LOGINธาวินยื่นมือไปกอบกุมมือเรียวบางของเธอไว้เบาๆ สัมผัสอบอุ่นของเขาทำให้ความกังวลในใจของพิมพ์มาดาคลายลงเล็กน้อย
“พิมพ์ครับ...ผมก็ไม่ได้เชื่อมั่นในโลกออนไลน์หรอก แต่ผมเชื่อมั่นในความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณ ตั้งแต่วันแรกที่เราคุยกัน...ผมมีความรู้สึกบางอย่างที่มันพิเศษ...และผมก็ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน” เขาหยุดเล็กน้อย และแอบชำเลืองใบหน้าด้านข้างของเธอระหว่างที่หญิงสาวกำลังจดจ่ออยู่กับการขับรถ และฟังเสียงของเขาไปพร้อม ๆ กัน
“และการได้เจอคุณในวันนี้...มันยิ่งตอกย้ำความรู้สึกนั้นให้ชัดเจนขึ้น ผมเชื่อในสายตาของคุณ...เชื่อในรอยยิ้มของคุณ...และผมเชื่อมั่นในหัวใจของตัวเอง...ว่าคุณคือคนที่ผมรอคอยมาทั้งชีวิต” น้ำเสียงของเขาหนักแน่นแต่ก็แฝงไว้ซึ่งความอ่อนโยน ราวกับบทเพลงรักที่บรรเลงออกจากหัวใจ
พิมพ์มาดาหันมาสบตาของเขาวูบหนึ่งอย่างลึกซึ้ง แต่แค่นั้นก็ทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัวจนแทบจะหลุดมานอกอก ความสงสัยที่มีค่อยๆ จางหายไป เหลือไว้เพียงความรู้สึกอบอุ่นและหวังเล็กๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจ เธอไม่เคยคิดว่าจะมีใครสักคนเชื่อมั่นในตัวเธอได้มากขนาดนี้...โดยที่เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่นาน
“คุณพิมพ์ครับ...” พิมพ์มาดาเอ่ยเสียงแผ่ว ราวกับกำลังทบทวนคำพูดของเขาอยู่ในใจ
“ผมรู้ว่ามันอาจจะเร็วเกินไป” ธาวินพูดต่ออย่างเข้าใจ
“แต่ความรู้สึกของผมมันชัดเจนมากจนผมไม่อยากจะเก็บมันไว้อีกต่อไป ผมอยากให้คุณรู้...ว่าผมจริงจังกับคุณมากแค่ไหน” เขาบีบมือเธอเบาๆ อีกครั้ง
“ให้โอกาสผมได้พิสูจน์ความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณนะครับ..”
พิมพ์มาดาไม่เคยได้รับความรู้สึกที่จริงจังและหนักแน่นเช่นนี้มาก่อน ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านมาจากน้ำเสียงของธาวิน ทำให้ความหวังในใจของเธอเริ่มเบ่งบานอย่างช้าๆ ราวกับดอกไม้ที่ได้รับแสงอาทิตย์หลังพายุฝนกระหน่ำ
พิมพ์มาดาไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดใดๆ ออกมาเพื่อตอบรับความรู้สึกที่ตรงไปตรงมานั้นได้ หญิงสาวได้แต่ส่งยิ้มหวานกลับไปให้เขาด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้นจนพูดไม่ออก หัวใจของเธอเต้นระรัวจนแทบจะทะลุออกมานอกอก ความเขินอายและปีติยินดีผสมปนเปกันจนเธอแยกไม่ออก ก่อนจะพยายามตั้งสติและดึงตัวเองกลับมาจดจ่ออยู่กับการขับรถ แม้ว่าในห้วงความคิดยังคงวนเวียนอยู่กับคำพูดที่ทำให้หัวใจสั่นไหวอยู่ก็ตาม
หลังจากเปิดอกบอกความในใจทั้งหมดที่มีแล้ว ธาวินก็เล่าถึงชีวิตในต่างแดน และมุมมองที่เปลี่ยนไปเมื่อได้กลับมาเยือนบ้านเกิดอีกครั้ง ส่วนพิมพ์มาดาก็เล่าถึงความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันที่แสดงถึงความเปิ่น ๆ ของเธอ ก่อนที่ทั้งสองจะหยอกล้อกันด้วยความคุ้นเคยที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างแน่นแฟ้น เสียงหัวเราะคิกคักดังเป็นระยะ เมื่อใครคนใดคนหนึ่งเล่าเรื่องตลก
ทิวทัศน์สองข้างทางค่อยๆ เปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อรถของพิมพ์มาดาแล่นเข้าสู่เขตจังหวัดชลบุรี ต้นไม้สูงใหญ่ริมถนนเริ่มหนาแน่นขึ้น พิมพ์มาดาเปิดเพลงคลอเบาๆ ในรถ เป็นเพลงรักฟังสบายที่เข้ากับบรรยากาศการเดินทาง ไม่นานนัก GPS ก็นำทางเลี้ยวเข้าสู่ถนนเลียบชายฝั่งทะเล
แสงแดดที่สาดส่องลงมากระทบผิวน้ำทะเลเป็นประกายระยิบระยับ ธาวินลดกระจกลง สูดกลิ่นไอทะเลเข้าปอดอย่างชื่นใจ เขาชี้ชวนให้พิมพ์มาดามองเรือประมงลำเล็กๆ ที่กำลังแล่นอยู่กลางทะเล และบรรดาบ้านเรือนสีสันสดใสที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมชายฝั่ง
ในที่สุดรถยนต์ก็เคลื่อนตัวเข้าสู่ตัวอำเภอศรีราชา ธาวินชะโงกหน้ามองป้ายบอกทางสีน้ำเงินที่ชี้ไปยัง ‘วัดเกาะลอย’ ด้วยความสนใจ ก่อนจะรีบบอกพิมพ์มาดาให้เลี้ยวรถไปตามป้ายนั้น ไม่นานนักเสียงเตือนจาก GPS ในรถของพิมพ์มาดาก็ดังขึ้นต่อจากนั้น หญิงสาวพยักหน้าและหมุนพวงมาลัยเลี้ยวไปตามทาง
ทันทีที่รถเลี้ยวเข้าสู่ถนนเล็ก ถนนเริ่มแคบลงและคดเคี้ยวเล็กลง สองข้างทางยังคงเต็มไปด้วยร้านค้าเล็กๆ น้อยๆ และบ้านเรือนสีสันสดใสที่บ่งบอกถึงความเป็นเมืองชายทะเลอย่างชัดเจน กลิ่นไอทะเลเริ่มโชยมาแตะจมูกเบาๆ เป็นสัญญาณว่าพวกเขาใกล้ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
จากนั้นไม่นานภาพของวัดสีขาวสะอาดตาที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ กลางทะเลก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบตัวโบสถ์และเจดีย์สีทองอร่าม งดงามราวกับภาพวาด ธาวินบอกให้พิมพ์มาดาจอดรถในลานจอดใกล้กับท่าเรือเล็กๆ ที่มีเรือโดยสารข้ามไปยังวัดเกาะลอยจอดรออยู่
ธาวินมองวัดสีขาวสะอาดตาที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ กลางทะเลด้วยความทึ่ง ก่อนจะบอกเล่าเรื่องราวเมื่อครั้งหนึ่งเขาเคยมาเยือนที่นี่
“สวยงามมากเลยครับ ผมมาครั้งล่าสุดก็ตอน ม.5 โน่น...นี่ก็หลายปีแล้ว ที่นี่ยังสวยแล้วก็บรรยากาศดีเหมือนเดิมเลย” ธาวินเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่เจือไปด้วยความภูมิใจเล็กน้อย
พิมพ์มาดามองตามสายตาของเขาไปยังวัดที่ดูเหมือนลอยอยู่บนผืนน้ำทะเลสีครามด้วยความสนใจ
“นี่เป็นครั้งแรกเลยค่ะ ที่พิมพ์มาเที่ยวทะเลฝั่งนี้...ดูแปลกตาดีจังเลยนะคะ วัดอยู่กลางทะเลแบบนี้”
“วัดที่นี่เป็นที่เคารพศรัทธาของคนแถวนี้ครับ” ธาวินอธิบายพลางหันมายิ้มให้เธอ
“เดี๋ยวเราข้ามเรือไปไหว้พระกันนะครับ” เขารีบบอกเธออย่างกระตือรือร้น จากนั้นทั้งคู่ก็ลงจากรถ เดินไปยังท่าเรือเล็กๆ ที่มีเรือโดยสารจอดรออยู่ พร้อมกับความรู้สึกสงบและอิ่มเอมกับการเดินทางที่แสนสุขใจ
เรือโดยสารลำเล็กค่อยๆ เคลื่อนตัวไปบนผืนน้ำทะเลสีเขียวมรกต แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับราวกับอัญมณี ลมทะเลพัดโชยมาเบาๆ หอบเอาไอเค็มและความสดชื่นมาสัมผัสใบหน้าของทั้งคู่ เส้นผมยาวสลวยของพิมพ์มาดาถูกลมพัดให้ปลิวไสว ธาวินเอื้อมมือมาอย่างนุ่มนวลเพื่อปัดปอยผมที่ลงมาปรกใบหน้าของหญิงสาวด้วยความรักใคร่ แววตาของเขาอ่อนโยนลึกซึ้ง
“คุณพิมพ์ชอบมาวัดที่อยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้มั้ยครับ” ธาวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม สายตาของเขาจับจ้องไปยังเกาะเล็กๆ ที่มีวัดสีขาวสะอาดตาตั้งตระหง่านอยู่กลางน้ำ แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบหลังคาโบสถ์และเจดีย์สีทองอร่าม งดงามราวกับภาพวาด
“ก็ชอบอยู่นะคะ วัดแถวบ้านพิมพ์ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเหมือนกัน” พิมพ์มาดาตอบอย่างตรงไปตรงมา พลางทอดสายตาไปยังวัดกลางน้ำ
“แต่วัดในกรุงเทพฯ..พิมพ์ไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปบ่อยนักหรอกค่ะ พอวันหยุดพิมพ์ก็มักจะตื่นสายเสียมากกว่า” เธอหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดเสริม
“ยกเว้นตอนกลับบ้านที่ต่างจังหวัดช่วงเทศกาล แล้วคุณแม่ชวนไปทำบุญน่ะค่ะ ถึงจะได้ไป” เธอตอบอย่างเปิดเผย ราวกับต้องการให้ธาวินได้รู้จักตัวตนของเธอในทุกแง่มุม
“บ้านที่ต่างจังหวัดของคุณพิมพ์อยู่ที่ไหนครับ?” ธาวินถามด้วยความสนใจเล็กน้อย
“พิษณุโลกค่ะ” พิมพ์มาดาตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่เจือไปด้วยความคิดถึงบ้านเกิด
“คุณมาทำงานไกลเหมือนกันนะครับ” ธาวินพยักหน้าอย่างเข้าใจ พลางมองพิมพ์มาดาด้วยแววตาที่แสดงถึงความเห็นอกเห็นใจ
“ว่างๆ คุณพิมพ์พาผมไปไหว้พระพุทธชินราชบ้างสิครับ” ธาวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความคาดหวังเล็กน้อย ดวงตาของเขาเป็นประกายเมื่อพูดถึงพระพุทธรูปสำคัญของเมืองพิษณุโลก พิมพ์มาดายิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ได้สิคะ ถ้าคุณอยากไปจริงๆ พิมพ์ยินดีเลยค่ะ พระพุทธชินราชสวยงามและศักดิ์สิทธิ์มาก พิมพ์กลับบ้านก็ไปไหว้ขอพรทุกครั้งเลย” เธอพูดด้วยความภาคภูมิใจในบ้านเกิดของตนเอง
“ผมเคยได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วครับ อยากไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง” ธาวินเสริมด้วยความใคร่รู้
“แล้วคุณพิมพ์เคยขอพรจากท่านเรื่องอะไรเป็นพิเศษไหมครับ?” เขาถามด้วยความอยากรู้ในตัวตนของหญิงสาว
พิมพ์มาดาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยมองไปยังผืนน้ำทะเลที่ส่องประกาย ก่อนจะหันกลับมายิ้มบางๆ ให้ธาวิน
“ก็หลายเรื่องเลยค่ะ...ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน...ยกเว้นเรื่องความรัก” เธอพูดเสียงเบาลงเล็กน้อยในตอนท้าย ราวกับเป็นความลับเล็กๆ ที่เพิ่งเปิดเผย ธาวินมองเธอด้วยความสนใจใคร่รู้
“ทำไมไม่ลองขอเรื่องความรักดูละครับ?” เขาถามด้วยรอยยิ้มที่แฝงความนัยบางอย่าง พิมพ์มาดายิ้มขำเล็กน้อย
“ไม่รู้สิคะ...พิมพ์คิดว่าเรื่องพวกนี้ พระท่านคงให้พรเราไม่ได้หรอกมั้งคะ มันเป็นเรื่องของคนสองคนมากกว่า” เธอตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ผมอยากไปพิษณุโลกกับคุณจังเลยครับ” ธาวินพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและหนักแน่น ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เธออย่างมีความหมาย
“อยากไปไหว้พระพุทธชินราชด้วยกัน...อยากไปเห็นบ้านเกิดของคุณด้วย”
พิมพ์มาดารู้สึกอบอุ่นในหัวใจกับคำพูดที่แสนจริงใจนั้น ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเธออย่างช้าๆ และมั่นคง
“ถ้าอย่างนั้น…วันหยุดยาวครั้งหน้า พิมพ์จะบอกนะคะ” เธอตอบด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหวัง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ
ตอนที่ 25 ดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้งพิมพ์มาดาเลิกคิ้วสูงด้วยความไม่เข้าใจ การต้องแสดงออกว่าเป็นคนรักของเขา ต่อหน้าลูกชายของเขา มันฟังดูซับซ้อนและอาจนำไปสู่ปัญหาได้ แต่เมื่อนึกถึงความจริงใจที่อัครเดชมีให้ พิมพ์มาดาก็ไม่กล้าปฏิเสธและพยายามทำความเข้าใจในเหตุผลของเขา แต่ความกังวลเกี่ยวกับ ทายาทของเขาก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว พิมพ์มาดาพลันนึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เธอหันไปมองเขาที่กำลังมองเธอด้วยแววตาเอ็นดู ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามเรื่องที่ติดค้างในใจ“เอ่อ... คุณอัครเดชคะ” พิมพ์มาดาเอ่ยขึ้นอย่างลังเล“หนูขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะ... คือ... ลูกชายของคุณ...เค้าอายุเท่าไหร่แล้วคะ” เธอถามออกไปพร้อม ๆ กับความกังวลในใจ“เขา... เป็นเด็กหรือเปล่าคะ คือ..หนูเกรงว่าเด็กจะอาจไม่เข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่...และอาจไม่เข้าใจสถานะของหนูน่ะค่ะ” คุณอัครเดชยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยนเมื่อได้ยินคำถาม“อ้อ ลูกชายฉันน่ะเหรอ” คุณอัครเดชตอบ พลางยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย“ไม่ต้องห่วงหรอกหนู..ลูกชายฉันน่ะ..มันไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว สบายใจได้ ถ้าฉันจำไม่ผิดปีนี้ลูกชายฉันก็อายุ 30 ปีแล้วมั่ง เพิ่งเรียนจบปริญญาโทจากต่างประ
ตอนที่ 24 สถานะที่พลิกผันหลังจากจัดการเรื่องที่ทำงานและหอพักเสร็จเรียบร้อย วันต่อมาอัครเดชก็พาพิมพ์มาดามายังบ้านของเขาที่อยู่เชียงใหม่ ซึ่งอัครเดชเรียกว่า 'บ้าน' แต่สำหรับพิมพ์มาดาแล้ว นี่มันคือคฤหาสน์ชัดๆ ความรู้สึกราวกับกำลังเดินทางข้ามมิติ ตั้งแต่รถตู้คันใหญ่เลี้ยวเข้ามาในซอยที่สองข้างทางเต็มไปด้วยกำแพงสูงและต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะชะลอความเร็วเมื่อถึงรั้วเหล็กดัดขนาดมหึมาที่เปิดออกอย่างช้าๆ ราวกับประตูสู่สรวงสวรรค์อีกแห่ง การ์ดรักษาความปลอดภัยในชุดเครื่องแบบสีเข้มยืนประจำการณ์คอยดูแลความสงบอยู่ตามจุดต่าง ๆ การ์ดยกมือทำความเคารพอย่างนอบน้อม จากนั้นประตูไฟฟ้าก็เลื่อนเปิดออกรถเคลื่อนตัวไปตามถนนที่ทอดผ่านสวนพันธ์ไม้นานาชนิดขนาดใหญ่ราวกับสวนสาธารณะขนาดใหญ่ มีน้ำพุอยู่ตรงกลางล้อมรอบไปด้วยสนามหญ้าอันเขียวขจีที่ได้รับการดูและอย่างพิถีพิถัน ไม้ดอกนานาพันธุ์ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆเมื่อสายตาของหญิงสาวปะทะกับตัวอาคารเบื้องหน้าครั้งแรก เธอถึงกับตะลึง ตัวอาคารขนาดมหึมา ตั้งตระหง่านอย่างโอ่อ่า สถาปัตยกรรมดูคลาสสิกผสมผสานความทันสมัยได้อย่างลงตัว วัสดุที่ใช้ดูมีราคาแพงลิบ ทั้งหินอ่อนเนื้อดี กระจกใสบานใหญ่ แล
ตอนที่ 23 โลกใบใหม่รุ่งเช้า..วันต่อมาเป็นเช้าแรกที่รู้สึกแปลกไปจากเดิม พิมพ์มาดาร่วมโต๊ะอาหารเช้ากับอัครเดชและคุณแม่ บรรยากาศเงียบสงบกว่าทุกวันที่ผ่านมา มีเพียงเสียงช้อนส้อมกระทบจาน และบทสนทนาเบาๆขณะที่กำลังจิบกาแฟอุ่นๆ อยู่นั้น โทรศัพท์มือถือของพิมพ์มาดาก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ของหัวหน้างานที่แผนกบัญชี เธอลังเลเล็กน้อยก่อนจะกดรับสาย“สวัสดีค่ะ...” พิมพ์มาดาเอ่ยได้แค่เพียงประโยคทักทายเท่านั้น เสียงแว้ดๆ จากปลายสายดังลอดออกมาทันที แม้เธอจะพยายามลดเสียงแล้วก็ตาม“นี่พิมพ์! ถ้าวันนี้เธอยังไม่กลับมาทำงานอีก ฉันจะไล่เธอออกนะยะ!”พิมพ์มาดาหน้าซีดเผือดทันที เธอเกือบจะลืมเรื่องงานไปเสียสนิทในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ เธอก็ยังมัวแต่ยุ่ง ๆคุณอัครเดช ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม และเพิ่งจิบกาแฟไปเมื่อครู่ ชำเลืองมองมาที่เธอ เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของเด็กสาว และได้ยินเสียงหัวหน้างานที่ดังลอดออกมา เขาก็พอจะเดาเรื่องได้เมื่อวางสาย พิมพ์มาดานั่งนิ่งอึ้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล“มีอะไรรึเปล่าลูก ใครโทรมาเหรอ” พิมพ์ดาวเอ่ยถามบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง“หัวหน้าโทรมาค่ะแม่ บอกว่าถ้าวันนี้หนูไม่ไปทำงาน เค้าจะไล่ออก
ตอนที่ 22 ข้อตกลง..ระหว่างเราพิมพ์มาดาตัดสินใจว่าเธอควรจะคุยกับคุณอัครเดชอย่างเปิดอก เธอรู้สึกขอบคุณแม่ที่ให้สิทธิ์เธอตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ได้บังคับให้เธอรับข้อเสนอเพียงเพราะเรื่องหนี้สิน แม้ว่านั่นจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เธอต้องมานั่งคิดหนักก็ตามหลังจากทานมื้อกลางวันกันอย่างเงียบๆ คุณอัครเดช ก็เห็นว่าพิมพ์มาดาดูมีบางอย่างในใจ เขาจึงหาจังหวะเอ่ยขึ้น เพื่อคุยกับเธอสองต่อสอง หลังจากพิมพ์ดาวลุกไป“หนูพิมพ์!!!... ถ้าหนูไม่สบายใจเรื่องที่ฉันเสนอ...ก็บอกกันตรง ๆ ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก ฉันพร้อมรับฟังทุกอย่างที่” คำพูดของชายสูงวัยเป็นเหมือนการเปิดประตูให้เธอพิมพ์มาดาสูดหายใจลึกๆ เธอรู้ว่านี่คือเวลาที่เหมาะสมที่สุด ที่จะต้องเคลียร์ความรู้สึกและความคิดของตัวเองกับเขาอย่างตรงไปตรงมา“คุณอัครเดชคะ... คือจริง ๆ แล้ว หนูยังมีหลายอย่างที่หนูอยากจะบอกให้คุณได้รับรู้ค่ะ”“โอเคร งั้นหนูพูดมาได้เลยนะ”พิมพ์มาดา สูดหายใจลึกๆ พลางมองใบหน้ายินดีของชายสูงวัยคราวพ่อ ที่กำลังนั่งรอฟังเธอด้วยความตั้งใจ ก่อนที่ตนเองจะเปิดเผยความรู้สึกที่วุ่นวายให้กับเขาฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับเธอเหลือเกิน“คุ
ตอนที่ 21 ทางเลือก...บนคราบน้ำตาเช้าวันต่อมา หลังจากพิธีฌาปนกิจและวันอันแสนสาหัสผ่านพ้นไป บนผืนน้ำนิ่งสงบของลำน้ำสายหนึ่ง พิมพ์มาดาและพิมพ์ดาวผู้เป็นมารดา ยืนอยู่เคียงข้างคุณอัครเดช เถ้ากระดูกที่บัดนี้แปรสภาพเป็นเพียงธุลีถูกโรยลงสู่ผืนน้ำอย่างช้าๆ ท่ามกลางแสงแดดยามเช้าที่ทาบทาผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับบรรยากาศเงียบสงบแต่ในใจของสองแม่ลูกยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งความเศร้า ความเหนื่อยล้า และความสับสนจากเหตุการณ์เมื่อวานที่เกิดขึ้นคุณอัครเดช ยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วยท่าทีสงบนิ่ง แต่สายตาที่มองมาที่พิมพ์มาดาเต็มไปด้วยความห่วงใยเมื่อพิธีง่ายๆ เสร็จสิ้นลง พิมพ์ดาวหันมาทางคุณอัครเดช ด้วยใบหน้าที่มีร่องรอยของความเหนื่อยล้า แต่แววตาเจือด้วยความซาบซึ้งใจ“คุณอัครเดชคะ เรื่องหนี้สินที่พ่อยัยพิมพ์ก่อไว้ ดาวจัดการโอนเงินคืนให้พวกนั้นเรียบร้อยแล้วนะคะเมื่อวาน เย็น ขอบคุณมากๆ นะคะสำหรับความช่วยเหลือของคุณจริงๆ ค่ะ ถ้าไม่ได้คุณดาวก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร...” เสียงของเธอสั่นเครือเล็กน้อย อัครเดช ยิ้มบางๆ ให้พิมพ์ดาว ก่อนจะเอ่ยขึ้นถึงความต้องการของตัวเองบ้าง“ไม่เป็นไรครับคุณดาว ผมยินดีช่วยค
ตอนที่ 20 เบื้องหลังของบิดา15.00 นช่วงเวลาอันเงียบสงบก่อนพิธีฌาปนกิจศพของคุณพ่อพิมพ์มาดา ได้ถูกรุกรานด้วยกลุ่มชายฉกรรจ์ร่างกำยำ ท่าทางไม่เป็นมิตร พวกเขากรูเข้ามาในบริเวณวัดอย่างไม่เคารพสถานที่ ส่งเสียงโวยวายและทวงถามถึงหนี้สินมหาศาลที่คุณพ่อของพิมพ์มาดาทิ้งไว้ ก่อนจะบอกยอดเงินเกือบยี่สิบล้านบาทรวมทั้งต้นและดอกให้พิมพ์ดาวรับรู้ ทำเอาเธอถึงกับเข่าอ่อน ใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษ มือไม้สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อได้ยินตัวเลขที่น่าตกใจนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้นดูจะไม่ยอมรามือ พวกเขายืนกรานที่จะทวงหนี้ให้ได้ก่อนที่จะมีพิธีใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการอ่านประวัติของผู้ตาย พิมพ์ดาวกลัวว่างานศพของสามีจะสะดุด และพวกนั้นก็บอกว่าจะป่าวประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ในช่วงขั้นตอนการอ่านประวัติของผู้ตายอีกด้วย สร้างความกดดันให้กับพิมพ์ดาวเป็นอย่างมากอัครเดชที่ยืนต้อนรับแขกเหรื่อคู่กับพิมพ์มาดา สังเกตเห็นความผิดปกติและสีหน้ากังวลของพิมพ์ดาว จึงเดินเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้นด้วยท่าทีสงบนิ่งแต่หนักแน่นอย่างไม่เกรงกลัว“มีอะไรกันหรือครับ” เสียงทุ้มนุ่มของอั







