ฉู่เฉินกลัวว่าคนจะสังเกตเห็นว่าเขาแอบเข้ามา จึงจำใจกล่าวว่า "อย่าตะโกนสิ ข้าจะย้ายให้ก็ได้!" เขาเดินผ่านข้างนางกำนัล พึมพำเบา ๆ "หน้าเจ้าก็ใหญ่ยังกล้ามาว่าข้าหน้ายาวอีก พวกเราเหมือนกันทั้งคู่!" พูดจบเขาก็เดินกระโดดเขย่ง ๆ ออกไป ไม่รู้ว่านางกำนัลได้ยินคำพูดนั้น นางพับแขนเสื้อขึ้น กัดฟันด่า "ย้ายถังย้อมผ้าทุกใบที่นี่ให้ข้า ย้ายไม่หมดก็จะหักเงินเดือนเจ้าให้หมด!" ด้วยเหตุนี้ เจียงซุ่ยฮวนที่ยืนอยู่ข้างนอกจึงได้เห็นฉู่เฉินที่เข้าไปขโมยรองเท้า กลับเริ่มย้ายถังย้อมผ้าเสียนี่ ...... เจียงซุ่ยฮวนเริ่มรู้สึกเสียใจ นางน่าจะให้ฉู่เฉินกลับบ้านไปเลย รออยู่หนึ่งถ้วยชา ฉู่เฉินยังคงย้ายถังอยู่ เจียงซุ่ยฮวนเริ่มทนไม่ไหว คิดจะเข้าไปพาเขาออกมาเอง ขณะที่นางกำลังจะขยับตัว กลับเห็นเงาร่างคุ้นตาคนหนึ่งเดินย่องเข้าไปในกรมพระภูษามาลา ชุ่ยหง สาวใช้ของเจียงเม่ยเอ๋อร์ เจียงซุ่ยฮวนขมวดคิ้วแล้วพูดเบา ๆ "ทำไมเป็นนางอีกล่ะ?" ทุกครั้งที่ชุ่ยหงปรากฏตัว เจียงเม่ยเอ๋อร์ต้องคิดแผนร้ายจะทำร้ายคนแน่นอน เจียงซุ่ยฮวนยืนอยู่กับที่ จับตามองชุ่ยหงอย่างไม่วางตา ต้องการดูว่านางจะทำอะไร เห็นชุ่ยหงค่อย ๆ เดินไ
เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าเคร่งขรึม หันไปถามขันทีที่อยู่ข้าง ๆ "ข้าควรนั่งที่นั่งของหมอหลวง ทำไมเจ้าพาข้ามาที่นี่" ขันทีน้อยกล่าวอย่างลำบากใจ "หมอหลวงเจียง ที่นั่งล้วนจัดไว้ล่วงหน้าแล้ว ที่นั่งของหมอหลวงไม่มีที่ว่างแล้วพ่ะย่ะค่ะ"เจียงซุ่ยฮวนชำเลืองมองไปยังที่นั่งของหมอหลวง ท่านหมอเมิ่งและฝูหลิงต่างก็นั่งอยู่แล้ว เมื่อมองใกล้ ๆ ก็เห็นว่าข้างฝูหลิงยังมีชุนเถาอีกด้วย แม้แต่ชุนเถายังนั่งได้ แสดงว่าขันทีน้อยผู้นี้โกหกแน่นอน เขาเจตนาจัดให้นางนั่งที่นี่ นางสะบัดแขนเสื้อพร้อมจะเดินจากไป "ไม่เป็นไร ข้าจะไปนั่งเบียดสักหน่อยก็ได้" "น้องสาว" เจียงอวี่ลุกขึ้น คว้าแขนเสื้อนางไว้ "ข้าเป็นคนจัดที่นั่งเจ้าไว้ตรงนี้เอง" "เพราะอะไรรึ" เจียงซุ่ยฮวนถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย "เจ้าอย่าคิดมาก ข้าไม่ได้บังคับให้เจ้ากลับไปคืนดีกับท่านพ่อท่านแม่ คืนนี้ท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้มา พวกเราสามคนพี่น้องมานั่งด้วยกัน พูดคุยแก้ความเข้าใจผิดในอดีตกันเถิด" ดวงตาของเจียงอวี่เต็มไปด้วยความคาดหวัง เขาได้ถามเจียงเม่ยเอ๋อร์แล้ว และได้รู้จากปากนางว่าเรื่องในอดีตทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิด จึงอยากให้เจียงซุ่ยฮวนและเจียงเม่ยเอ๋อร์คืน
"เช่นนั้นท่านยังคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นเพียงความเข้าใจผิดหรือ" เมื่อได้ฟังคำพูดของเจียงซุ่ยฮวน แววตาของเจียงอวี่ก็แข็งกร้าว เขาทำหน้าเคร่งขรึมมองไปทางฉู่เจวี๋ย สีหน้าของเจียงเม่ยเอ๋อร์เขียวคล้ำ กลยุทธ์การแสดงอ่อนแอที่นางถนัดที่สุด กลับถูกเจียงซุ่ยฮวนเลียนแบบได้ถึงเจ็ดแปดส่วน! เมื่อเห็นสายตาของเจียงอวี่ นางรีบผลักฉู่เจวี๋ยออกไปข้าง ๆ แล้วปฏิเสธว่า "ไม่ใช่เช่นนั้น ฉู่เจวี๋ยแค่เกรงว่าข้าจะถูกทำร้าย จึงพูดแข็งกร้าวไปหน่อย เขาไม่เคยรังแกพี่สาวเลยนะ" พูดจบ ฮ่องเต้ก็เสด็จเข้ามาพร้อมกับจีกุ้ยเฟย ตำหนักเฟิ่งเทียนพลันเงียบจนได้ยินเสียงเข็มตก เหล่าขุนนางจ้องมองจีกุ้ยเฟยผู้แต่งตัวอย่างงดงามข้างพระวรกายฮ่องเต้ ในใจต่างเกิดความคิดเดียวกัน ขณะนี้ฮองเฮาถูกกักบริเวณในตำหนักเย็น ส่วนจีกุ้ยเฟยที่เดิมก็ได้รับความโปรดปรานอยู่แล้ว ก็ยิ่งรุ่งโรจน์มากขึ้น วันนี้ยังปรากฏกายเคียงข้างฮ่องเต้ในงานเลี้ยง เกรงว่าตำแหน่งฮองเฮาจะต้องเปลี่ยนมือแล้วกระมัง? เมื่อฮ่องเต้และจีกุ้ยเฟยประทับนั่ง เจียงซุ่ยฮวนก็จำต้องนั่งลงตาม นางนั่งอยู่ระหว่างเจียงอวี่และเจียงเม่ยเอ๋อร์ รู้สึกไม่สบายทั้งกายและใจ คอยร
เจียงเม่ยเอ๋อร์รีบเปลี่ยนสีหน้าทันที แล้วอธิบายว่า "พี่ชาย ข้าไม่ได้มีเจตนารังเกียจพี่ชายเลย เพียงแต่ไม่ชอบกินอาหารจากชามคนอื่นเจ้าค่ะ" "แต่ว่าซุ่ยฮวนยังไม่ได้แตะต้องอาหารพวกนี้เลยนะ" เจียงอวี่กล่าว "อย่างนั้นหรือเจ้าคะ” มุมปากของเจียงเม่ยเอ๋อร์กระตุก จำต้องตอบว่า "หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่ถือสาหรอก" แม้จะพูดเช่นนั้น แต่นางก็ไม่ได้หยิบตะเกียบคีบอาหารในชาม มีแต่ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม หรือไม่ก็กินขนมบนโต๊ะ เจียงซุ่ยฮวนสังเกตเห็นท่าทางของนาง นึกในใจว่าตนไม่ได้แตะต้องอาหารเหล่านี้เลย แต่นางกลับไม่ยอมแตะ เป็นไปได้มากว่าชามของตนมีปัญหา เจียงอวี่เห็นเจียงซุ่ยฮวนก้มหน้าไม่รู้คิดอะไรอยู่ จึงกล่าวว่า "ซุ่ยฮวน ครั้งนี้ฮ่องเต้พระราชทานเงินทองและอัญมณีให้พี่มากมาย พี่อยู่ที่ชายแดนตลอด ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่ได้ใช้สิ่งเหล่านี้ ไม่สู้ให้คนขนไปที่จวนเจ้าเถิด" เจียงซุ่ยฮวนยังไม่ทันพูดอะไร เจียงเม่ยเอ๋อร์ก็ไม่พอใจเสียก่อน นางชัดเจนว่าได้ปรับความเข้าใจกับเจียงอวี่แล้ว ทำไมวันนี้เจียงอวี่ยังคงลำเอียงเข้าข้างเจียงซุ่ยฮวนอยู่? ต้องรู้ว่านางกับเจียงอวี่ต่างหากที่เติบโตมาด้วยกัน! ถึงจะไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ แต
ชุ่ยหงคุกเข่าอยู่บนพื้น คิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่ น้ำซุปร้อนนั้นควรจะราดลงบนตัวเจียงซุ่ยฮวน ทำไมกลับราดลงบนตัวเจียงเม่ยเอ๋อร์แทนเล่า"บ่าวไม่ได้ตั้งใจ บ่าวรู้สึกว่ามือชาไปชั่วขณะเจ้าค่ะ" ชุ่ยหงรีบอธิบาย แต่เจียงเม่ยเอ๋อร์ไม่ฟังเลย นางตบชุ่ยหงหลายฉาด แล้วยังเตะนางอีก เมื่อบรรเทาความโกรธไปบ้าง จึงฉุกคิดได้ว่ารอบข้างเงียบผิดปกติ นางแข็งใจเงยหน้าขึ้น พบว่าทุกคนในตำหนักเฟิ่งเทียนกำลังมองนางอยู่ บ้างตกใจ บ้างก็เย้ยหยัน ฮ่องเต้ทรงหันพระพักตร์ไปทางอื่น ไม่อยากทอดพระเนตร จีกุ้ยเฟยทรงมีสีพระพักตร์เคร่งขรึมจ้องมองนาง พระเนตรซับซ้อน มีทั้งความรังเกียจ ดูหมิ่น และดูเหมือนจะมีความโล่งใจอยู่เล็กน้อย เจียงอวี่ตกใจสุดขีด ไม่อยากเชื่อว่าน้องสาวที่แต่เดิมว่านอบน้อมรู้กาลเทศะ จะกระทำต่อบ่าวไพร่รุนแรงเช่นนี้ มีเพียงฉู่เจวี๋ยที่เพราะตกอยู่ใต้อำนาจหนอนเสน่ห์ สายตาที่มองนางจึงเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับเจียงเม่ยเอ๋อร์เป็นครั้งที่สอง ครั้งก่อนเมื่อเรื่องจ้างคนเขียนแทนถูกเปิดโปง ผู้คนก็มองนางด้วยสายตาเช่นนี้เหมือนกัน นางกำหมัดแน่นแล้วฝืนยิ้ม "ขออภัยอย่างยิ่ง สาว
เมื่อเจียงเม่ยเอ๋อร์เข้าห้องแล้ว ก็หันมาบอกนางกำนัลว่า "เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด" "เพคะ พระชายา" นางกำนัลตอบรับแล้วเดินจากไป เจียงเม่ยเอ๋อร์หันไปมองเจียงซุ่ยฮวน "พี่สาวก็รีบเข้าไปเถิด เดี๋ยวชุ่ยหงเอาเสื้อผ้ามาแล้วข้าจะให้นางส่งไปให้ท่าน" เจียงซุ่ยฮวนไม่พูดอะไร เดินตรงไปผลักประตูเข้าห้องทางขวา แล้วใส่กลอนประตูทันที "ฮึ่ม ทำไปเท่านั้น รอเดี๋ยวก็จะทำให้เจ้าต้องคุกเข่าอ้อนวอนข้าแล้ว!" เจียงเม่ยเอ๋อร์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ปิดประตูเสียงดังสนั่น เสียงปิดประตูดังมาก แต่เจียงซุ่ยฮวนไม่ได้ยิน นางกำลังสำรวจห้องที่ตนอยู่ ห้องนี้สะอาดเรียบร้อยดูสง่า ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เจียงซุ่ยฮวนรู้ดีว่า เมื่อเจียงเม่ยเอ๋อร์เลือกห้องอีกฝั่งทันทีโดยไม่ลังเล ห้องนี้ต้องมีปัญหาแน่ นางพบว่ากลิ่นหอมในห้องนี้แรงจนแสบจมูก แต่เมื่อตรวจสอบธูปหอมแล้ว กลับพบว่าธูปไม่มีปัญหาอะไร แล้วปัญหาอยู่ที่ไหนกันแน่? ในเวลาเดียวกัน ชุ่ยหงกำลังรีบร้อนมุ่งหน้าไปยังกรมพระภูษามาลา ฉู่เฉินค่อย ๆ ตามหลังนางไปอย่างเงียบกริบ เมื่อมาถึงถนนที่ไม่มีผู้คน ฉู่เฉินก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ ปรากฏตัวด้านหลังชุ่ยหง ช
เขาชี้ไปที่ห้องข้าง ๆ แล้วเปลี่ยนเสียงให้แหลมขึ้น พูดว่า "หมอหลวงเจียง บ่าวมาส่งเสื้อผ้าให้ท่านเพคะ" เจียงซุ่ยฮวนนิ่งไปสักครู่ แล้วตอบว่า "เข้ามา" เมื่อฉู่เฉินปิดประตู เจียงซุ่ยฮวนก็รีบเดินไปตรวจสอบกลอนประตูทันที และพบว่ากลอนประตูหักเป็นสองท่อน เป็นเพียงของตกแต่งไร้ประโยชน์ ไม่เพียงเท่านั้น นางยังพบว่าช่องว่างรอบประตูถูกอุดอย่างแน่นหนา รวมถึงช่องหน้าต่างด้วย เมื่อฉู่เฉินเห็นสิ่งที่นางค้นพบ ก็เข้าใจทันที "ไม่แปลกใจที่เจียงเม่ยเอ๋อร์พูดเสียงดังโดยไม่กลัวท่านจะได้ยิน ช่องหน้าต่างและประตูถูกอุดแน่นขนาดนี้ หากได้ยินสิ่งใดนั่นถึงจะน่าแปลก" เจียงซุ่ยฮวนไม่พูดอะไร กลิ่นหอมฉุนรุนแรง ช่องประตูที่ถูกอุด กลอนประตูที่หัก และเสื้อผ้าที่โรยผงยา นางพอเดาได้ว่าเจียงเม่ยเอ๋อร์วางแผนอะไร นางถาม "ท่านเอาเสื้อผ้าที่โรยผงยาไว้มาด้วยหรือไม่?" "เอามาแล้ว" ฉู่เฉินหยิบเสื้อผ้าออกมาให้นางดู นางสัมผัสเสื้อผ้าเบา ๆ แล้วมองมือตัวเอง พบว่ามีผงสีขาวละเอียดติดอยู่ ผงเหล่านี้สังเกตเห็นได้ยาก แม้มีคนเห็นก็คงคิดว่าเป็นเพียงกลิตเตอร์ประดับเสื้อผ้า "นี่มันอะไรกัน?" มือของฉู่เฉินก็ติดผงเหล่านี้เช่นกัน เขาย
"บ่าวอยู่ดูนางเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จจึงออกมาเพคะ" "ฮึ่ม! คราวนี้ก็พอจะฉลาดอยู่" ประตูเปิดออกเล็กน้อย เจียงเม่ยเอ๋อร์ยื่นแขนออกมาดึงเสื้อผ้าจากมือฉู่เฉิน แล้วปิดประตูอย่างแรง ภายในห้องมีเสียงเสื้อผ้าเสียดสี ฉู่เฉินยืนรออยู่หน้าประตู จนกระทั่งภายในห้องเงียบสนิท เขาจึงยกมือเคาะประตู ไม่มีใครตอบ ฉู่เฉินลองผลักประตูดู พบว่าประตูถูกใส่กลอน เขาจึงนำมีดสั้นออกมาจากแขนเสื้อ สอดเข้าไปในช่องประตูค่อย ๆ ดันกลอนออกไปด้านข้าง ได้ยินเสียง "ตุ้บ" กลอนตกลงบนพื้น เขาค่อย ๆ ออกแรงผลักประตูเปิดออก ภายในห้อง เจียงเม่ยเอ๋อร์สวมเสื้อผ้าที่เพิ่งเปลี่ยนเสร็จ ยืนนิ่งอยู่ข้างเตียง ที่เท้าของนางมีเสื้อผ้าสกปรกกองอยู่ ส่งกลิ่นคาวน้ำมันที่น่ารังเกียจ ฉู่เฉินย่องเข้าไปอย่างเงียบ ๆ ยื่นมือโบกไปมาตรงหน้านาง ดวงตาของนางว่างเปล่าไร้ซึ่งประกายใด ๆ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ดูเหมือนยาสลบนี้จะออกฤทธิ์เร็วมาก ฉู่เฉินจ้องนางอย่างเดือดดาล "เจ้าก่อกรรมทำชั่ว ก็ให้กรรมตามสนองเจ้าเองเถิด!" กล่าวจบ ฉู่เฉินมาที่หน้าประตูห้องของเจียงซุ่ยฮวน พูดว่า "เจ้าเก้า นางถูกยาสลบแล้ว" เจียงซุ่ยฮวนเปิดประตูออกมา เดินเข้าไปในห้องข
ชายร่างยักษ์ถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจนแทบดูไม่ออกว่าเดิมมีหน้าตาเป็นเช่นไรมิหนำซ้ำ เลือดกำเดายังไหลทะลักไม่หยุด แขนทั้งสองไร้ความรู้สึก แม้แต่จะเช็ดเลือดออกจากใบหน้ายังไม่อาจกระทำได้เขาจ้องเจียงซุ่ยฮวนด้วยสายตาเจ็บใจ “เมื่อครู่นั้น…”—พูดได้เพียงสองคำ เลือดกำเดาก็ไหลย้อนเข้าปาก เขาสะอึกแล้วถ่มถุยออกมา “แหวะ! แหวะ! ช่างน่าขยะแขยงนัก!”น้ำลายปนเลือดแทบจะพ่นใส่เจียงซุ่ยฮวน นางแสดงสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ ยกมือบังคับศีรษะของเขาให้หันไปทางอัฒจันทร์น้ำลายและเลือดกระเซ็นกระจาย ผู้ชมพากันหวีดร้องหลบหนี บางคนร้องเสียงหลง โดยเฉพาะหญิงสาวในชุดชมพูผู้หนึ่งที่ทนไม่ไหว โยนผ้าเช็ดหน้าขึ้นเวที “เอาผ้านี่อุดจมูกเขาซะ ข้ายินดีให้หนึ่งพันตำลึง!”“ตกลง” เจียงซุ่ยฮวนก้มลงหยิบผ้าจากพื้น ยัดเข้าไปในรูจมูกของชายร่างยักษ์อย่างไม่ลังเลในที่สุดชายผู้นั้นก็หยุดพ่นน้ำลาย เขาพูดเสียงอู้อี้ผ่านผ้าที่ยัดจมูก “เมื่อครู่นั้นข้าแค่ประมาทไป หากเจ้ากล้าพอ จงต่อแขนข้าให้กลับเข้าที่ เราจะสู้กันใหม่!”เจียงซุ่ยฮวนทรุดกายนั่งลง บีบหัวเขาแนบพื้น “ข้ามิได้ว่างนัก หากเจ้าตอบคำถามของข้า ข้าจะ
บุรุษร่างยักษ์ร้องโอดโอย พลางยกมือกุมใบหน้า ถอยหลังเซถลาไปหลายก้าวพลันมีเสียงโห่ร้องอย่างขัดเคืองดังลั่นจากบนอัฒจันทร์“นี่มันเรื่องอะไร! ร่างกายใหญ่โตปานนี้ยังสู้หญิงไม่ได้อีกหรือ!”“ใช่แล้ว! อ่อนแอเกินไปแล้วกระมัง!”“ลุกขึ้นสิ! ข้าลงพนันหมดหน้าตักไว้กับเจ้าเลยนะ!”ดูท่าคนเหล่านี้ล้วนวางเดิมพันไว้ที่ชายร่างใหญ่ผู้นั้นทั้งสิ้นก็ไม่แปลก...ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่างกันลิบลับ ใครบ้างเล่าจะเชื่อว่าสตรีอย่างเจียงซุ่ยฮวนจะชนะเขาได้ชายร่างใหญ่เช็ดมุมปากของตนเอง เห็นรอยเลือดติดปลายนิ้วก็นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้นมา “ดูท่าข้าคงประเมินเจ้าต่ำไปเสียแล้ว”แต่เดิมเขาเข้าใจว่านางก็เป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดา ไยเลย...ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า ก็รู้แล้วว่านางหาใช่คนที่เขาจะประมาทได้เจียงซุ่ยฮวนบิดข้อมือเบา ๆ พลางกล่าวเย้ยหยัน “ถูกแล้ว...เจ้ามันตาบอด”ชายร่างใหญ่ลุกพรวดขึ้นจากพื้น แผดเสียงคำรามแล้วพุ่งตรงเข้าหานางด้วยแรงทั้งหมดเจียงซุ่ยฮวนเบี่ยงกายหลบไปด้านข้าง มือข้างหนึ่งยันเสาเวทีไว้แล้วดีดตัวลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะเหวี่ยงเท้าเข้าใส่ใบหน้าชายผู้นั้นอีกคราชายร่างยักษ์ล้มตึงลงกับพื้น เลือดกำเดาไห
“สู้กัน! สู้กันสิ!”“ปลุกนางให้ลุกขึ้นมา!”“อย่าเสียเวลา! เร็วเข้า ให้หล่อนลุกขึ้นมาสู้!”เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกตัวตื่นจากเสียงอึกทึกโกลาหลรอบกาย เสียงเหล่านั้นดั่งคลื่นซัดถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ประหนึ่ง...จะเร่งให้นาง...สู้รึ!?นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตนเองกำลังนอนคว่ำอยู่บนพื้นคล้ายลานประลอง ลานแห่งนี้เป็นวงกลม กว้างพอจะรองรับคนได้ราวสิบคนรอบลานประลองมีผู้คนมากมายนับร้อยราย กำลังส่งเสียงร้องตะโกนโห่อย่างบ้าคลั่งจากเครื่องแต่งกายดูแล้ว ล้วนเป็นบรรดาผู้มีฐานะจากเมืองหลวง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น คำตะโกนเร่งเร้าดังไม่ขาดสายแรกเริ่ม เจียงซุ่ยฮวนยังงุนงงอยู่มาก นางเพิ่งอยู่หน้าจวนแท้ ๆ เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้เล่า?เมื่อนางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ฝูงชนโดยรอบก็ยิ่งโห่ร้องเสียงดังกระหึ่มกว่าเดิม“เสียงหนวกหูเสียจริง”นางยกมือกุมขมับ พลางพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบกายอย่างตั้งใจสถานที่แห่งนี้...ดูเหมือนจะคุ้นตาอยู่บ้างทันใดนั้น ดวงตาของเจียงซุ่ยฮวนเบิกโพลง ใช่แล้ว! นางจำได้ ที่นี่นางเคยมาเยือนเมื่อหลายปีก่อน เจ้าของร่างเดิมถึงกับวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเพราะทนเห็นความโหดร้าย
ปู้กู่ถูกคานไม้ที่ถล่มลงมาทับขาจน เจ็บมีสีหน้าบิดเบี้ยวไปทั้งใบหน้า องครักษ์ลับทั้งหลายเมื่อเห็นดังนั้นจึงกรูกันเข้าไป หวังจะยกคานไม้ออกให้พ้นจากขาของเขาทว่าเปลวเพลิงยังไม่สงบลงโดยสิ้นเชิง ความเสี่ยงที่จะเกิดไฟลุกซ้ำยังมีอยู่ทุกเมื่อ จึงจำต้องแบ่งกำลังครึ่งหนึ่งไว้ดับไฟ อีกครึ่งเข้าไปช่วยปู้กู่คานไม้ที่ถล่มลงมานั้นหนักหนายิ่งนัก แถมยังร้อนจนแทบจับต้องไม่ได้ การจะยกขึ้นจึงยากเย็นนัก ปู้กู่เหงื่อเต็มหน้า พร่ำครางเสียงต่ำ “อย่าห่วงข้าเลย รีบไปช่วยคนในเรือนก่อน!”องครักษ์ผู้หนึ่งวิ่งเข้าไปดูในเรือน แล้วรีบวิ่งกลับออกมารายงาน “ในเรือน...ไม่มีใครอยู่แล้ว!”“ว่าอะไรนะ!?” ปู้กู่กัดฟันกรอด “บัดซบ! ปล่อยให้มันหนีไปได้!”เจียงซุ่ยฮวนเมื่อได้ยินว่าข้างในว่างเปล่า ทั้งโกรธทั้งโล่งใจ โกรธที่หลี่ลี่หลบหนีไปได้ แต่โล่งใจที่เขายังมีชีวิตอยู่องครักษ์ที่อยู่ข้างกายนางเอ่ยถามอย่างเกรงใจ “พระชายา ขออนุญาตไปช่วยท่านปู้กู่ก่อนจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“ไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนก็เป็นห่วงปู้กู่ไม่น้อย หากปล่อยให้คานไม้นั้นกดทับอยู่นาน เกรงว่าจะยิ่งแย่ลง“ขอบพระคุณพระชายา กระหม่อมจะรีบกลับมาโดยเร็วพ่ะย่ะค่
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื