หลังจากเหตุการณ์ที่กัทลีเปิดใจอย่างเจ็บปวดในวันนั้น เธอกลับมาใช้ชีวิตเงียบๆ กับลูกที่บ้าน โดยไม่ได้ตัดขาดจากฟาร์มเสียทีเดียว แต่เปลี่ยนเป็นการเว้นระยะ ไม่ไปทุกสัปดาห์เหมือนเดิม และเมื่อไปก็ไม่ได้ค้างคืน
ในส่วนของน้องบัวเองก็เช่นกัน เด็กหญิงได้ไปที่นั่นน้อยลงแต่หญิงสาวก็มีเหตุผลที่บอกกับลูกคือช่วงกลางเทอม เธออยากให้ลูกตั้งใจเรียนก่อนซึ่งเด็กหญิงก็เข้าใจได้ดี
แต่ถึงจะน้อยลงอย่างไรเฉลี่ยในหนึ่งเดือน น้องบัวจะได้ไปฟาร์มของพ่อไม่น้อยกว่าสองถึงสามครั้ง เพียงแต่ว่าไม่ได้ไปค้างนั่นเอง
จนกระทั่งเด็กหญิงสอบปลายภาคเทอมหนึ่งเสร็จเรียบร้อย เธอก็ได้รับอนุญาตจากมารดาให้ไปค้างกับหิรัญได้
ในเช้าวันเสาร์แรกหลังปิดเทอม เด็กหญิงบัวชมพูลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กออกมาหน้าบ้าน กัทลีมองลูกแล้วก็ปรายตามองหิรัญที่ยืนรออยู่ข้างรถปิกอัพคันเดิม เขาไม่ได้เร่งรัด ไม่ได้ทวงคำตอบอะไร เพียงแต่รอให้เธอเป็นคนตัดสินใจ
"แน่ใจนะคะน้องบัวว่าหนูอยากไปค้างกับคุณพ่อสองคืน" กัทลีถามย้ำ
"แน่ใจค่ะ หนูอยากไปดูต้นกล้าต้นทานตะวันที่พ่อกับป้าศรีช่วยกันเพาะไว้ด้วย วันก่อนพ่อถ่ายรูปมาให้ดู" เนื่องจากลูกสาวอยากได้ทุ่งดอกไม้ หิรัญจึงชวนลูกทดลองปลูกแปลงเล็กก่อน หากพันธุ์ที่เลือกใช้งอกงามดี ให้ดอกสวย บานทนเขาจึงจะทำแปลงใหญ่ให้ลูก
แม่ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอพยักหน้าเบาๆ และเดินไปส่งลูกที่รถ หิรัญยกกระเป๋าของลูกขึ้นวางบนเบาะหลัง แล้วหันมามองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำขอบคุณ ขอบคุณที่เธอเชื่อใจเขามากพอที่จะยอมให้น้องบัวมาค้างที่ฟาร์มอีกครั้ง
"แค่สองคืนนะกล้วย ถ้าเธอไม่โอเคหรือว่าเปลี่ยนใจอยากไปหาลูกโทรหาได้เลย เดี๋ยวผมมารับก็ได้" เขาพูดเสียงเบา
กัทลีมองเขานิ่ง แล้วพยักหน้า "ไม่เป็นไร ฉันเชื่อใจคุณกับลูก"
แค่นั้น หิรัญก็ยิ้มได้ในแบบที่เขาไม่ได้ยิ้มมานาน
คืนวันนั้น เด็กหญิงบัวชมพูนอนหลับอยู่ในห้องนอนเล็กด้านในของบ้านไม้กลางฟาร์ม หิรัญนั่งอยู่ที่ชานบ้าน ค่อยๆ เปิดสมุดระบายสีที่ลูกวางทิ้งไว้ระหว่างวัน ในนั้นมีหน้ากระดาษหนึ่งที่เขาเห็นแล้วถึงกับหยุดมือ
“วันนี้คุณพ่อพาหนูไปดูต้นทานตะวันที่เพิ่งงอก หนูดีใจมาก แม่บอกว่าคุณพ่อทำดีที่สุดแล้ว หนูเชื่อแม่ เพราะหนูเห็นว่าคุณพ่อพยายามจริงๆ ”
แค่คำพูดเพียงเท่านั้นที่ลูกเขียนไว้ หิรัญก็นิ่งงัน เขาค่อยๆ ปิดสมุดบันทึกลงด้วยหัวใจที่สั่นไหวด้วยความตื้นตันใจ เพราะทั้งหมดหมายความว่าความพยายามของเขาที่ผ่านมา กัทลีและลูกมองเห็นและรู้สึกถึงมันได้จริงๆ
เขาวางสมุดลงเบาๆ แล้วลุกไปเปิดประตูห้องของลูกแง้มออกช้าๆ แสงไฟจากโคมหน้าบ้านส่องเข้ามาเป็นเงาอ่อนๆ บนผ้าห่มสีชมพู เด็กหญิงบัวชมพูยังคงนอนหลับสนิท มือข้างหนึ่งโอบตุ๊กตาไว้แน่น
หิรัญก้าวเข้าไปนั่งข้างเตียง หยิบตุ๊กตาอีกตัวหนึ่งที่ตกอยู่ข้างเตียงมาวางไว้ตรงปลายหมอน แล้วดึงผ้าห่มขึ้นให้คลุมบ่าเด็กหญิงอีกนิด เสียงจิ้งหรีดข้างนอกดังระงม แต่ภายในใจเขากลับสงบเงียบอย่างน่าอัศจรรย์
เช้าวันอาทิตย์ หิรัญพาลูกออกไปเดินดูแปลงผักด้วยกัน หิรัญพาลูกเก็บไข่ไก่ตอนเช้า ช่วยกันนับแล้วใส่ตะกร้า เด็กหญิงยืนเขียนตัวเลขลงกระดาษยับๆ ว่า
“เก็บไข่ 6 ฟอง” แล้วยิ้มกว้างราวกับได้เหรียญรางวัล
ตอนบ่ายพ่อพาไปเด็ดผักบุ้งริมร่องน้ำ ทั้งคู่หัวเราะเมื่อโดนน้ำกระเด็นเปื้อนเสื้อ ถึงแค่สองวัน แต่มันก็เหมือนกับฤดูหนึ่งที่หัวใจเขาเริ่มผลิบานอีกครั้ง ลูกสาวถามว่า
“พ่อคะพอลูกเมล่อนโตแล้ว เราจะเอาไปขายไหม”
“ขายสิลูก แล้วเราจะแบ่งเงินเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งไว้เป็นทุนปลูกต่อ ส่วนหนึ่งให้แม่ ส่วนหนึ่งไว้ให้ลูกเรียนหนังสือ”
“แล้วแม่จะดีใจไหมคะ”
“แม่ต้องดีใจแน่ๆ เพราะนี่คือฟาร์มของพวกเราทุกคน” หิรัญตอบอย่างมั่นคง
เด็กหญิงยิ้มรับ แล้วหันไปดูต้นกล้าทานตะวันที่เพิ่งงอกราวกับกำลังตั้งใจฟังเสียงพวกมันเติบโต
“เหมือนที่แม่เคยเอามาผัดเลยค่ะพ่อ” น้องบัวสังเกต
“ใช่ลูก ต้นอ่อนทานตะวันกินได้เหมือนผักอื่นๆ สารอาหารสูงกินเป็นสลัดได้ เป็นผักปรุงสุกก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อแบ่งใส่ถุงให้หนูเอากลับไปฝากคุณแม่นะลูก”
“ดีจังค่ะพ่อ หนูขอเห็ดด้วยได้ไหมคะ หนูชอบกินเวลาแม่ผัดพร้อมกัน” เด็กหญิงขออีกอย่างที่เธอหมายตาไว้
หิรัญมองลูกอย่างเอ็นดู “ได้สิลูก เอ๊ะ... ถ้าแบบนี้พ่อซื้อกุ้งตัวใหญ่ๆ ไปด้วย คุณแม่จะผัดเผื่อให้พ่อกินด้วยไหมคะ”
“แน่นอนเลยค่ะ เดี๋ยวหนูโทรไปบอกแม่เองนะคะว่าพรุ่งนี้พ่อจะไปส่งแล้วกินข้าวด้วย”
สองวันผ่านไปไวอย่างยิ่ง สมกับที่มีคนมักจะบอกว่าเวลาแห่งความสุขมันจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ หิรัญพาลูกกลับมาส่งกัทลีที่หน้าบ้าน หญิงสาวออกมารับลูกเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรมากนัก
ก่อนหิรัญจะกลับ เขายื่นสมุดบัญชีฟาร์มเล่มล่าสุดให้เธอ “ผม
อัปเดตไว้หมดแล้วนะ ถ้าว่างลองดูให้หน่อย”กัทลีพยักหน้าแล้วรับมันไว้ หิรัญไม่คาดหวังอะไรมากไปกว่านั้น เพราะสำหรับเขาการที่กัทลีให้ลูกไปอยู่ด้วยอย่างเต็มใจ มันคือของขวัญที่มีค่าที่สุดแล้ว
แต่เมื่อหิรัญทำท่าจะขอตัวกลับเธอก็พูดขึ้นว่า
“ลูกบอกว่าคุณจะอยู่กินข้าวด้วยกันไม่ใช่เหรอ ไหนว่าจะซื้อกุ้งกับเอาผักมาจากฟาร์มไงล่ะ”
หิรัญหันขวับเขามองเธออย่างดีใจ “ใช่ๆ ผมซื้อกุ้งมาแล้ว ส่วนผักผมเอาต้นอ่อนทานตะวันกับเห็ดนางฟ้าภูฐานมา กล้วยจะให้ผมเข้าไปช่วยในครัวไหม”
กัทลียิ้มอ่อน “ไม่เป็นไร แต่ฉันคงต้องรบกวนคุณฝากดูแลลูกระหว่างที่ฉันทำกับข้าวนะ”
ชายหนุ่มรับคำแบบไม่ต้องคิด “ได้เลยครับ ผมจะดูแลลูกให้ดีที่สุดเลย”
เธอเดินนำเขาเข้าไปในบ้าน และเมื่อกัทลีบอกลูกว่าพ่อจะอยู่กินข้าวด้วย ให้น้องบัวอยู่กับพ่อไปก่อนระหว่างแม่ทำอาหารเด็กหญิงก็ส่งเสียงเฮอย่างดีใจ
“น้องบัวไปเอาน้ำให้คุณพ่อสิลูก” เธอบอกทำให้เด็กหญิงนึกขึ้นได้ วิ่งปรู๊ดเข้าครัวไปทันที
“ขอบคุณนะครับกล้วย ผมขอบคุณจริงๆ”
การที่หญิงสาวต้อนรับเขาให้เข้าบ้าน นั่นคือสัญญาณที่ดีอย่างมากในความคิดของหิรัญ
และสำหรับกัทลี การได้เห็นลูกกลับมาพร้อมรอยยิ้มคือความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั