“แม่ อีกล้วยมันกลับไปคืนดีกับผัวมันแล้วเหรอ ชาวบ้านเขาพูดกันให้แซ่ด” พี่ชายของกัทลีรีบกลับบ้านมาถามมารดาหลังจากได้ยินชาวบ้านพูดเรื่องดังกล่าวจนเข้าหู
“อ้าวเอ็งไปได้ยินมาจากไหน ทำไมแม่ไม่รู้เรื่อง” นางโนรีถาม
“จริงสิแม่ ฉันได้ยินอีแม่ค้าในตลาดนัดมันเล่า มันบอกว่าวันก่อนมันไปขายที่ตลาดของป้าจันทร์ในเมือง เลยเจออีกล้วยมันมาช่วยผัวมันเอาผักที่ฟาร์มมาขาย ลูกมันก็มาด้วยนะ”
“โห อีลูกเนรคุณ นี่มันโกหกกูว่าเลิกกับผัวจะได้ไม่ต้องส่งเงินให้กูสินะ อีลูกชั่ว” นางโนรีก่นด่า
“จริงแม่ มันโคตรเห็นแก่ตัว หนีไปสุขสบายคนเดียวมันคิดว่าแค่ในตัวเมืองเราตามไปไม่ได้มั้ง”
“เออนั่นสิ เอ็งรู้ไหมว่าน้องเอ็งอยู่ไหน รู้จักบ้านใหม่มันไหม” นางหันมาถามลูกชาย
“ทำแบบนี้โอเคละ นายก็ปลูกพวกผักไฮโดรเสริมเข้าไป ขายทางหน้าเพจหรือส่งตามร้านอาหารก็ยังได้” จิรัชเป็นคนหนึ่งที่ให้คำแนะนำหิรัญเกี่ยวกับการทำฟาร์มมาตั้งแต่ต้น และเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในช่วงหลังการเกิดพายุ
“ตกลงแกโอเคนะหิน เรื่องให้ฉันพาเด็กๆ มาทัศนศึกษาในฟาร์มของแก เดี๋ยวฉันจะไปขอหนังสือเข้าเยี่ยมชมมาส่งให้” สไบนางผู้มีอาชีพเป็นครูโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง อยากสนับสนุนให้ฟาร์มของหิรัญเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ด้วยการให้เจ้าของฟาร์มเปิดรับรายได้อีกทางด้วยการให้คนเข้าเยี่ยมชมฟาร์ม
“ถ้าเธอว่าดีฉันก็โอเค ขอบใจมากนะ” หิรัญมองเพื่อนๆ อย่างขอบคุณ วันนี้กลุ่มเพื่อนเก่าแท็กทีมกันมาเยี่ยมเขาที่ฟาร์มแบบพร้อมหน้าพร้อมตา
“ดีนะ นายก็ขยายฟาร์มได้แล้วหิน ตอนนี้ที่ทำอยู่ก็เริ่มนิ่งแล้วแบ่งงานลงตัว” ราณีเพื่อนอีกคนออกความเห็น
“เออจริง ตอนนี้ทำแค่ห้าไร่แต่ข้างๆ นี่ก็ที่พ่อนายหมดใช่ไหม รวมเป็นผืนใหญ่น่าจะเป็นร้อยไร่” วาตะเห็นด้วยกับราณี
“จริงๆ ก็คิดอยู่ แต่กล้วยเขาอยากให้คิดดีๆ กลัวว่าสเกลงานมันจะใหญ่ไป ฉันเลยคิดว่าค่อยๆ ขยับขยายไปน่าจะดีกว่า ไม่ต้องเครียดด้วย”
“เออพูดถึงกล้วย ตกลงกลับมาคืนดีกันแล้วเหรอ” จิรัชถามพลอยทำให้เพื่อนคนอื่นๆ รอฟังคำตอบเพราะอยากรู้เหมือนกัน
ทว่า... หิรัญส่ายหน้าไปมา ถึงกับทำให้ทุกคนร้อง “อ้าว” พร้อมกัน ในความเป็นเพื่อนแม้จะตำหนิกันบ้าง ด่ากันนิดหน่อย แต่ทุกคนก็หวังดีและอยากให้กัทลีและหิรัญกลับมาเป็นครอบครัวกันอีกครั้ง ส่วนหนึ่งก็คือเพื่อน้องบัว อีกส่วนก็คือเพื่อนๆ เห็นว่าในสมัยมัธยมสองคนนี้เคยรักกันมากๆ และเสียดายหากความรักนั้นจะจบลง
“กล้วยเขายังไม่โอเค เขาคงยังไม่เชื่อใจฉันแต่นั่นล่ะ รอได้ไม่เป็นไร” หิรัญส่งยิ้มที่ทุกคนมองออกว่าฝืนและบรรดาเพื่อนก็ไม่มีใครออกความเห็นอีก เพราะถ้ามองในมุมกัทลีพวกเขาก็เข้าใจเธอเช่นกัน
เสียงรถมอเตอร์ไซค์จอดลงที่หน้าฟาร์มในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ตอนนั้นหิรัญกับน้องบัวกำลังนั่งพับกล่องที่ใช้บรรจุเมล่อนอยู่ที่ศาลาหน้าบ้าน ขณะที่กัทลีกำลังทำรายการซื้อของส่งให้แม่ครัวและเด็กทำงานในบ้านซึ่งส่วนมากเป็นรายการของใช้ในบ้านทั่วไป
“นั่นใครมาคะพ่อ”
น้องบัวถามเมื่อเห็นใครบางคนลงจากรถและตรงเข้ามาในฟาร์ม โดยไม่กดกริ่งหรือเรียกหาใคร
หิรัญขมวดคิ้วก่อนจะลุกขึ้นยืน “คุณยายของหนูไงลูก”
น้องบัวทำหน้าสงสัยและเมื่อเห็นหน้านางโนรีชัดๆ เธอก็ร้อง “อ๋อ จริงด้วยค่ะพ่อ แล้วคุณยายมาทำไมคะ”
เหตุการณ์ที่พบกันครั้งสุดท้าย และความรุนแรงที่คุณยายทำต่อแม่ของแกทำให้น้องบัวระแวงขึ้นมาทันที
กัทลีกำลังเดินออกมาจากโรงครัว เมื่อเห็นแม่ตัวเองเดินตรงเข้ามาเธอชะงัก หญิงสาวไม่ได้พบแม่มาหลายเดือนแล้วและทุกครั้งที่เจอกันก็ไม่เคยมีเรื่องดี
“กล้วย แม่มีเรื่องจะคุยด้วย” น้ำเสียงแหลมของนางเรียกความสนใจจากทุกคนในฟาร์ม
“ไม่เป็นไรค่ะหิน ฉันออกไปคุยกับแม่เอง” กัทลีรีบบอกเมื่อเห็นหิรัญขยับตัว เธอเดินออกไปรับหน้าแม่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
นางโนรีกวาดตามองไปรอบฟาร์มและพูดเสียงดังพอจะให้หิรัญได้ยิน “นี่แกกับผัวกลับมาอยู่ด้วยกันแล้วเหรอ งั้นดีเลย ช่วยใช้หนี้ให้แม่หน่อยสิลูก”
กัทลีนิ่ง เธอไม่ได้ตอบในทันที หิรัญเดินเข้ามาใกล้โดยไม่พูดอะไร เขามองดูสถานการณ์อย่างเงียบๆ
“แม่มาทางนี้ดีกว่าค่ะ เราไปคุยกันตรงโน้นเถอะ” หญิงสาวพานางไปคุยที่ศาลาริมบ่อน้ำ ไม่อยากให้น้องบัวได้ยินคำพูดไม่ดีที่อาจจะออกมาจากปากยาย
“แม่จะเอาเงินเท่าไหร่” กัทลีถามตรงๆ
“ห้าหมื่นก็พอ แกกลับมาคืนดีกับผัวแล้วนี่ เงินแค่นี้ไม่น่าลำบาก ได้ดีแล้วก็ช่วยๆ กันหน่อยเถอะ”
“แม่เอามาจากไหนว่าฉันคืนดีกับพ่อน้องบัว แล้วพูดแบบนี้เพราะคิดว่าฉันจะได้เงินจากเขาเหรอ” กัทลีเสียงเย็น
“ก็ใช่น่ะสิ ถ้ามันไม่ให้เงินแกจะไปให้ใคร ฉันพูดหลายทีแล้วว่าแกจะไปนอนแบให้ใครเอาฟรีๆ ไม่ได้ หรือว่าแกไม่เคยจำฮะ แล้วจะยังไงก็แล้วแต่แกอย่าลืมนะว่าถ้าฉันไม่บังคับให้มันรับผิดชอบแก แกจะได้มีวันนี้เหรอ”
หญิงสาวนิ่งอึ้งแล้วน้ำเสียงของกัทลีก็เปลี่ยนไป มันเต็มไปด้วยอารมณ์ที่อัดแน่นมาเนิ่นนาน
“ทำไมแม่ถึงคิดว่าฉันจะสุขสบาย ทำไมถึงคิดว่าฉันจะได้ดีแล้วไม่คิดถึงใคร แม่เคยถามฉันไหมว่าฉันกินอยู่ยังไง ฉันเลี้ยงลูกเหนื่อยไหม ฉันต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วยแม่คิดได้ยังไงว่าฉันสุขสบายดี กว่าฉันจะสอบติดข้าราชการแม่คิดไหมว่าฉันเหนื่อยแค่ไหน ชีวิตแต่งงานที่ผัวไม่เคยกลับมา ลูกเขาก็ไม่เคยมาอุ้ม ไปคลอด ลูกป่วย ฉีดวัคซีนถ้าไม่มีพ่อแม่ผัวที่เขาเมตตาฉัน แม่คิดว่าฉันจะเอาชีวิตรอดมาได้ยังไง”
เสียงของเธอสั่น วันนี้ความอดทนที่มีต่อคนในครอบครัว ต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสายเลือดมันหมดแล้ว
“เขาไม่รักฉันเลยแม่ เขาเคยบอกกับคนอื่นด้วยซ้ำว่าฉันน่ารำคาญ แม่เคยรับรู้บ้างไหมว่าทุกคืนที่ฉันร้องไห้ ไม่มีแม่ ไม่มีผัว ไม่มีใครเลย มีแค่ลูกตัวเล็กๆ คนเดียว”
น้ำตาเธอไหลออกมาในที่สุด แม่ของเธออึ้งไป มองหน้าลูกสาวที่กำลังสั่นไปทั้งตัว
“แม่ไม่เคยเห็นฉันเป็นลูกนอกจากเครื่องผลิตเงินใช่ไหม”
“กล้วย...” หิรัญที่ยืนอยู่ห่างๆ เงียบไปนาน เขาก้าวเข้ามาในจังหวะนั้น เขาได้ยินทุกคำที่เธอพูด
หญิงสาวหันมามองเขา น้ำตาไหลแต่ตาแน่วแน่
“แล้วคุณก็เหมือนกันหิน คุณก็เห็นฉันเป็นแค่คนที่ถูกบังคับให้รับผิดชอบ คุณไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะรู้สึกยังไง กับคนที่มองว่าฉันเป็นตัวถ่วงตัวขัดขวางไม่ให้คุณมีอนาคต”
หิรัญพูดไม่ออกเขาเคยคิดว่าเธอเข้มแข็ง รับมือได้กับทุกปัญหาที่เจอ เขาไม่เคยรู้เลยว่าภายใต้ความเงียบนั้นคือความเจ็บปวดที่ไม่เคยได้รับการเยียวยา
“ผมขอโทษ...” เขาพูดได้แค่นั้น
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ แต่ได้โปรดอย่าทำเหมือนฉันไม่เจ็บไม่รู้สึกอะไร อย่าทำเหมือนทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมง่ายๆ เพราะทุกสิ่งที่ฉันเจอมันไม่เคยง่าย”
กัทลีหันกลับไปมองแม่ของเธอ
“แม่กลับไปเถอะ ฉันไม่มีเงินให้แม่อีกนอกจากค่าใช้จ่ายประจำเดือนที่ฉันจะโอนให้ทุกเดือน ถ้าแม่ไม่เล่นไม่ดื่มมันก็จะพอใช้และต่อไปนี้ฉันไม่มีให้แม่มากกว่านั้นอีกแล้ว”
นางโนรีทำหน้างอ แต่สุดท้ายเมื่อเห็นว่ากัทลีเอาจริงนางก็ไม่พูดอะไรอีก หันหลังกลับเดินออกจากฟาร์มไป
กัทลีนั่งลงที่ม้านั่ง หิรัญไม่พูดอะไรเขาทำได้แค่นั่งลงข้างๆ และยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เธอ
หญิงสาวรับไปอย่างเงียบๆ นี่คือครั้งแรกที่เขาได้รับรู้ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปด้วยความไม่คิด มันมีผลให้มีใครบางคนต้องคิดมากกว่าเดิมเป็นสองเท่าเสมอ
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั