LOGINน้องบัววิ่งเข้าไปหลบหลังแม่แล้วค่อยๆ โผล่หน้ามามองคนเป็นพ่อ หลังจากที่เห็นกันมาหลายครั้งแล้วเธอจึงไม่ตกใจมาก แต่ก็ยังมีท่าทีระแวงอยู่
หิรัญย่อตัวลงนั่งลงบนส้นเท้าตัวเองเพื่อให้ใบหน้าตัวเองอยู่ในระดับสายตาของเด็กหญิง
“น้องบัวคะพ่อมาหาค่ะลูก หนูออกมาหาพ่อได้ไหมคะ”
“พ่อ...” เด็กหญิงทวนคำ “พ่อมาทำไมคะ” เพราะว่าเธอจำได้ว่าคนที่แม่เคยแนะนำว่าเป็น “คุณพ่อ” ช่วยเธอและแม่ไม่ให้คุณยายตีเมื่อเช้าวันนี้ เด็กหญิงจึงลดท่าทีไม่เป็นมิตรลงไปบ้างถ้าเทียบกับปฏิกิริยาของเธอในวันวาน
“พ่อมาหาหนูไงคะลูก” หิรัญใจชื้นขึ้นเมื่อเด็กหญิงยอมพูดกับเขาบ้าง ดีกว่าท่าทางปฏิเสธเด็ดขาดแบบเมื่อวาน
“น้องบัวออกไปบอกลุงลมให้ย่างหมูได้แล้วลูก เดี๋ยวแม่ตามออกไปนะคะ” กัทลีออกคำสั่งเบี่ยงเบนความสนใจของลูก ทำให้เด็กหญิงทำท่านึกออกว่าเธอกำลังจะออกไปหากลุ่มเพื่อนๆ ของแม่
“ค่ะแม่” เมื่อมารดาพยักหน้าให้เด็กหญิงก็เลยเลิกสนใจ ‘คุณพ่อ’ และวิ่งตื๋อออกไปอย่างรวดเร็ว
กัทลีมองตามหลังลูกจากนั้นกลับมามองอีกคนที่ยังอยู่ที่เดิม “เรื่องเมื่อเช้าขอบคุณมากแต่เมื่อไหร่คุณจะกลับไปสักทีฮะหิน”
“วันนี้กล้วยจะฉลองกับเพื่อนเก่าไม่ใช่เหรอ เพื่อนคุณก็เพื่อนผมทำไมผมจะอยู่ด้วยไม่ได้”
“ใช่ ฉันฉลองกับเพื่อนๆ เนื่องในโอกาสที่ได้เป็นโสดอีกครั้งแบบเป็นทางการ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ” เรื่องความหน้ามึนใครๆ ก็ต้องยกให้เขาอยู่แล้ว กัทลีเริ่มหงุดหงิด
“จะไม่เกี่ยวได้ยังไง ถ้าผมไม่ใจเร็วเออออกับคุณยอมไปเซ็นใบหย่าให้ง่ายๆ คุณจะได้ฉลองเหรอไม่รู้ล่ะยังไงวันนี้ผมก็จะอยู่ด้วย”
หิรัญเลิกเถียงกับเธอ เขาหันหลังกลับเดินตามไปสมทบกับลูกและกลุ่มเพื่อนด้านนอก กัทลีสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ข่มความโมโหลง ตอนนั้นเองที่สองสาวในครัวออกมาสมทบ
“หน้าด้านจริงจริง ผัวเก่าใคร” สไบนางเอ่ยลอยๆ
“เออนั่นสิ ฉันว่าตอนนี้ไอ้หินมันเริ่มคิดแล้วล่ะว่าไม่น่ายอมหย่าให้แกง่ายๆ นะกล้วย” ราณีเสริม
“จะว่าง่ายก็คงไม่ง่ายเท่าไหร่หรอกแก ฉันรอมันกลับมาหย่าให้ตั้งเจ็ดปีเชียวนะ”
“โคตรเห็นแก่ตัวน่ะเอาจริง จะไปสำเริงสำราญไปเป็นหนุ่มโสดแต่แรกก็ไม่ควรจะผูกมัดใครไว้ด้วยทะเบียนสมรส ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเป็นได้ขนาดนั้นพูดเรื่องนี้แล้วโมโห อยากลาออกจากความเป็นเพื่อนมัน” สไบนางโมโหแทนเพื่อน
“เอาละเครื่องด่าเริ่มวอร์มแล้ว แกหยุดก่อนบีเดี๋ยวงานกร่อย” ราณียังไม่อยากให้เสียบรรยากาศ
“เออ ฉันรู้น่าว่าวันนี้เราเลี้ยงส่งไอ้กล้วยมัน เดี๋ยวมันต้องย้ายไปรับตำแหน่งอีกที่แล้ว” พูดถึงตรงนี้สไบนางหันมาถามกัทลี
“แล้วตกลงแกจะฝากน้องบัวอยู่กับปู่ย่าเรียนที่นี่ให้จบเทอมใช่ไหม”
“ใช่ ย้ายกลางเทอมมันยุ่งน่ะ เหลืออีกแค่ไม่ถึงเดือนจะสอบแล้วด้วย ฉันจะย้ายไปทำงานที่ใหม่ก่อนแล้ววันหยุดค่อยมารับลูกไปอยู่ด้วยกัน”
เพราะว่ากัทลีเป็นข้าราชการท้องถิ่นในตำแหน่งนักวิชาการศึกษา จำเป็นต้องย้ายไปรับตำแหน่งอีกหน่วยซึ่งเธอมองว่าดีกว่าอยู่ที่นี่เพราะอยากย้ายไปให้ไกลจากมารดาและคนในครอบครัวเดิมทั้งหมด อีกส่วนคือเธอเกรงใจปู่ย่าของน้องบัวที่ท่านต้องคอยมาเป็นกันชนให้เสมอ
“จะว่าไปก็ดีนะ ให้แกย้ายไปก่อนจะได้มีเวลาเตรียมบ้าน เตรียมอะไรๆ ให้น้องบัวไม่ต้องรีบ” ราณีออกความเห็น
“ใช่ ฉันก็ว่างั้นล่ะ เราออกไปกันเถอะหิวแล้ว” ว่าแล้วสามสาวก็ช่วยกันยกของกินเล่นที่ช่วยกันทำเมื่อครู่ออกไปด้านนอก
หลังจากงานเลี้ยงที่บ้านของกัทลีวันนั้นจบลง หิรัญก็ถูกนางจันทร์หอมผู้เป็นมารดาใช้ไปโน่นมานี่จนไม่มีเวลาไปหาลูก แถมบางครั้งนายเหมผู้เป็นบิดาเองก็ช่วยหางานเพิ่มให้เขาด้วยอีกคน
“ปกติใครเก็บค่าเช่าแผง ค่าเช่าที่พวกนี้เหรอฮะแม่”
นางจันทร์หอมเป็นเจ้าของตลาดสดใหญ่ในตัวเมืองหนึ่งแห่ง และเปิดตลาดนัดช่วงเย็นอีกสามแห่งเวียนไปแห่งละสองวันบ้าง สามวันบ้างจนครบเจ็ดวันพอดี นางใช้ลูกชายให้ไปด้วยกันจนหิรัญเริ่มบ่นในวันที่เจ็ด
“จะได้รู้ไงว่าเงินหายาก ช่วงที่แกตกงานเป็นปีแล้วขอเงินพ่อแม่น่ะมันก็ได้มาจากการที่แม่ต้องเดินตะลอนๆ เก็บค่าแผงส่งให้นี่ล่ะ”
“ผมรู้แล้วฮะแม่” หิรัญทำเสียงจริงจัง
“ใช่มะ รู้แล้วก็ทำตัวดีๆ มาช่วยพ่อแม่ทำงานได้แล้วเจ้าหินเอ้ย” นางจันทร์หอมตื้นตันใจที่เพียงไม่กี่วันที่ให้ลูกชายมาทำงานเอง เขาก็รู้ว่ากว่าจะได้เงินมาพ่อแม่เหน็ดเหนื่อยแค่ไหน
“ฮะ ผมรู้แล้วว่าแม่เก็บเงินค่าแผงวันนึงได้เป็นหมื่นๆ อาทิตย์นึงแสนกว่า เยอะกว่าผมทำงานทั้งเดือนอีก ดังนั้นผมไม่ไปไหนแล้วจะเกาะพ่อแม่กินอยู่ที่นี่ล่ะ” หิรัญพูดหน้าตาเฉยแล้วรีบหลบฝ่ามือพิฆาตจากมารดาอย่างรู้ทัน
“ไอ้หิน ไอ้ลูกเวร กลับมาให้ตีเดี๋ยวนี้นะ”
“ทะเลาะอะไรกันแม่ลูก” นายเหมเข้ามา ชายวัยกลางคนสวนทางกับบุตรชายที่ผิวปากอย่างอารมณ์ดีเดินออกไปนอกบ้าน เขาจึงเรียกชายหนุ่มไว้ก่อน
“หินอย่าเพิ่งไป เดี๋ยวไปทำธุระในเมืองให้พ่อที”
“ไปไหนอีกล่ะพ่อ ผมก็เพิ่งกลับมาจากในเมืองเนี่ย” ในเมืองกับบ้านเขาห่างกันสี่สิบกว่าเกือบห้าสิบกิโลเมตร แล้วพ่อคิดว่ามันขับรถไปแค่ห้านาทีหรืออย่างไร
นายเหมโยนกระดาษในมือให้บุตรชายรับไว้ หิรัญรับมาดูอย่างงงๆ “อะไรพ่อ รายการเฟอร์นิเจอร์นี่นาพ่อจะแต่งห้องใหม่เหรอ แต่งให้ใคร”
เนื่องจากในรายการแบบที่นายเหมเลือกไว้ล้วนเป็นเฟอร์นิเจอร์แนวเจ้าหญิง โทนสีพาสเทลทั้งหมดหิรัญจึงแน่ใจว่าไม่ใช่ของเขาและของห้องพ่อแม่แน่ๆ
“พ่อจะแต่งห้องใหม่ให้ยายหนูบัว แกจะต้องมาอยู่บ้านเราสักเดือนนึงช่วงรอสอบก่อนปิดเทอม เอ็งจะไปทำให้ลูกไหมล่ะถ้าไม่อยากไปเดี๋ยวให้ไอ้ฝ้ายไปแทนก็ได้”
“ไปๆ พ่อ แล้วหมายความว่าไงที่พ่อบอกว่าน้องบัวจะย้ายมาอยู่ที่นี่เดือนนึง กล้วยมาด้วยไหมพ่อ”
นางจันทร์หอมส่ายหน้าไปมาที่ลูกชายไม่รู้อะไรเลย
“กล้วยต้องย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ที่ตัวเมืองมะรืนนี้ พรุ่งนี้ย้ายของไปแต่น้องบัวยังย้ายโรงเรียนไม่ได้เพราะรอสอบก่อน พ่อแม่เลยให้น้องบัวมาอยู่ที่นี่กับปู่ย่าจนกว่าจะสอบเสร็จแล้วแม่เขาจะมารับไปช่วงวันหยุด”
“แล้วกล้วยจะไปอยู่คนเดียวเหรอแม่ อยู่บ้านไหนมีบ้านแล้วเหรอ อยู่ยังไงเป็นผู้หญิงไปคนเดียว” หิรัญขมวดคิ้ว
“ห่วงอะไรตอนนี้ล่ะ กล้วยอยู่ได้มาตั้งนานแล้วตั้งแต่ตอนที่ถูกผัวทิ้งไปเจ็ดแปดปีน่ะ” มารดาค่อนขอด
“โธ่แม่ ผมสำนึกไม่ทันแล้ว” หิรัญกอดเอวมารดา “เดี๋ยวผมไปดูของให้น้องบัวก่อน ลูกจะได้ดีใจเนอะแม่ว่าพ่อทำให้” ว่ากันเป็นเรื่องๆ จัดห้องให้ลูกก่อนส่วนเรื่องกัทลีค่อยว่ากัน หิรัญคิดในใจ
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั







