หลังจากวันที่กัทลีระเบิดอารมณ์ใส่แม่และหิรัญ หญิงสาวก็กลับบ้านกับลูกในคืนนั้น ไม่ได้พูดคุยกับหิรัญอีกแม้แต่คำเดียว
มันเป็นความเงียบที่ไม่ได้เกิดจากความโกรธ แต่เกิดจากความเหนื่อยล้าและความกลัวว่าจะต้องเจ็บซ้ำอีก
หิรัญนั่งอยู่ที่ศาลาเดิมคืนนั้นอีกครั้ง ผ้าเช็ดหน้าที่เขายื่นให้เธอยังคงวางอยู่ตรงข้างตัวเขา เธอลืมหรือไม่อยากเก็บไว้ เขาไม่รู้...
ในความเงียบของฟาร์มยามค่ำคืน หิรัญหลับตาแล้วปล่อยใจให้ภาพอดีตย้อนคืนมา
ภาพหญิงสาวที่วิดีโอคอลคุยกับเขา เธอยืนอยู่หน้าบ้านปู่ย่าและกำลังท้องแก่ใกล้คลอด ส่วนตัวเขาในตอนนั้นใจไม่อยู่กับการสนทนาด้วยซ้ำ
“ช่วงนี้หินใกล้สอบแล้วกล้วย จะให้หินกลับไปโน่นพากล้วยไปหาหมอทำไม ถึงไปหินก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก กล้วยไปกับแม่ได้ไหมเดี๋ยวหินบอกแม่ให้นะ” เสียงเขาในวันนั้นยังดังก้องในหัวตัวเอง
ภาพอีกครั้ง วันที่เขาเห็นภาพลูกครั้งแรกที่กัทลีส่งมาให้ดูทางข้อความ เขาชมแกว่า “น่ารักมาก น้องบัวน่ารักเหมือนแม่” แล้วเขาก็รีบขอตัว
"หินมีงานกลุ่มต้องทำ งานนี้สำคัญมากยังไงเดี๋ยวหินโทรหาลูกกับกล้วยใหม่นะ"
ตั้งแต่หลังแต่งงานและเขาออกจากบ้านเพื่อไปเรียนต่อ เขาไม่เคยกลับไปหาเธอเลย ไม่เคยอยู่ตรงนั้นแม้ในวันที่เธอต้องการเขาที่สุด
ไม่เคยแม้แต่จะมองว่ากัทลีกำลังเจ็บหรืออ่อนแอ
ไม่เคยสนใจว่าเธอจะล้มในขณะที่แบกลูกทั้งคนบนหลัง
เขาไม่เคยเห็นเลยว่าในวันที่ตัวเอง “ไม่อยู่” ใครคือคนที่ต้อง “อยู่ให้ได้” เขาเคยคิดว่าเธออดทนเพราะเธอเข้มแข็งแต่วันนี้เขาเพิ่งรู้ว่า เธออดทนเพราะไม่มีทางเลือกต่างหาก
และในทุกความเงียบของเธอ มันคือเสียงที่เขาไม่เคยฟังมาก่อนเลย
วันต่อมาหิรัญตื่นแต่เช้า เตรียมของที่ต้องใช้สำหรับฟาร์ม ให้คนงานทำงานต่อ แม้จะเป็นวันหยุดแต่ที่ฟาร์มจะมีการจัดเวรอยู่เฝ้าตลอดเวลา ในวันอาทิตย์งานก็จะน้อยกว่าวันปกติ คนงานที่อยู่เวรจะมีหน้าที่ดูปั๊มน้ำ เครื่องสูบน้ำหรือเครื่องปั่นไฟให้ทำงานตามปกติโดยที่ชายหนุ่มจ่ายค่าล่วงเวลาให้
เมื่อเคลียร์งานที่ฟาร์มเสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็ขับรถไปยังตลาดใกล้บ้านกัทลี
หิรัญไม่ได้โทรหาเธอ ไม่ได้บอกอะไรล่วงหน้า แต่เขาแค่อยาก “ช่วย” โดยไม่ต้องรบกวนเธอให้วุ่นวาย เขาเข้าใจหากระยะนี้เธออาจจะต้องการเวลาเพื่ออยู่กับตัวเองและทบทวนอะไรหลายๆ เรื่อง
เขาแวะซื้อของใช้จำเป็นให้ลูกสาว ขนมไทยห่อเล็กๆ ที่เธอชอบสำหรับทั้งแม่และลูก รองเท้าใหม่หนึ่งคู่และหนังสือนิทานภาพที่กัทลีเคยบอกว่าอยากซื้อให้แต่ไม่มีเวลา
ชายหนุ่มเจอพี่เลี้ยงของน้องบัวที่ตลาด เขาจึงฝากของไว้ แล้วขอให้บอกน้องบัวว่า "พ่อเอามาให้ ไม่ต้องโทรกลับก็ได้"
ชายหนุ่มเลยกลับไปคุยกับบิดามารดาเรื่องงาน เนื่องจากนายเหมผู้เป็นบิดาเห็นด้วยกับการขยายฟาร์ม และได้อนุมัติให้ใช้ที่ดินแปลงข้างๆ จำนวนยี่สิบไร่
เมื่อคุยเรื่องงานจบเขาจึงถามเรื่องเมื่อแปดปีก่อนตอนที่กัทลีท้องน้องบัวว่ามีอะไรมากกว่าที่เขารู้หรือไม่
นายเหมทำท่านึก “ตอนกล้วยท้องน้องบัวเหรอ พ่อไม่แน่ใจนะว่าแต่ทำไมเพิ่งถาม”
หิรัญชะงัก เขาตัดสินใจเล่าเรื่องที่นางโนรีมาที่ฟาร์มให้พวกท่านฟัง สีหน้าของมารดาดูโกรธเคืองอย่างยิ่งเมื่อรู้เรื่อง
“มันยังไงนะ เป็นแม่ประเภทไหนเห็นแก่ตัวจนตอนนี้ก็ยังไม่สำนึก จะว่าไปก็นึกถึงตอนนั้นนะที่กล้วยท้องแปดเดือนยายแม่ก็มาแบบนี้ โวยวายจนลูกเจ็บท้องต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะภาวะแท้งคุกคาม แอดมิตตั้งหลายคืน”
ว่าแล้วนางจันทร์หอมก็ยกมือขึ้นปิดปากเมื่อนึกได้ถึงเรื่องที่หิรัญถาม นายเหมก็เช่นกัน
“เออใช่ล่ะแม่ หนูกล้วยเคยมีภาวะแท้งคุกคามเสี่ยงทั้งแม่ทั้งลูกตอนท้องแก่ใกล้คลอด นี่หรือเปล่าที่เอ็งถาม”
หิรัญหน้าเผือด นี่เป็นอีกเรื่องที่เขาไม่เคยรู้เลย
“แล้วทำไมไม่มีใครบอกผมเลยล่ะ”
นางจันทร์หอมถอนใจแรงๆ
“จะอะไรล่ะ กล้วยบอกว่ากลัวว่าแกจะเสียสมาธิเดี๋ยวสอบไม่รู้เรื่อง ก็คงเป็นกรรมของหลานฉัน ของสะใภ้ฉันเนอะ มีผัวมีพ่อทั้งทีก็ทั้งโง่ทั้งบ้า”
ชายหนุ่มกลับออกจากที่นั่นด้วยความผิดหวังในตัวเองอย่างที่สุด เขาไปจอดรถห่างจากบ้านของกัทลีพอสมควร แอบมองสองแม่ลูกด้วยดวงตาแดงก่ำ
“พ่อขอโทษนะน้องบัว ผมขอโทษนะกล้วย ผมมันเลวมากๆ สมแล้วที่คุณจะยังไม่ให้อภัย”
วันหยุดถัดมากัทลีพาลูกกลับมาที่ฟาร์ม น้องบัววิ่งไปหาพ่อทันที หิรัญยังคงยืนรออยู่หน้าบ้านไม้เหมือนทุกครั้ง
“คุณพ่อ วันนี้หนูมาแล้วค่ะ” ชายหนุ่มอุ้มร่างเล็กขึ้นมา เด็กหญิงหัวเราะคิกคัก
“พ่อคิดถึงหนูจัง วันนี้ใส่ชุดใหม่เหรอคะ เอชุดนี้พ่อไม่เคยเห็นเลย” ชายหนุ่มคุยกับลูก
“ใช่ค่ะ ชุดนี้แม่ซื้อใหม่ส่วนรองเท้าของพ่อไงคะ หนูชอบมากเลยค่ะ”
“พ่อดีใจที่หนูชอบนะคะ”
น้องบัวเข้าไปในส่วนโรงเรือนโดยมีพี่เลี้ยงเดินตามไปด้วย ชายหนุ่มจึงมีจังหวะได้คุยกับแม่ของลูก
“พ่ออนุมัติเรื่องแผนขยายงาน ผมอยากให้กล้วยกับลูกมีส่วนในฟาร์มนี้ด้วย เราพอจะเป็นหุ้นส่วน เป็นเจ้าของฟาร์มนี้ด้วยกันได้ไหมกล้วย ผมสัญญาว่าจะไม่มีอะไรผูกมัดให้คุณอึดอัดใจเลย”
เขายื่นถุงผ้าหนึ่งใบให้กัทลี เป็นถุงใส่เอกสารบัญชีและใบเสร็จทั้งหมดของฟาร์ม
“ผมทำบัญชีไว้ละเอียด กล้วยช่วยดูให้ด้วยได้ไหม ผมอยากให้ฟาร์มโปร่งใสทุกอย่าง เพราะมันคือของเราทุกคน”
กัทลีเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะรับถุงเอกสารมาโดยไม่พูดอะไร เธอรู้ว่าเขาพยายามเปลี่ยน แต่เธอยังไม่พร้อมที่จะเชื่อใจอีกครั้งง่ายๆ
“กล้วย... ผมเพิ่งรู้ว่าคุณเคยมีภาวะแท้งคุกคาม ผมขอโทษ” หิรัญเอ่ยเป็นการขอโทษอย่างจริงจังที่สุดในชีวิตเท่าที่เขาเคยพูดคำนี้
“ผมรู้ว่าคำขอโทษมันมาช้าไปมากแต่ผมรู้สึกผิดจริงๆ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าอะไรจะทำให้คุณหายเจ็บได้ แต่ผมจะอยู่ข้างๆ จะชดใช้ให้คุณจนกว่าความรู้สึกคุณจะดีขึ้น”
หญิงสาวชะงัก แวบหนึ่งในใจเธอรู้ว่าเขาพูดความจริง และแม้ว่าหิรัญจะยังไม่ใช่คนใหม่ทั้งหมด แต่เขากำลัง "เริ่มใหม่" อย่างช้า ๆ
“ฉันไม่ได้อยากให้คุณเจ็บ”
เธอตอบในที่สุด น้ำเสียงไม่ได้โกรธ ไม่ได้โทษอะไรเขาอีก แต่มันก็ไม่ได้อ่อนโยนแบบที่เขาเคยจำได้
“แต่ฉันก็ไม่สามารถทำเหมือนไม่เคยเจ็บได้หรอกหิน ขอเวลาฉันหน่อยนะ ในเรื่องที่คุณเคยขอโทษฉันฉันเข้าใจและยกโทษให้ ถ้าใจคุณติดตรงนี้ฉันก็อยากบอกว่าคุณสามารถมีชีวิตของตัวเองได้เลย เราแค่ทำหน้าที่พ่อกับแม่ก็พอ”
“ผมไม่ได้อยากได้แค่นั้นกล้วย ไม่มีอะไรหรือใครสำคัญกับผมเท่าคุณกับลูกอีกแล้ว คุณอยากได้เวลาเท่าไหร่ผมไม่มีปัญหา ผมรอได้คุณไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้”
เขาได้เรียนรู้แล้วว่าความรักที่เร่งให้ได้มันมาก่อนเวลา ย่อมส่งผลในระยะยาว ดังนั้นหิรัญจึงบอกตัวเองว่าเขาพร้อมที่จะรอ รออย่างไม่มีเงื่อนไขอะไร
ไม่มีใครพูดอะไรอีกในตอนนั้น แต่เป็นครั้งแรกที่ระยะห่างระหว่างสองคนนี้ดูเหมือนจะเริ่มแคบลงเล็กน้อย ลมเย็นต้นฤดูฝนพัดโชยผ่านหน้าโรงเรือนเมล่อนชายผ้าใบกระเพื่อมไหวเหมือนจะกระซิบว่า... ความสัมพันธ์บางอย่าง แม้จะช้าก็ยังงอกงามได้เสมอ
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั