LOGIN“แม่ต้องย้ายที่ทำงานพรุ่งนี้แต่โรงเรียนหนูยังไม่ปิดเทอม หนูไปอยู่กับคุณปู่คุณย่าก่อนนะคะลูก แล้ววันหยุดแม่จะมารับไปนอนค้างกับแม่”
“ค่ะแม่ หนูอยู่กับปู่ย่าได้แต่แม่อย่าลืมมารับหนูเย็นวันศุกร์นะคะ” เด็กหญิงกำชับ
“แม่ไม่ลืมแน่นอนค่ะ ใครจะลืมลูกทั้งคนเนอะ” ใครจะลืม ถ้าไม่ใช่อดีตสามี ‘ไอ้บ้าหิน’ หญิงสาวอดคิดด่าฝ่ายนั้นในใจไม่ได้
“โอเค นอนนะคะลูก คืนนี้แม่ขอนอนกอดหนูหน่อยนะคะ พรุ่งนี้แม่ต้องไปแล้ว” หญิงสาวเอื้อมมือไปหรี่ไฟเอนตัวนอนกอดเด็กหญิงไว้หลวมๆ ยังไม่ทันได้ห่างกันจริงๆ เธอก็ใจจะขาด แล้วต้องไปอยู่โน่นคนเดียวเป็นเดือนเธอจะทนไหวไหม กัทลีถามตัวเอง
เช้าวันต่อมากลุ่มเพื่อนๆ มาช่วยกัทลีขนของย้ายบ้านโดยที่เธอจะขนของที่จำเป็นไปทั้งหมดทีเดียว ยกเว้นของใช้ส่วนตัวของน้องบัวที่จะขนไปไว้ที่บ้านปู่เหมย่าจันทร์ชั่วคราว
ในขณะที่เริ่มขนของขึ้นท้ายรถกระบะของวาตะที่ชายหนุ่มนำรถที่บ้านมาช่วยย้าย หิรัญก็ขับรถปิคอัพมาจอดที่หน้าบ้าน
“ให้ไอ้หินมาช่วยขนของด้วยเหรอกล้วย” สไบนางถามเพื่อน
“เปล่า ฉันยังไม่ได้บอกเขาเลยว่าจะย้าย” กัทลีตอบพลางเดินไปหาแขกที่ไม่ได้เชิญว่าเขามาทำไม
“คุณมาทำอะไรหิน”
“มาช่วยขนของไง พ่อบอกว่าวันนี้กล้วยจะย้ายของไปในเมือง จะได้มารับน้องบัวไปบ้านโน้นด้วย” หิรัญตอบง่ายๆ “เมื่อวานผมก็ไปซื้อเฟอร์มาแต่งห้องไว้ให้น้องบัวกว่าจะเสร็จก็ค่ำ ทำไมไม่บอกผมสักคำว่าจะย้าย จะอะไร ผมจะได้มาช่วยให้เร็วกว่านี้”
คำถามของเขาทำให้กัทลีนึกย้อนไปถึงอดีต ในตอนที่น้องบัวอายุใกล้ครบหนึ่งขวบและเธอโทรไปบอกเขาว่าเดือนหน้าต้องพาลูกไปฉีดวัคซีน ซึ่งเวลานั้นน่าจะตรงกับช่วงที่เขาปิดเทอมและเธอคิดว่าเขาจะกลับบ้านเพราะในระยะเวลานั้นมันก็เกือบสองปีแล้วที่หิรัญไปเรียนต่อโดยที่ไม่ได้กลับมาบ้านเลย
‘หิน เดี๋ยวอีกเดือนกว่าๆ น้องบัวจะอายุครบขวบ คงพอดีกับช่วงที่เธอปิดเทอม กลับมาบ้านนะจะได้พาลูกไปด้วยกัน’
‘กล้วยก็พาลูกไปเองไม่ได้เหรอ ผมว่าจะลงซัมเมอร์คงไม่ได้กลับบ้านอีกปี ทางนั้นมีคนเยอะแยะพ่อแม่ก็อยู่ ลูกน้องพ่อก็มี ถ้ากล้วยอุ้มลูกไม่ไหวก็ให้คนที่บ้านช่วยก็ได้มั้ง’
กัทลีอึ้ง ใจที่พองฟูในคราแรกที่ได้ยินเสียงเขาก็พลันเหี่ยวแฟบลง ‘อ้าว เรานึกว่าหินจะมารับเราไปสมัครสอบเข้าเรียนมหาลัยที่โน่นซะอีก หรือว่าเธอจะให้เราไปเองก็ได้นะ’
หิรัญเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะตัดบท ‘เรื่องนี้เอาไว้คุยกันที่หลังก็ได้กล้วย ที่นี่เทอมสองยังไม่ได้สอบเลยเรื่องรับนักศึกษาใหม่ปีหน้ายังไม่มีข่าวออกมาหรอก แค่นี้ก่อนนะเพื่อนเรียกไปทำงานกลุ่ม’
“กล้วย กล้วยเป็นอะไร” หญิงสาวสะดุ้งเมื่อหิรัญเรียกเธอเสียงดัง กัทลีจึงนึกได้ว่าคุยกับเขาอยู่เมื่อครู่
“ต่อให้คุณมาตั้งแต่เมื่อวาน มันก็เร็วกว่านี้ไม่ได้หรอกหิน คุณช้าไปมาก ช้าเกินไปแล้ว” เธอมองหน้าเขานิ่งพูดพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง จากนั้นจึงปรับน้ำเสียงให้จริงจังมากขึ้น
“ถ้าฉันจะทำอะไรแล้วต้องรอคุณ ฉันคงตายไปนานแล้วล่ะ คุณกลับไปเถอะ ส่วนน้องบัวแกไม่ไปกับคุณแน่ไม่ต้องหวังดีมารับ เดี๋ยวฉันไปส่งลูกที่บ้านปู่ย่าเองหลังจากย้ายเสร็จ”
เพราะว่าน้องบัวอยากไปเห็นบ้านแม่ก่อน เด็กหญิงจึงขอตามไปด้วยสองแม่ลูกจึงตกลงกันว่าเช้าไปบ้านใหม่กันก่อน และช่วงบ่ายมารดาจะขับรถมาส่งบุตรสาวที่บ้านปู่ย่าเอง
“ก็เอาข้าวของน้องบัวให้ไอ้หินมันขนไปก่อนก็ได้นี่กล้วย ไหนๆ มันก็มาแล้ว เราจะได้ไม่ต้องขนหลายเที่ยว” จิรัชหาทางลงซึ่งคราวนี้ทุกคนเห็นด้วย
กัทลีนิ่งคิดว่าดีเหมือนกัน จะได้ให้หิรัญขนของลูกแล้วกลับบ้านไปซะ เขาจะได้ไม่ต้องตามไปบ้านใหม่ของเธอให้รกสายตา
“เอางั้นก็ได้”
“อันนี้ค่ะของหนูกล่องสีชมพู เอาไปหมดเลย” น้องบัวชี้มือไปทางกล่องของใช้พลาสติกหนาขนาดใหญ่ประมาณสามกล่องที่วางเรียงกันอีกมุมของบ้าน
“หมดนี่เลยเหรอคะลูก” หิรัญทวน เขานึกไม่ออกเลยว่าเด็กตัวเล็กๆ จะมีของใช้อะไรมากมายขนาดนั้น
“คุณพ่อยกไม่ไหวเหรอคะ” น้องบัวเอียงคอถามอย่างสงสัย
“ไม่ใช่ค่ะลูก พ่อยกได้สบายมากเลยค่ะ” ชายหนุ่มหยุดถามแล้วรีบทำตามที่เด็กน้อยบอกก่อนที่เธอจะถามอะไรให้เขาจุกอีก
“เอานี่ไปด้วยค่ะ” เด็กหญิงชี้ไปทางกระถางต้นไม้ซึ่งเป็นกระถางแขวนขนาดประมาณแปดนิ้ว วางเรียงกันด้านนอกอยู่สามสี่กระถาง
“เอาไปทำไมคะลูก นี่ต้นอะไรคะ” ชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้
“ต้นไม้ที่ลูกปลูกเป็นกิจกรรมส่งครู อีกสองอาทิตย์ต้องเอาไปส่งที่โรงเรียน” กัทลีตอบแทน
“แล้วนี่ต้นอะไร คล้ายๆ คุณนายตื่นสายเมื่อก่อนเลยแต่มันดอกเล็กกว่านี้ไม่ใช่เหรอ อันนี้ดอกสวยแปลกตาดีจัง” หิรัญยังถามต่อ
“ต้นแพรเซี่ยงไฮ้กับคุณนายตื่นสายพันธุ์ดอกใหญ่” กัทลีตอบ
“หนูชอบค่ะดอกสวยดีมีหลายสีด้วย พ่อยกเร็วๆ สิคะยังไม่ได้ขึ้นไปเอาเสื้อผ้าหนูเลยนะ” เด็กหญิงเร่ง
“ฮะ... แล้วสามกล่องใหญ่นั่นยังไม่มีเสื้อผ้าหนูเหรอลูก” คุณพ่อมือใหม่ทำเสียงตกใจ
“นั่นของเล่นกับตุ๊กตาหนูค่ะ ข้างบนยังมีเสื้อผ้า ชุดนักเรียน ชุดอยู่บ้าน ชุดนอน แล้วก็โต๊ะเขียนหนังสือ เอาชามข้าวของหนูไปด้วยนะคะ” เด็กหญิงพูดถึงถ้วยข้าวใบโปรดที่เธอใช้ประจำ ซึ่งเป็นลายการ์ตูนลิขสิทธิ์ที่มารดาซื้อให้เป็นชุด และหิรัญไม่ได้ถามอะไรอีกนอกจากขนทุกอย่างที่ลูกชี้บอก
เสร็จแล้วก็แทบจะเต็มท้ายรถพอดี เพราะหนูน้อยให้ขนแม้กระทั่งโต๊ะทำการบ้าน เก้าอี้ตัวโปรด หมอน ผ้าห่มที่เธอติดมากไปด้วย
“เยอะเอาเรื่องเหมือนกัน เพิ่งรู้ว่าเด็กเจ็ดขวบจะมีของใช้เยอะขนาดนี้” หิรัญพูดเบาๆ
“เยอะใช่ไหมล่ะ ตอนยัยหนูเล็กๆ น่ะแม่ลูกอ่อนจะไปไหนทีก็แทบจะเหมือนว่าย้ายบ้านอยู่แล้ว กล้วยมันเก่งนะที่เลี้ยงลูกเองเป็นหลักโดยที่แทบไม่ต้องให้ใครมาเดือดร้อนด้วยเลย” จิรัชตบไหล่เพื่อน เขาอยากบอกให้มันรู้มานานแล้ว แต่หิรัญไปเรียนต่อและไม่เคยกลับมาเลยในช่วงแปดปีที่ว่า จนทุกอย่างมันล่วงเลยไปไกลจนเรียกอะไรกลับคืนไม่ได้
“กูรู้สึกผิดเลยว่ะ เคยคิดได้ยังไงวะว่ากล้วยก็แค่เลี้ยงลูกอยู่บ้านสบายๆ ไปเรียนก็มีคนช่วยดูแลแทน เงินก็ไม่ต้องหาเองไม่เหมือนกูที่ต้องไปเรียนหนัก ต้องใช้สมอง พอเรียนจบก็ต้องทำงานหาเงินใช้ดูแลตัวเอง กูคิดได้ไงว่าตัวเองลำบากกว่าเขา” ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง
“นี่เพิ่งเริ่มต้น เดี๋ยวมึงจะซาบซึ้งมากกว่านี้ว่าการเลี้ยงลูกเป็นยังไงตอนที่น้องบัวไปอยู่บ้านมึงระหว่างรอปิดเทอม เตรียมตัวได้เลย” จิรัชทิ้งท้าย
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั







