สองสามวัน เหมยพาเจสซี่ท่องเที่ยวเมืองเชียงใหม่อย่างเต็มอัตรา ทั้งกิน เที่ยว ดื่มดริ้งค์ สองคนนั้นพากันเมาหัวราน้ำกลับมาที่บ้านสวนของแม่น้ำฟ้า แม่ของเหมยทุกวัน
"โอ๊ย กี่โมงแล้วอ่ะยัยเหมย" เสียงอ้อแอ้ ทสะโหลสะเหลของยายเจสซี่ที่ลุกขึ้นมาจากเตียง สภาพทั้งสองคนดูเหมือนซอมบี้ เพราะพากันเมาจนสนุกสุดเหวี่ยง "ฮืม...ไม่รู้เหมือนกัน" เสียงครางยานอู้อี้ของเหมยพยายามควานหาโทรศัพท์มือถือที่อยู่ข้างเตียงเพื่อดูเวลา "ตายแล้ว! เที่ยงแล้วยัยเจสซี่ ลุกๆ เร็วๆ วันนี้เรามีนัดต้องไปงานเลี้ยงคืนสู่เหย้าไม่ใช่หรอ ของมหาลัยอ่ะ" ก่อนหน้านี้ได้มีเทียบเชิญจากเหล่าเพื่อนเก่าที่พากันเชิญให้ทุกคนกลับไปงานคืนสู่เหย้าของโรงเรียน "ตายแล้ว ฉันก็ลืมเสียสนิทเลย! ลุกๆๆ" ทั้งสองรีบพากันลุกพรึ่บออกจากเตียงเพื่อไปเตรียมตัวงานในคืนนี้ เจสซี่ที่เตรียมตัวจะแปลงโฉมเพื่อนสาวที่เป็นเหมือนยายป้าเพิ้ง ให้ทุกคนในงานได้สวยตะลึง ในเมื่อแผลในใจของเหมยคือเรื่องเมื่อหลายปีก่อน วันนี้เจสซี่จะเป็นคนลบแผลในใจนี้ออกไปจากหัวใจของเพื่อนเอง "โอ๊ย ยายเจ๊ส แค่งานคืนสู่เหย้า แกจะต้องเลือกชุดเสื้อผ้า หน้า ผมอะไรให้ฉันขนาดนี้ ฉันไม่ได้ไปเดินพรมแดนนะยะ" เหมยที่โวยวายเพื่อนรักอย่างเจสซี่ออกแนวรำคาญ "ไม่ได้หรอก ฉันจะทำให้เพื่อนของฉันสวยที่สุดในงานคืนสู่เหย้าคืนนี้ ทุกคนจะต้องตะลึงและจำแกไม่ได้ เชื่อฉันสิ" เจสซี่พูดจบก็หมุนซ้ายหมุนขวาออกแบบทรงผมที่ดำดกปกหลังของยายเหมยให้ดูทันสมัยมากขึ้น ผ่านไปประมาณสองชั่วโมง กินเวลามาจนถึงเกือบสี่โมงเย็น สองเพื่อนสาวสลับกันแต่งตัวเป็นคอสตูมให้กันและกันระหว่างเจสซี่และเหมย "โถ่ ยัยตัวแสบ สวยขนาดนี้ยังจะแต่งอะไรนักหนา" เหมยแซวเจสซี่เพื่อนรักที่วันนี้เลือกใส่ชุดสีแดงเพลิงประกาย เอาเป็นว่าคนทั้งงานจะมองเจสซี่เป็นตาเดียวแน่นอน "แกน่ะไปเปลี่ยนชุดสักที ผมได้ หน้าผ่านสวยตะลึงตึงขนาดนี้ ฉันอยากเห็นแกใส่ชุดที่ฉันเลือกอ่ะ ไปเร็วๆ เลย" เจสซี่ที่จับเพื่อนรักดันเข้าไปในห้องน้ำที่ตัวเองได้เตรียมเสื้อชุดเดรสสีดำเอาไว้ให้ "โอ๊ย ยายเจ๊สซี่ใจเย็นๆ เดี๋ยวฉันจะรีบเปลี่ยนแล้วจะออกไปให้ดู" พูดจบเหมยก็เข้ามาเปลี่ยนชุดตามคำสั่งของเพื่อนตัวแสบ "ยัยเจสซี่ นี่มันชุดอะไรวะเนี่ย!" เสียงตะโกนดังออกมาจากในห้องน้ำ "ชุดที่เหมาะสำหรับให้แกไปเหยียบหน้า ไอ้ธงยังไงล่ะ ในเมื่อมันทำให้แกมีแผลในใจ วันนี้ฉันจะพาแกไปเหยียบหน้ามันเอง" เจสซี่ตะโกนกลับไป คำว่า 'ไปเหยียบหน้าไอ้ธง' ทำให้หัวใจของเหมยมีพลังขึ้นมา เพราะรู้สึกโกรธเคืองและยังอับอายอยู่ในหัวใจในวันที่โดนหักหน้าจนต้องหยุดเรียนไปเกือบอาทิตย์ ผ่านไปสักพัก ร่างเล็กที่สูง 157 ซม. หน้าอกหน้าใจที่ใหญ่โต ถูกซ่อนไว้ภายใต้เสื้อยืดตัวโคร่งมาหลายปี ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักในแบบฉบับสาวเหนือ "โอ้โห! เหมย แกสวยมาก ฉันไม่เคยคิดว่าฉันสวยขนาดนี้" เจสซี่ถึงกับตะลึงอ้าปากค้างในความสวยของเพื่อนสาว เหมยที่ได้ยินคำชมจากเพื่อนก็ใช้มือเกาไปที่หัวด้วยความเขินอาย "แกไม่ได้โกหกฉันใช่ไหมยัยเจ๊สซี่"เหมยถามทวนอีกครั้ง "ฉันเป็นเพื่อนแกนะ ฉันจะโกหกแกทำไม แกสวยมาก สวยมากจริงๆ นะ" "ต่อไปนี้แกจะต้องเปลี่ยนการแต่งตัวใหม่ หลังจากจบงานคืนสู่เหย้าเราจะไปตี้กันต่อ" เจสซี่ที่พูดจบก็จัดการเอาเพื่อนมาแต่งเสริมเติมหน้าและทำผมให้เข้ากับชุดอีกครั้ง จนเวลาที่ทุกคนรอคอยมาถึงมหาวิทยาลัย ดังในตัวเมืองเชียงใหม่ เป็นงานคืนสู่เหย้า ลูกศิษย์เก่าที่ได้เรียนจบไปในวันนี้ ทุกคนได้พากันมาหมด ทุกคนต่างแต่งตัวสวย เท่ หล่อ มาพร้อมรถหรูหลายคัน ต๊อบ ธง และสกายที่เป็นเดือนมหาลัยในรุ่นนั้นก็ยังคงเป็นที่จับตามองของสาวๆ ดั่งเช่นเมื่อก่อน ในรุ่นปี 3 และปี 4 ทุกคนถูกเชิญมาจนครบ ทุกคนพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติเหมือนกับว่ากำลังถามหา "นี่ มีใครเห็นยัยเจสซี่กับยัยเด็กเนิร์ดที่ชื่อเหมยป่ะ ฉันยังไม่เห็นนางมาเลย" ตะวันคือหนึ่งในคนที่เรียนจบในรุ่น ได้หันมาคุยกับเพื่อนสาว "เออ ฉันก็ไม่เห็นมานะ เป็นฉัน ฉันก็ไม่อยากมาหรอก มีเรื่องซะขนาดนั้น ขนาดเรื่องผ่านมานานแล้วนะ ถ้าให้เอามาเล่าใหม่ก็ยังตลกอยู่เลยอ่ะ" สองสาวพากันเม้าท์มอยเจสซี่และเหมยอย่างออกรสออกชาติ "เฮ้ย ไอ้ต๊อบ เป็นไงบ้างวะเพื่อน" ธงที่เดินไปตบ่าของต๊อบเบาๆ ด้วยความคิดถึง "แหม ไอ้ธง นานๆ เจอกันที" ต๊อบที่ไปทำงานต่างประเทศไปกลับ ไปกลับอยู่ช่วงหนึ่ง ทำให้ไม่ค่อยได้เจอกับธง และด้วยสภาวะการเจริญเติบโตและหน้าที่การงานทำให้ทั้งสองต้องห่างกันไป "เฮ้ยนั่นไอ้สกายนี่หว่านั่งหล่อเป็นคุณชายเชียว" ต็อบหันไปเห็น สกายที่มาในมาดลุคคุณชายสะอาดดูดีในชุดเชิ้ตสีขาวกางเกงสแล็คสีดำ "อ้าวเฮ้ยพวกมึงเป็นไงบ้างวะไม่เจอกันนานเลย" สกายที่ตอนนี้ได้ทำธุรกิจของครอบครัวคือศูนย์พ่นสีรถยนต์และตัวถังเขาได้ใช้ความรู้ของเขาบางส่วนไม่ได้เต็มร้อยแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกขัดใจสักเท่าไหร่ "พวกกูสบายดีว่าแต่มึงเถอะธุรกิจเป็นไงบ้างวะได้ข่าวว่าพ่อยกให้หมดเลยนี่"ธงหันไปพูดกับสกาย "เรื่อย ๆ กว่ามึงช่วงนี้เศรษฐกิจแม่งขึ้นๆลงๆ แต่ก็ดีนะมีฐานลูกค้าเก่าแล้วก็ขยายลูกค้าใหม่" สกายที่เป็นเถ้าแก่เต็มตัวและเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงที่ขยายตลาดผ่านโลกโซเชียลมากขึ้น "เฮ้ยแล้วสรุปมึงกับเฟิร์นเป็นไงบ้างวะยังคบกันอยู่ป่ะ"สกายหันมาถามธงถึงเฟิร์นน้องสาวของต๊อบ "โหตอนนั้นกูยังเด็กก็ไม่ได้คบกันนะแต่กูกับไอ้ต๊อบก็ยังเหมือนเดิม"ธงหันมาตอบพร้อมกับส่งยิ้ม เรื่องราวในวันวานทำให้ทุกคนโตขึ้น ธงเองก็ไม่ได้คบกับเฟิร์นแล้วตั้งแต่เกิดเรื่องกับ เหมยในคราวนั้น ธงก็ทำใจจะคบกับเฟิร์นต่อไม่ได้ เพราะรู้สึกผิดต่อเหมยเหมือนกันที่ทำให้เหมยต้องหยุดเรียนไปในวันที่เกือบจะสอบ "เฮ้ย มึงแล้วเฟิร์นเป็นไงบ้าง" ธงหันไปถาม ต๊อบด้วยความเป็นปกติ "ยัยเฟิร์นน่ะหรอ ตอนนี้กูไม่ให้น้องทำงานทำการอะไรเลย เที่ยวไปวันๆ" ต๊อบหันไปตอบเพื่อนรัก "แล้วตั้งแต่มาทำไมยังไม่เห็นน้องเหมยเลยวะ" ธงเองก็มีความคิดถึงเหมย เพราะว่าเหมือนเป็นคนในตำนานของมหาวิทยาลัยในรุ่นของตนเองเลยก็ว่าได้ "ยัยเหมย คณะเอกภาษาไทยป่ะ" ต๊อบหันไปทำท่าขมวดคิ้วถาม "ก็เออดิวะ นี่ตั้งแต่มาเพื่อนมากันจนจะครบ แล้วเห็นแต่ว่ายายเหมยก็กับเจ๊สซี่ ยังไม่มา" "แต่หัวหน้ารุ่นของเราก็ส่งจดหมายเทียบเชิญไปให้ทุกคนครบนะ" ธงหันมาอธิบายให้ ต๊อบฟังอย่างละเอียด เหมือนงานกำลังจะเริ่ม มีพิธีการกล่าวเปิดงาน ทุกอย่างดูเป็นไปตามแบบแผนที่วางไว้ แต่แล้วขณะที่ทุกคนกำลังหันไปที่เวที ก็มีเสียงรถคันหรูสีดำแล่นมาจอด นั่นคืออาชา รัตนภูมิไพเดช ลูกเจ้าของมหาวิทยาลัยที่เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกได้ไม่ถึงปี และก็พ่วงด้วยตำแหน่งพ่อเลี้ยงไร่ชาที่ดังที่สุดในเชียงใหม่ "เฮ้ย แก นั่งรถใครอ่ะ โคตรหรูเลยอ่ะ รถรุ่นนี้โคตรแพงเลยอ่ะจะบอกให้" สาวๆ พากันซุบซิบ ส่วนบรรดาหนุ่มๆ ก็พากันหันไปจ้องมองเป็นตาเดียว เพราะก็รู้สึกสงสัยว่ายังเหลือใครในรุ่นหรือเปล่า แต่คนที่ก้าวลงมาคือหนุ่มกล้ามโตสูงยาวเข่าดี ใบหน้าหล่อคมเข้มดูสุขุมและสง่างามอายุประมาณ 45 ปี แต่ความหล่อเหลาราวกับฟ้าประทานใบหน้าลูกครึ่งไทยอังกฤษ ความสูง 195 cm กล้ามล่ำบึกบึน ใส่สูทเนี้ยบสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า พร้อมกับบอดี้การ์ดสองคนประกบซ้ายขวาเปิดประตูให้ พิธีกรที่กล่าวเปิดงานก็ได้ฉายแสงสปอร์ตไลท์ไปที่ชายหนุ่มคนนั้น "ก่อนที่เราจะเริ่มพิธีใดๆ ขอเชิญคุณอาชา รัตนภูมิไพเดช เจ้าของมหาวิทยาลัย มากล่าวเปิดพิธีเป็นเกียรติแก่นักศึกษารุ่นเราด้วยครับ ขอบคุณครับ" รุ่นพี่ประจำรุ่นได้เปิดเรียนเชิญอย่างเป็นพิธีการ เสียงรองเท้าหรูกระทบบนพื้น เดินก้าวขึ้นไปบนเวทีใหญ่ สาวๆ ต่างพากันกรี๊ดกร๊าดที่เห็นหนุ่มหล่อมาดเข้ม ใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้มแต่กลับดึงดูดใจ แต่ก่อนที่อาชาจะก้าวขึ้นมาบนเวที ก็มีรถอีกคันมาจอดต่อท้าย รถสีขาวอีโคคาคันเล็ก และคนที่ลงมาสองคน ทำให้ทุกคนในงานกลับมาจ้องมองเป็นตาเดียวเช่นกัน เจสซี่และเหมยสองสาวในชุดราตรีเปิดไหล่ คนนึงสวมใส่ชุดสีแดง คนนึงสวมชุดสีดำ เหมยปล่อยผมยาว ปกหลังเสยขึ้นเล็กน้อยพอให้เห็นใบหน้างาม ขนตาเรียงเป็นแพ ใบหน้าถูกแต่งแต้มเครื่องสำอางจนลงตัว นิ้วมือเรียวเล็กเปิดประตูลงมาพร้อมกับยืนเก้ๆ กัง ๆ "เฮ้ยๆ ไอ้ธง นั่นมันใครวะ โคตรสวยเลยอ่ะ รุ่นเรามีคนสวยขนาดนี้จริงหรอวะ" ธงเองก็จ้องมองผู้หญิงทั้งสองตาเป็นมัน แต่ที่เขาสะดุดใจที่สุดคือผู้หญิงที่ใส่ชุดเดรสสีดำ...วันเวลาเดินเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วก็เข้าปีที่ 3 เด็กๆโตขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกันเหมยที่ทำหน้าที่ดูแลลูกและหนูน้อยลิลลี่ในเวลาเดียวกันเธอทำทุกอย่างออกมาได้ดีมีแม่บ้านคอยช่วยเหลือบ้างเพราะเธอเองก็ยังทำงานที่เธอรักทำอะไรแต่เช้าครับขณะที่อยู่บนเตียงกว้างกับสามีสุดที่รักอย่างอาชาเขาที่ตื่นมาเห็นหน้าเหมือนเป็นคนแรกในทุกๆวันเช่นนี้เสมอ"กำลังคิดเรื่องพร็อพนิยายใหม่นะคะเดี๋ยวว่าจะแวะเข้าไปที่ไร่ชาสักอาทิตย์หน้าเผื่อไปหาบรรยากาศเปลี่ยนโหมดการทำงานหน่อย"เหมยยิ้มกว้างขณะที่นั่งอยู่บนเตียงหลังจากที่เธอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ"ก็ดีสิครับ จะได้เปลี่ยนบรรยากาศด้วยตอนนี้ที่ร้านมีขนมใหม่ ๆ เยอะเลยนะ ผมก็อยากให้เหมยไปดูเหมือนกัน" อาชาส่งยิ้มแล้วก็ขยับมานอนบนตักของเหมยด้วยท่าทีออดอ้อนแม้จะแต่งงานกันมาเข้าปีที่ 3 แล้วเหยียบปีที่ 4 ทั้งคู่ก็ยังคงความหวานใส่กันและกันเสมออาชาไม่เคยรักเหมยน้อยลงเช่นเดียวกับเหมยที่ไม่เคยรักอาชาน้อยลงเลย"อาทิตย์นี้เห็นหนูน้อยลิลลี่ของเรากับอคินจะไปบ้านของคุณย่าน้ำฟ้านะคะเดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่ เหมยจะมารับเอง เห็นว่าบ่นคิดถึงหลาน ๆ" เหมยใช้มือลูบไปตามกลุ่มผมของอาชาแล้วก็ส่งยิ้มอา
แสงไฟสลัว ๆ ที่โถงทางเดินของโรงพยาบาลส่องให้เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนและนั่งรออย่างใจจดใจจ่อ ทุกคนในที่นั้นต่างมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลและความหวังปะปนกันไป มีทั้งคุณหญิงวสุธรและคุณบุญรอด ผู้เป็นพ่อและแม่ของอาชา, คุณแม่น้ำฟ้าและคุณพ่อบุญทอง พ่อแม่ของเหมย, และหนูน้อยลิลลี่ ลูกสาววัย 5 ขวบเศษที่มาเฝ้ารอน้องชายคนใหม่ของเธออาชาเดินวนไปมาไม่หยุด เขากุมมือแน่นจนเหงื่อออกซึม ดวงตาจับจ้องไปที่ประตูห้องคลอดอย่างไม่คลาดสายตา ทุก ๆ นาทีที่ผ่านไปเหมือนเป็นชั่วโมงอันยาวนานสำหรับเขาคุณหญิงวสุธรลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางวางมือบนบ่าของลูกชาย "ใจเย็น ๆ เถอะลูก เหมยเขาเข้มแข็งจะตาย"คุณบุญรอดเสริมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้หนักแน่น "นั่นสิอาชา เราทุกคนอยู่ที่นี่พร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกลูก"พ่อของอาชาตกไปที่บ่าของลูกชายเพื่อเป็นกำลังใจเพราะเขาก็เคยผ่านช่วงเวลานี้ในวันที่อาชาได้คลอดออกมาลืมตาดูโลกเช่นกัน"ครับพ่อ" อาชาหันไปตอบแต่ก็ไม่สามารถลดละสีหน้าความเป็นกังวลที่เป็นห่วงเหมยและลูกในท้องที่กำลังรออยู่ในห้องคลอดได้เลยส่วนอีกฟากหนึ่ง คุณพ่อบุญทองก็โอบกอดคุณแม่น้ำฟ้าไว้แน่น คุณแม่น้ำ
ตัดภาพมาที่ทางด้านอาชากับเหมยที่เดินทางมาถึงประเทศญี่ปุ่นในเวลาที่แตกต่างจากไทยทั้งสองมาถึงในวันที่หิมะเริ่มตกพอดีและเป็นช่วงเวลาที่ไม่ได้ตกหนักมากจนเกินไปทำให้เธอได้มองเห็นบรรยากาศที่สวยงามเกินคำบรรยายราวกับออกมาจากเทพนิยายสองร่างก้าวเท้าออกมาจากสนามบินชินชิโตเซะสู่โลกที่ปกคลุมไปด้วยความขาวบริสุทธิ์ของหิมะ เหมยสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด สัมผัสได้ถึงไอเย็นที่บริสุทธิ์จนขนลุกไปทั่วทั้งร่าง เธอหันไปมองอาชาที่กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างๆ“สวยจังเลยค่ะพี่อาชา เหมือนความฝันเลย” เหมยเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความตื่นเต้นอาชาโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูเธอ “นี่ไม่ใช่ความฝันครับ มันคือโลกแห่งความจริงที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดไป”เมื่อมาถึงโรงแรม ทั้งสองก็ไม่รอช้าที่จะออกไปสำรวจเมืองที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ เหมยกับอาชาจูงมือกันเดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ ผู้คนต่างแต่งกายด้วยชุดกันหนาวสีสันสดใส ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้นเหมยไม่เคยรู้สึกมีความสุขเท่านี้มาก่อนในชีวิต เธอได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้แสดงความรู้สึกอย่างท
เสือยืนนิ่งอึ้งในห้องเก็บของที่มืดสลัว ความรู้สึกทั้งประหลาดใจ สับสน และตื่นเต้นปะปนกันไปหมด ริมฝีปากของเขายังคงรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาแต่ร้อนแรงของเจสซี่ หัวใจเต้นรัวราวกับกลองศึก“คุณเจสซี่...นี่คุณทำบ้าอะไรเนี่ย!” เสือหลุดปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประหม่า เขาพยายามผลักดันเจสซี่ออก แต่เธอกลับยิ่งกอดเขาไว้แน่นเจสซี่หัวเราะเบาๆ “ก็เจสซี่บอกแล้วไงคะ ว่าเจสซี่จะทวนความจำให้เสือ” เธอกระซิบข้างหูเขาอย่างหยอกล้อ “แล้วตอนนี้เสือจำได้หรือยังคะ ว่าใครเป็นคนทำแบบนี้กับเสือ”เสือหลับตาลงอย่างอ่อนใจ เขาพยายามรวบรวมสติทั้งหมดที่มี “คุณเจสซี่ครับ ปล่อยผมเถอะครับ” น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่นเครือ “มันไม่ถูกต้อง”“ไม่ถูกต้องตรงไหนคะ” เจสซี่แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “หรือเสือคิดว่าเจสซี่ไม่ดีพอ? เจสซี่เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้แย่นะคะ”“คุณดีเกินไปครับ” เสือสวนกลับทันควัน เขาหมายความอย่างนั้นจริงๆ เจสซี่เป็นผู้หญิงที่สวย ฉลาด และมาจากครอบครัวดีๆ . เขาเป็นแค่บอดี้การ์ด...เป็นได้เพียงแค่เงา ที่ไม่ควรมีตัวตนในชีวิตของใคร“เสือไม่ต้องมาหาข้ออ้างเลย” เจสซี่สวนกลับอย่างรู้ทัน “เจสซี่รู้ว่าเสือไม่ได้รังเกียจเจส
สามเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหกเลิกและงานแต่งของเหมยและอาชาก็มาถึง เพื่อนสาวอย่างเจสซี่บินตรงมาจากออสเตรเลียรวมถึงพราวที่ขับรถจากเชียงรายเพื่อมาหาเพื่อนรักในวันพิธีมงคลสมรสถูกจัดขึ้นอย่างอบอุ่นท่ามกลางแขกในงานมากหน้าหลายตาเสือและเหล่าบอดี้การ์ดทุกคนเข้าประจำจุดด้วยความพร้อมเพียงวันนี้บอดี้การ์ดของอาชาสวมใส่เสื้อทักซิโด้สีขาวแทนสีดำทำให้บรรยากาศยิ่งดูสดใสขึ้นไปอีกเท่าตัวนึงส่วนเหมยที่ได้สวมใส่ชุดเจ้าสาวแบบฝรั่งโดยมีเพื่อนสาวอย่างเจสซี่เป็นผู้ออกแบบและตัดเย็บเองกับมือเธอภูมิใจในไม้แขวนชุดนี้เหลือเกินเพราะคนที่เป็นไม้แขวนเสื้อตัวนี้ก็คือเหมยเพื่อนสาวที่เธอรักที่สุดพิธีมงคลสมรสถูกจัดขึ้นสไตล์ฝรั่งและมีบาทหลวงมากล่าวคำพิธีมงคลต่างๆขณะที่อาชายืนรอเหมยให้เดินออกมากับพ่อบุญทองเขาก็ต้องตกตะลึงเพราะเหมยไม่เคยลองชุดเจ้าสาวให้เขาเห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียวเธอบอกว่าเป็นความลับเหมยในชุดเกาะอกสีขาวโชว์ให้เห็นคองามระหงชุดถุงมือสีขาวบางลายลูกไม้ผ้าคลุมผมเหมือนดั่งเจ้าหญิงชุดฟูฟ่องเล็กน้อยไม่ได้ดูมากไปและน้อยเกินไปต่างหูไข่มุกถูกประดับลงบนใบหูทั้งสองข้างสร้อยไข่มุกและตรงกลางฝังด้วยเพชรขนาด สิบห้ากะรัตดูไม่เ
ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ก้าวเท้าอย่างแผ่วเบาเข้าไปในห้องนอน กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่คุ้นเคยของเหมย ลอยมาแตะจมูก ยิ่งทำให้ใจที่คิดถึงแทบขาดของอาชาเต้นรัวแรง เขาปิดประตูอย่างเบามือที่สุดแล้วเดินตรงไปยังเตียงกว้างอย่างเงียบเชียบดวงตาคมกริบไล่มองร่างเล็กที่นอนขดอยู่ภายใต้ผ้าห่มสีขาวสะอาดตา แสงไฟสลัวจากโคมไฟหัวเตียงส่องกระทบใบหน้าหวานที่กำลังหลับใหล อย่างเป็นสุข เรียวปากบางอิ่มที่เผยอยิ้มเล็กน้อยในยามหลับใหลแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังมีความสุขในห้วงฝัน อาชากลัวเหลือเกินว่าถ้าหากไม่ใช่เขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ แต่เป็นชายอื่นที่ล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเธอ เหมยจะเป็นอย่างไรความคิดเหล่านั้นทำให้แววตาของอาชาเต็มไปด้วยความหวงแหนและหึงหวง เขาทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง ค่อยๆ เอื้อมมือไปลูบผมยาวสลวยที่กระจัดกระจายอยู่บนหมอนอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงเลื่อนปลายนิ้วไล้ไปตามโครงหน้าหวาน ไล่ลงมาตามลำคอระหง อาชาโน้มตัวลงไปกระซิบเสียงแผ่วข้างหูของเธอ "คิดถึงนะครับ...คิดถึงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว"คำกระซิบแผ่วเบาคล้ายจะปลุกให้เหมยรู้สึกตัว เธอขยับตัวเล็กน้อยแล้วลืมตาขึ้นช้าๆ แสงสลั