เผชิญหน้ากับอดีตและประกาศกร้าว
วินาทีที่ ณลิน เห็นภาพของ คิมหันต์ และ พิม นั่งร่วมโต๊ะกันในร้านอาหารฝรั่งเศสที่เธอตั้งใจจะมาทานกับ ปอร์เช่ หัวใจของเธอก็รู้สึกเหมือนถูกบีบรัด ภาพความทรงจำในชาติที่แล้วที่คิมหันต์ปฏิเสธเธอด้วยข้ออ้างว่ามีธุระสำคัญ ผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน ความโกรธแค้นและเจ็บปวดแล่นแปลบไปทั่วร่าง แต่ ณลินในตอนนี้ไม่ใช่ ณลินคนเดิมอีกแล้ว เธอจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเธอได้อีก เธอหันไปมองปอร์เช่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาเองก็มองเห็นคิมหันต์แล้วเช่นกัน ดวงตาคมกริบของปอร์เช่ฉายแววเข้าใจสถานการณ์ทันที ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการบอกว่าเขาพร้อมจะตามใจเธอทุกอย่าง "ปอร์เช่คะ... เราเปลี่ยนร้านกันดีกว่าไหมคะ?" ณลินเอ่ยเสียงเบา แต่แววตาแน่วแน่ ปอร์เช่ยิ้มบางๆ ที่มุมปาก "ได้สิครับ คุณอยากไปที่ไหน ผมก็ตามใจ" ทั้งสองกำลังจะหันหลังกลับเพื่อเดินออกจากร้าน ทว่า... "อ้าว! พี่ริน! มาทานข้าวที่ร้านนี้ด้วยเหมือนกันเหรอคะ?" เสียงใสหวานแหลมที่เธอเกลียดแสนเกลียดดังขึ้นจากด้านหลัง ณลินรู้สึกราวกับเลือดในกายเย็นเยียบลงทันที นั่นคือเสียงของ พิม น้องสาวบุญธรรมที่เธอเคยรักและไว้ใจ ณลินค่อยๆ หันกลับไปช้าๆ ใบหน้าของพิมฉายแววประหลาดใจระคนดีใจที่ได้เจอ แต่ณลินรู้ดีว่ามันเป็นเพียงฉากหน้า พิมในชุดเดรสสีหวานน่ารัก กำลังกะพริบตาปริบๆ มองมาทางเธออย่าง 'ใสซื่อ' ส่วนคิมหันต์ที่ได้ยินเสียงพิมเรียกชื่อเธอ ก็เงยหน้าขึ้นจากเมนูอาหาร ดวงตาคมกริบของเขาจับจ้องมาที่ณลินและปอร์เช่สลับกัน แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่พอใจ "ใช่... แต่กำลังจะเปลี่ยนร้านแล้วจ้ะ เชิญพวกเธอทานกันต่อเถอะ" ณลินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดไว้ภายใต้รอยยิ้มบางๆ แต่พิมไม่ยอมหยุดง่ายๆ เธอมองณลินด้วยสีหน้าที่แกล้งทำเป็นเศร้าสร้อยทันที ราวกับกำลังถูกเข้าใจผิดอย่างรุนแรง "พี่รินอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ... คือพี่คิมหันต์พาพิมมากินร้านนี้เพราะเป็นรางวัลที่พิมสอบผ่านน่ะค่ะ พอดีว่าคะแนนออกมาพอดีเลยค่ะ" พิมพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานกว่าปกติ เจตนาคือต้องการจะเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ 'พิเศษ' ระหว่างเธอกับคิมหันต์ และตอกย้ำว่าคิมหันต์ให้ความสำคัญกับเธอแค่ไหน ณลินกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าที่ฝ่ามือ ความเจ็บปวดจากแรงกดนั้นยังน้อยกว่าความเจ็บปวดที่มาจากคำพูดของพิม เพราะวันนี้เมื่อชาติที่แล้ว เธอจำได้ดีว่าเธอชวนคิมหันต์มาทานข้าวที่ร้านนี้เพื่อฉลองความสำเร็จของเธอเอง แต่เขากลับปฏิเสธด้วยข้ออ้างว่ามีธุระสำคัญที่สุด จนเธอต้องมาทานข้าวคนเดียวในวันสำคัญนั้น ภาพเหล่านั้นผุดขึ้นมาในหัว ณลินกลืนก้อนความเจ็บปวดลงไปในคอ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกช้าๆ รอยยิ้มหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ "ไม่ต้องทำหน้าเสแสร้งแบบนั้นหรอกพิม" เสียงของณลินดังขึ้นอย่างชัดเจน ดวงตาของเธอจ้องตรงไปที่พิมอย่างไม่หลบเลี่ยง "แล้วก็ไม่ต้องแกล้งทำเป็นรู้สึกผิด เพราะฉันกับพี่คิมหันต์... กำลังจะเลิกกันแล้ว" คำพูดของณลินดังชัดเจนพอที่จะทำให้คนในบริเวณนั้นหันมามอง ปอร์เช่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ ใบหน้าของเขาพลันผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความกังวลกลับสว่างวาบขึ้นด้วยความยินดีเล็กน้อย ตรงกันข้ามกับคิมหันต์ ใบหน้าของเขาที่เคยสงบเสงี่ยมพลันบิดเบี้ยวด้วยความไม่พอใจและความโกรธจัด ดวงตาคมกริบจ้องณลินราวกับจะแผดเผาให้เป็นจุล ส่วนพิมที่เมื่อครู่ยังคงรักษามาดใสซื่อได้ ตอนนี้กลับมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด เธอคงไม่คิดว่าณลินจะกล้าพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ "ริน! เรื่องแค่นี้อย่าเอามาทะเลาะหรืองี่เง่าได้ไหม!" คิมหันต์เอ่ยด้วยน้ำเสียงกดต่ำด้วยความโทสะ แต่ก็พยายามควบคุมเสียงไม่ให้ดังจนเกินไป ณลินยิ้มเย้ย "ฉันไม่ได้งี่เง่า... คิมหันต์" เธอเน้นชื่อเขาชัดเจน คิมหันต์ลุกขึ้นยืนเต็มตัว ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ "เธอ... เธอกล้าเลิกกับฉันจริงๆ งั้นเหรอ?" "ทำไมฉันจะไม่กล้าล่ะคะ?" ณลินเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย "พี่คิมหันต์มีอะไรดีพอที่ฉันจะต้องทนอยู่กับพี่งั้นเหรอคะ?" เธอเน้นคำว่า 'มีดี' อย่างจงใจ ราวกับจะตอกย้ำว่าเขาไม่มีอะไรเลยที่คู่ควรกับเธอ "เธอ!!!" คิมหันต์ขึ้นเสียงดังลั่นจนคนในร้านหลายโต๊ะหันมามองด้วยความสนใจ เขารู้สึกเสียหน้าอย่างรุนแรงจึงลดเสียงลงทันที แต่แววตาที่จ้องมองณลินยังคงเต็มไปด้วยความอาฆาต "ฉันจะให้โอกาสเธอขอโทษฉัน... แล้วฉันจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น" คิมหันต์พูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะกลับมาควบคุม แต่ก็ยังคงแฝงด้วยความกดดัน เขาเชื่อว่าณลินจะไม่กล้าขัดคำสั่งเขา แต่ยังไม่ทันที่ณลินจะได้เอ่ยตอบอะไร ปอร์เช่ที่ยืนนิ่งฟังมาตลอด ก็ยื่นมือมาโอบไหล่ของณลินอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ ดวงตาของเขาเย็นชาขณะที่มองจ้องไปที่คิมหันต์ "คงไม่จำเป็นที่คู่หมั้นของผมต้องพูดอะไรแบบนั้นหรอกครับ" ปอร์เช่เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แต่แฝงด้วยความเยือกเย็นที่ทำให้คิมหันต์ชะงักไป ณลินหันไปมองหน้าปอร์เช่ด้วยรอยยิ้มอบอุ่นในดวงตา คำพูดของเขาคือการยืนยันสถานะของเธอ และเป็นการปกป้องเธออย่างชัดเจน คิมหันต์มองหน้าปอร์เช่ด้วยความโกรธจัด แววตาของเขาบ่งบอกถึงความไม่พอใจที่เห็นปอร์เช่เข้ามายุ่งเกี่ยวในสถานการณ์นี้ ก่อนที่เขาจะหันกลับมามองณลินด้วยสายตาที่คล้ายจะฉีกเธอเป็นชิ้นๆ "ไหนเธอบอกว่าจะไปประกาศถอนหมั้นกับมันไง!?" คิมหันต์ถามเสียงห้วน "ทำไมฉันต้องถอนหมั้นกับเขาด้วยล่ะคะ?" ณลินยิ้มเยาะอย่างเหนือกว่า "ในเมื่อเขามีดีกว่าพี่ทุกอย่าง" คำพูดนั้นเป็นเหมือนคมมีดที่กรีดแทงเข้าไปในความหยิ่งผยองของคิมหันต์อย่างจัง ใบหน้าของเขาซีดเผือดด้วยความอับอายและโกรธแค้น ณลินไม่รอให้เขาโต้ตอบ เธอควงแขนปอร์เช่แน่น พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสที่ตัดกับบรรยากาศตึงเครียดภายในร้าน "ไปกันเถอะค่ะปอร์เช่ เราไปกินร้านอื่นกันดีกว่า ที่นี่บรรยากาศเสียหมดแล้ว" ปอร์เช่มองณลินด้วยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน เขายอมรับในการตัดสินใจของเธอทุกอย่าง ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันออกจากร้าน โดยไม่หันกลับมามองใบหน้าบูดบึ้งของพิมและคิมหันต์ที่ยืนอยู่ตรงนั้นอีกเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้ความโกรธแค้น ความอับอาย และความงุนงงเกาะกุมทั้งสองคนอยู่เบื้องหลังเผชิญหน้ากับอดีตและประกาศกร้าววินาทีที่ ณลิน เห็นภาพของ คิมหันต์ และ พิม นั่งร่วมโต๊ะกันในร้านอาหารฝรั่งเศสที่เธอตั้งใจจะมาทานกับ ปอร์เช่ หัวใจของเธอก็รู้สึกเหมือนถูกบีบรัด ภาพความทรงจำในชาติที่แล้วที่คิมหันต์ปฏิเสธเธอด้วยข้ออ้างว่ามีธุระสำคัญ ผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน ความโกรธแค้นและเจ็บปวดแล่นแปลบไปทั่วร่าง แต่ ณลินในตอนนี้ไม่ใช่ ณลินคนเดิมอีกแล้ว เธอจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเธอได้อีกเธอหันไปมองปอร์เช่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาเองก็มองเห็นคิมหันต์แล้วเช่นกัน ดวงตาคมกริบของปอร์เช่ฉายแววเข้าใจสถานการณ์ทันที ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการบอกว่าเขาพร้อมจะตามใจเธอทุกอย่าง"ปอร์เช่คะ... เราเปลี่ยนร้านกันดีกว่าไหมคะ?" ณลินเอ่ยเสียงเบา แต่แววตาแน่วแน่ปอร์เช่ยิ้มบางๆ ที่มุมปาก "ได้สิครับ คุณอยากไปที่ไหน ผมก็ตามใจ"ทั้งสองกำลังจะหันหลังกลับเพื่อเดินออกจากร้าน ทว่า..."อ้าว! พี่ริน! มาทานข้าวที่ร้านนี้ด้วยเหมือนกันเหรอคะ?"เสียงใสหวานแหลมที่เธอเกลียดแสนเกลียดดังขึ้นจากด้านหลัง ณลินรู้สึกราวกับเลือดในกายเย็นเยียบลงทันที นั่นคือเสียงของ พิม น้องสาวบุญธรรมที่เธอเคยรักและไว้ใจณลินค่อยๆ หันกลับไปช้าๆ ใบหน้าของ
เปลือกตาของ ณลิน หนักอึ้ง เธอรู้สึกเหมือนเพิ่งตื่นจากฝันร้ายอันยาวนาน ความเจ็บปวดจากการถูกรถชน ภาพใบหน้าที่เฉยชาของคิมหันต์ และเสียงสะอื้นของปอร์เช่ ยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงความคิด สิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้คือแสงสีขาวจ้าที่กลืนกินทุกสิ่งแต่...ทำไมตอนนี้เธอถึงรู้สึกสบายตัวอย่างประหลาด?ดวงตาคู่สวยค่อยๆ กระพริบ เปิดรับแสงสว่างยามเช้าที่ลอดผ่านผ้าม่านโปร่งเข้ามาในห้องนอนที่แสนคุ้นเคย ณลินกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหรา นี่คือห้องนอนของเธอในบ้านหลังใหญ่ใจกลางเมือง"ฉันตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เสียงของเธอแหบพร่า พึมพำกับตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา เธอขยับกายลุกขึ้นจากเตียงนอนนุ่มดุจปุยเมฆ ก้าวเดินอย่างเชื่องช้าแต่เร่งรีบไปยังกระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องภาพสะท้อนในกระจกคือหญิงสาววัย 25 ปี ที่สมบูรณ์แบบ ไร้บาดแผล ไร้รอยขีดข่วนใดๆ เธอสัมผัสใบหน้าเรียวสวยของตัวเอง นิ้วเรียวยาวไล้ไปตามเส้นผมยาวสลวยที่ปรกบ่า แขนขาของเธอยังคงแข็งแรง ไม่ได้บอบช้ำราวกับคนที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุร้ายแรง สิ่งนี้ทำให้เธอสับสนงุนงงอย่างหนัก"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน... ฉันฝันไปงั้นเหรอ?" เธอเขย่าศีรษะเบาๆ พยายามสลัด
เสียงไซเรนของรถพยาบาลดังก้องไปทั่วบริเวณลานจอดรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล ร่างที่ไร้สติของ ณลิน ถูกเข็นลงจากรถอย่างรวดเร็วและเร่งรีบที่สุด ทีมแพทย์และพยาบาลนับสิบคนกรูกันเข้ามาล้อมรอบเปลสนามทันที"คนไข้หมดสติ ชีพจรแผ่วมากครับ!" เสียงพยาบาลรายงานเสียงดัง"เตรียมห้อง ICU ด่วน! เตรียมเครื่องกระตุ้นหัวใจ!" แพทย์ประจำห้องฉุกเฉินสั่งการเสียงกร้าว สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตึงเครียดและเร่งรีบเปลสนามถูกเข็นเข้าไปในห้อง ICU อย่างรวดเร็ว ประตูห้องบานใหญ่ถูกปิดลง ปล่อยให้ความวุ่นวายและความหวังสุดท้ายถูกขังไว้ภายใน ณลินรู้สึกราวกับร่างกายของเธอถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ความเย็นยะเยือกเริ่มเข้ามาแทนที่ความเจ็บปวด สัมผัสทุกอย่างเลือนหายไปเพียงพริบตาเดียว วิญญาณของณลินก็หลุดออกจากร่าง เธอพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่หน้าประตูห้อง ICU บานใหญ่ ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจของเธอเจ็บปวดรวดร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนภายในห้อง เธอเห็นร่างของตัวเองนอนนิ่งอยู่บนเตียง surrounded ไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์มากมาย หมอและพยาบาลจำนวนมากกำลังช่วยกันปั๊มหัวใจเธออย่างไม่ลดละ เสียงเครื่องวัดชีพจรอื้ออึงอยู่ในความเงียบงันของห้อ
แสงไฟนีออนสว่างจ้าสะท้อนผิวยางมะตอยที่เปียกชื้นจากฝนพรำเมื่อครู่ รถยนต์สปอร์ตคันหรูของ ณลิน หรือ ริน ขับเคลื่อนไปบนถนนยามค่ำคืนด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ หัวใจของเธอพองโตด้วยความหวังและความเหนื่อยล้าจากการถกเถียงกับคุณพ่อเรื่องแผนการผลักดันบริษัทส่งออกเสื้อผ้าของ คิมหันต์ สามีของเธอ ให้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ณลินทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อชายที่เธอรัก เธอเชื่อมั่นในตัวเขามาตลอด และคิดว่าการที่เขามีฐานะที่มั่นคงขึ้นจะทำให้ชีวิตคู่ของพวกเขาสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเดิมลมหายใจถอนออกมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาคู่สวยทอดมองออกไปนอกกระจก ความคิดถึงปอร์เช่ อดีตคู่หมั้นที่ไม่ได้เจอกันมานานผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง หากแต่เธอสะบัดมันทิ้งไป เธอตัดสินใจเลือกคิมหันต์แล้ว และเธอก็พร้อมจะเดินหน้าไปกับเขาอย่างเต็มที่ทันใดนั้นเอง แสงไฟขนาดใหญ่ก็สาดเข้าม่านตาของเธอจากด้านข้าง เสียงแตรรถบรรทุกที่ดังลั่นราวกับฟ้าผ่ากรีดแทรกความเงียบงันยามค่ำคืน ร่างกายของณลินแข็งทื่อไปชั่วขณะ เธอไม่มีเวลาแม้แต่จะเหยียบเบรก หรือหักหลบ แรงกระแทกมหาศาลถาโถมเข้าใส่รถของเธออย่างจัง เสียงเหล็กฉีกขาดดังสนั่น ตัวรถบิดเบี้ยวผิดรูป แรงเหวี่ยงส่งให้ร่า