางสั่งทำไว้ก่อนหน้านี้ หลินฉิงอันจ่ายเงินที่เหลือก่อนจะรับหยกพกมาตรวจสอบดู รูปแบบหยกที่สลักออกมาทำได้อย่างสวยงามตามที่นางวาดภาพเอาไว้ให้ช่างแกะสลัก ซึ่งหลินฉิงอันให้ช่างแกะสลักเป็นรูปผลไม้ต่าง ๆ รอบตัวหยก ตรงกลางมีคำว่า “林” สลักเอาไว้อย่างสวยงาม หยกพกของบ่าวทั้งหมดเหมือนกัน ส่วนหยกพกอีกห้าอันสำหรับคนในครอบครัวนั้น หลินฉิงอันใช้รูปเมฆมงคลและศาลากลางน้ำหลังเล็กโดยตรงกลางสลักคำว่า “หลิน” เช่นกัน เพิ่มเติมเพียงด้านหลังจะมีชื่อเจ้าของหยกแต่ละอันสลักเอาไว้ สีของหยกยังเป็นหยกมันแพะสีขาวนวล แตกต่างจากสีหยกของบ่าวในเรือนที่เป็นหยกสีเขียวธรรมดาหลังจากรับของมาทั้งหมดแล้ว หลินฉิงอันนำถุงหยกทั้งสองถุงเก็บเอาไว้ในรถม้าอย่างดี ก่อนที่นางจะไปยังร้านขายของชำเพื่อซื้อเครื่องปรุงรสเพิ่มเติม รวมทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง ถั่วเขียว ถั่วเหลืองเพิ่มด้วย ถึงแม้เมื่อวานทางร้านจะนำไปส่งที่บ้านนางจำนวนมาก แต่หลินฉิงอันก็ยังคงเผื่อเหลือเอาไว้อีกนิดหน่อย นางรู้ดีว่าการเ
คืนนั้นหลินฉิงอันใช้เวลาครึ่งค่อนคืนเพื่อเขียนรายการสิ่งของจำเป็น เสบียงอาหารที่จะต้องซื้อในปีนี้ให้พอเพียงกับคนจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นในครอบครัว นางคิดด้วยว่าปีที่แล้วนางชวนครอบครัวกินหม้อไฟไปแล้ว ปีนี้นางอยากให้พวกเขาได้ลองกินหมูกระทะดูบ้าง หลินฉิงอันจึงร่างแบบหม้อสำหรับทำหมูกระทะตามความทรงจำในภพก่อนออกมา ด้วยคนจำนวนมากในบ้าน หลินฉิงอันคิดจะสั่งทำหม้อสัก 50 ใบเผื่อเอาไว้ก่อน ส่วนเตานั้นนางก็จะต้องซื้อเพิ่มมาด้วยเพื่อให้พอเพียงสำหรับวางหม้อหมูกระทะที่นางต้องการหลังอาหารเช้าวันต่อมา หลินฉิงอันอ่านรายการสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ พร้อมกับเสบียงอาหารจำนวนมากให้หลินอ้ายและหลินฉางหยูฟังเป็นเวลานาน หลินอ้ายและหลินฉางหยูยังบอกรายการสิ่งของเพิ่มเติมสำหรับการนำมาเป็นเสบียงอาหารในปีนี้ด้วย พวกเขาคิดว่าคนจำนวนมากจะต้องได้กินอิ่มนอนหลับในขณะที่อยู่ร่วมกันกับพวกเขาที่หมู่บ้านหลินฉิงอันไม่ได้ปฏิเสธรายการต่าง ๆ ที่พ่อและแม่นางเสนอ หลินฉิงอันทำเพียงแค่เพิ่มรายการต่าง ๆ เข้าไปในกระดาษเท่านั้น“ลูกค