เดือนหก ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบเก้า
ยามตะวันทอแสงเรืองรองเหนือท้องฟ้าเมืองหลวง ดุจไข่มุกเม็ดงามที่ทอประกายท่ามกลางหมู่เมฆ บัดนี้เมืองหลวงได้กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครา ใบหน้าของพวกเขาเปี่ยมด้วยรอยยิ้มและความสุข ดุจดอกไม้ยามเช้าที่แย้มบาน ตู้เยี่ยนอวี่ในฐานะแพทย์หลวงประจำพระองค์ ได้รับการเคารพยกย่องจากผู้คนทั่วแผ่นดิน
แม้จะอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่ง ทว่าตู้เยี่ยนอวี่ก็มิได้หลงระเริงในเกียรติยศชื่อเสียง นางยังคงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้คนต่อไป
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านควรจะพักผ่อนเสียบ้างนะเจ้าคะ” เสี่ยวจูกล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย ยามเห็นตู้เยี่ยนอวี่กำลังตรวจดูตำราแพทย์โบราณกองโตที่เรียงรายอยู่เต็มโต๊ะทำงาน “ท่านมิได้หลับมิได้นอนมาหลายวันแล้วเจ้าค่ะ”
ตู้เยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“มิต้องเป็นห่วงข้าหรอกเสี่ยวจู” ดวงตาของนางยังคงฉายแววความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว “ข้าเพียงอยากศึกษาตำราเหล่านี้ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากกว่านี้”
หลังจากเหตุการณ์ในเมืองหลวง แพทย์หลวงชางก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าแพทย์หลวง และเขายังคงให้ความร่วมมือกับตู้เยี่ยนอวี่ในการพัฒนาวงการแพทย์ของราชสำนัก พวกเขาร่วมกันปรับปรุงโรงหมอหลวงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จัดระบบการดูแลผู้ป่วยให้ดีขึ้น และยังเปิดการอบรมให้ความรู้แก่แพทย์และผู้ช่วยเหลือคนอื่น ๆ เพื่อให้พวกเขามีความรู้ความสามารถในการรักษาโรคมากยิ่งขึ้น
“แม่นางตู้ แนวคิดของท่านช่างล้ำลึกยิ่งนัก” แพทย์หลวงชางกล่าวด้วยความชื่นชม “การให้ความรู้แก่ผู้อื่นเป็นการสร้างคุณค่าที่ไม่สิ้นสุด”
ตู้เยี่ยนอวี่ยิ้มเล็กน้อย “เราต้องช่วยกันพัฒนาวงการแพทย์ของแผ่นดินนี้ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์สุขของปวงประชา”
ในช่วงเวลาที่อยู่ในเมืองหลวง ตู้เยี่ยนอวี่ก็ยังคงฝึกฝนกำลังภายในของตนเองอย่างสม่ำเสมอ นางมิได้ละเลยการฝึกฝนแม้แต่น้อย เพราะรู้ดีว่าพลังเหล่านี้จะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้นางสามารถช่วยเหลือผู้คนและปกป้องตนเองจากภยันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
“ลมปราณภายในของข้าแข็งแกร่งขึ้นมาก” นางพึมพำกับตนเองยามนั่งสมาธิ ดวงตาหลับพริ้ม ใบหน้าสงบนิ่ง “ข้าสามารถควบคุมพลังนี้ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นแล้ว”
นางลองรวบรวมพลังปราณไว้ที่ฝ่ามือช้า ๆ ปรากฏว่าเกิดแสงเรืองรองสีฟ้าอ่อน ๆ ที่ปลายฝ่ามือเล็กน้อย พลังงานที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือของนางนั้นสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและแข็งแกร่ง
เดือนเจ็ด ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบเก้า
ยามฤดูร้อนมาเยือน อากาศร้อนระอุ ตู้เยี่ยนอวี่ตัดสินใจที่จะเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านซีหลิน เพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัวที่อบอุ่นและผู้คนอันเป็นที่รัก หลังจากภารกิจในเมืองหลวงสำเร็จลุล่วงไปแล้ว นางเชื่อว่าการได้กลับไปพักผ่อนในบรรยากาศที่สงบเงียบ จะช่วยฟื้นฟูร่างกายและจิตใจของนางให้แข็งแรงขึ้น
“คุณหนูจะกลับหมู่บ้านซีหลินหรือเจ้าคะ !” เสี่ยวจูร้องด้วยความดีใจ ใบหน้าของนางยิ้มแย้มแจ่มใสดุจดอกไม้ยามเช้าที่แย้มบาน “บ่าวคิดถึงท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินแย่แล้วเจ้าค่ะ”
ตู้เยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ใช่แล้วเสี่ยวจู เราจะกลับบ้านกัน”
นางทูลลาฝ่าบาทและแพทย์หลวงชาง ฝ่าบาททรงอนุญาตด้วยความเต็มใจ และยังทรงมอบของขวัญล้ำค่ามากมายให้แก่นาง ทว่าตู้เยี่ยนอวี่รับไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางมิได้ปรารถนาทรัพย์สมบัติใด ๆ หากแต่ปรารถนาเพียงการได้เห็นผู้คนมีชีวิตที่ดีขึ้น
“แม่นางตู้ หากมีสิ่งใดที่เราพอจะช่วยเหลือเจ้าได้ โปรดอย่าได้ลังเลที่จะบอกเรา” ฝ่าบาทตรัสด้วยน้ำเสียงจริงใจ “เจ้าคือผู้มีพระคุณของแผ่นดินนี้”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” ตู้เยี่ยนอวี่โค้งคำนับอย่างนอบน้อม
ตู้เยี่ยนอวี่และเสี่ยวจูออกเดินทางจากเมืองหลวง การเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านซีหลินใช้เวลาหลายวัน พวกนางต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนระอุ แต่ก็มิได้หวั่นไหว จิตใจของนางเปี่ยมด้วยความสุขที่กำลังจะได้กลับไปพบกับครอบครัวอันเป็นที่รัก
เดือนแปด ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบเก้า
ยามฤดูใบไม้ร่วงเริ่มมาเยือน ท้องฟ้าเริ่มมีสีหม่นหมอง ตู้เยี่ยนอวี่และเสี่ยวจูได้เดินทางมาถึงหมู่บ้านซีหลินโดยสวัสดิภาพ บรรยากาศของหมู่บ้านยังคงเงียบสงบและเรียบง่าย เสียงนกน้อยเจื้อยแจ้ว และกลิ่นหอมของดอกไม้ป่าลอยอบอวลในอากาศ
“ท่านพ่อ ! ท่านแม่ !” ตู้เยี่ยนอวี่ร้องด้วยความดีใจ ยามเห็นท่านบิดาและมารดาตู้ยืนรออยู่ที่หน้าเรือน
ท่านผู้เฒ่าตู้และฮูหยินตู้ต่างวิ่งเข้ามาสวมกอดบุตรสาวด้วยความรักและความคิดถึง น้ำตาแห่งความปิติยินดีไหลรินอาบแก้ม
“อวี่เอ๋อร์ของแม่ ! เจ้ากลับมาแล้วหรือลูก ! ทำให้แม่คิดถึงแทบแย่แล้ว” ฮูหยินตู้กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ลูกมิเป็นอันใดเจ้าค่ะท่านแม่” ตู้เยี่ยนอวี่กอดมารดาของร่างนี้แน่น “ลูกกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
เสี่ยวจูก็โผเข้ากอดบิดามารดาของตนที่ยืนรออยู่ด้วยความดีใจเช่นกัน
การได้กลับมาอยู่ท่ามกลางครอบครัวอันเป็นที่รัก ทำให้ตู้เยี่ยนอวี่รู้สึกอบอุ่นในใจ แม้จะจากโลกเดิมมาไกลแสนไกล แต่นางก็ได้รับความรักและความเข้าใจจากครอบครัวใหม่นี้อย่างเต็มเปี่ยม
ตลอดหลายวันที่อยู่ในหมู่บ้านซีหลิน ตู้เยี่ยนอวี่ใช้เวลาพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ นางเดินเล่นในสวน ทำอาหารกับมารดา และสนทนาธรรมกับบิดา
“อวี่เอ๋อร์” ท่านผู้เฒ่าตู้เอ่ยขึ้นยามที่นางกำลังนั่งจิบชาอยู่กับเขา “พ่อได้ยินข่าวคราวของเจ้าจากเมืองหลวง เจ้าช่างสร้างชื่อเสียงให้แก่สกุลตู้ยิ่งนัก”
ตู้เยี่ยนอวี่ยิ้มเล็กน้อย “ลูกเพียงทำหน้าที่ของตนเองเท่านั้นเจ้าค่ะท่านพ่อ”
“เจ้าเป็นเด็กที่มีคุณธรรมและเปี่ยมด้วยปัญญา” ท่านผู้เฒ่าตู้กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “พ่อเชื่อว่าเจ้าจะสามารถสร้างคุณค่าให้แก่แผ่นดินนี้ได้อีกมากมาย”
นอกจากนี้ ตู้เยี่ยนอวี่ยังคงฝึกฝนกำลังภายในอย่างสม่ำเสมอ เพื่อมิให้ผู้ใดล่วงรู้ความลับของนาง พลังปราณภายในของนางแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ยามลมหนาวเริ่มพัดโชยมา
ตู้เยี่ยนอวี่ตัดสินใจที่จะริเริ่มโครงการใหม่ในหมู่บ้านซีหลิน และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นางรวบรวมชาวบ้านผู้สูงอายุ และผู้ที่มีความรู้ด้านการแพทย์แผนโบราณ มารวมตัวกันที่เรือนตู้ เพื่อจัดตั้งสำนักแพทย์พื้นบ้าน
“ท่านลุง ท่านป้าทุกท่าน” เยี่ยนอวี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ข้าใคร่ขอคำชี้แนะจากท่านทั้งหลายเกี่ยวกับวิธีการรักษาโรคด้วยสมุนไพรพื้นบ้าน และวิธีการดูแลสุขภาพของชาวบ้าน”
ชาวบ้านต่างมองหน้านางด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ยินดีที่จะให้ความร่วมมือ
“คุณหนูเยี่ยนอวี่ ท่านช่างมีน้ำใจยิ่งนัก” ท่านลุงหมิง หัวหน้ากลุ่มแพทย์พื้นบ้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเรายินดีที่จะร่วมมือกับท่าน”
ตู้เยี่ยนอวี่อธิบายถึงแนวคิดเรื่องการใช้สมุนไพรพื้นบ้านในการรักษาโรค การส่งเสริมสุขอนามัยในชุมชน และการให้ความรู้แก่ชาวบ้านเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของตนเอง ชาวบ้านรับฟังอย่างตั้งใจ บางคนก็จดบันทึก บางคนก็ซักถามข้อสงสัย
“หากเราสามารถใช้สมุนไพรในท้องถิ่นมารักษาโรคได้” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าว “ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และทำให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงการรักษาได้ง่ายขึ้น”
นางยังแนะนำให้ชาวบ้านรู้จักการปลูกสมุนไพรในสวนครัวของตนเอง เพื่อให้มีสมุนไพรไว้ใช้ยามเจ็บป่วย
ความรู้และแนวคิดของตู้เยี่ยนอวี่แม้จะดูเรียบง่าย แต่กลับมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง อัตราการเจ็บป่วยของชาวบ้านลดลงอย่างเห็นได้ชัด และพวกเขาก็มีสุขภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก
ปลายเดือนเจ็ด รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมฆหมอกร้ายที่เคยปกคลุมวังหลวงได้ถูกปัดเป่าไปจนสิ้น ประหนึ่งรัตติกาลที่ยอมจำนนต่อแสงอรุณ พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างฮ่องเต้แห่งต้าเฉินและองค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ได้ดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติที่สุด ท้องพระโรงหลวงที่เคยเป็นเวทีแห่งการพิพากษา บัดนี้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณสีแดงสดและทองอร่าม เสียงดนตรีมงคลดังกังวานก้องไปทั่ว ขับขานบทเพลงแห่งสันติภาพและสัมพันธไมตรีที่ถูกเชื่อมประสานขึ้นใหม่อย่างแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิมตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงยืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่กำลังแซ่ซ้องถวายพระพร พวกเขาคือวีรบุรุษและวีรสตรีผู้พิทักษ์แผ่นดินอีกครั้ง แต่ในใจของทั้งสองกลับมิได้มีความลำพองใจแม้แต่น้อย มีเพียงความโล่งใจที่ได้เห็นแผ่นดินกลับคืนสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริงภายหลังจากพระราชพิธีหลักเสร็จสิ้นลง ฝ่าบาทผู้ทรงมีพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความสุขและความปีติยินดี ได้มีรับสั่งให้ทั้งสองเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงบ“หากมิได้มีพวกเจ้าทั้งสอง” ฝ่าบาทตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่เปี่ยมด้วยความซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง
ปลายเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเวลาเปรียบประหนึ่งเม็ดทรายในนาฬิกาที่ร่วงหล่นลงอย่างไม่ปรานี พระอาการขององค์หญิงมู่หลินทรุดลงทุกขณะ ประกายสีครามบนผิวพระองค์เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นแม้ในยามกลางวัน ลมหายใจแผ่วเบาราวกับจะดับสูญได้ทุกเมื่อ ความกดดันที่มองไม่เห็นได้แผ่ขยายไปทั่ววังหลวง มันมิใช่เพียงชีวิตขององค์หญิงที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่คือสันติภาพของสองแผ่นดินที่กำลังจะขาดสะบั้นลงท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น ตู้เยี่ยนอวี่ได้ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์พร้อมด้วยกู้เหยียนหลงและองค์หญิงลี่หัว ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงัด นางได้ทูลเสนอแผนการสุดท้ายที่อาจหาญและเสี่ยงอันตรายที่สุด“ฝ่าบาท” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว “การจะจับอสรพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เรามิอาจรอให้มันเผยตัวออกมาเองได้ แต่เราต้องสร้างเหยื่อล่อที่หอมหวานที่สุด เพื่อล่อให้มันคายพิษออกมาด้วยตนเองเพคะ”นางได้สร้างเรื่องราวของสมุนไพรวิเศษในตำนานขึ้นมา รากวิญญาณจันทรา พฤกษาทิพย์ที่กล่าวกันว่าสามารถชำระล้างพิษได้ทุกชนิด และจะเบ่งบานเพียงคืนเดียวใต้แสงจันทร์เต็มดวง ณ อารามเมฆขาวบนยอดเขาไท่ซานเท่าน
กลางเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองวังหลวงที่เคยประดับประดาด้วยโคมไฟแห่งการเฉลิมฉลอง บัดนี้กลับถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกแห่งความวิตกกังวลที่มองไม่เห็น การประชวรขององค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ ได้กลายเป็นหินถ่วงก้อนมหึมาที่ถ่วงดุลแห่งสัมพันธไมตรีระหว่างสองแผ่นดินให้สั่นคลอนอย่างน่าหวาดเสียว การสืบสวนเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบงันและเร่งด่วน ประหนึ่งการเดินหมากบนกระดานที่ทุกก้าวล้วนเดิมพันด้วยสันติภาพของต้าเฉินสมรภูมิในครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองแนวรบที่ดำเนินไปพร้อมกันแนวรบแรกคือห้องปรุงยาหลวงของตู้เยี่ยนอวี่ ที่นี่มิได้มีเสียงคมดาบปะทะกัน มีเพียงเสียงบดยาอันแผ่วเบา เสียงเปลวเทียนที่สั่นไหว และเสียงลมหายใจที่จดจ่อของแพทย์เทวดา ห้องของนางได้แปรสภาพเป็นศูนย์บัญชาการแห่งการพิสูจน์หลักฐาน มันคือการผสมผสานอย่างน่าทึ่งระหว่างเครื่องมือโบราณและนวัตกรรมที่นางประดิษฐ์ขึ้นจากความทรงจำในอีกโลกหนึ่ง ทั้งเครื่องกลั่นขนาดเล็กที่ทำจากแก้วใส และแว่นขยายที่เจียระไนอย่างประณีตนางทุ่มเทเวลานานถึงสองวันสองคืนในการวิเคราะห์เถ้ากำยานปริศนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กลิ่นหอมของสมุนไพรนานาชนิดคละคลุ้งไปทั่ว
ต้นเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมืองหลวงที่ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงได้จากไปเมื่อหนึ่งปีก่อน บัดนี้ได้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณและโคมไฟสีแดงสดอีกครั้งหนึ่ง โคมไฟนับพันดวงถูกแขวนประดับไปตามชายคาของอาคารบ้านเรือน สะบัดพลิ้วตามสายลมคิมหันตฤดูราวกับฝูงผีเสื้ออัคคีที่เริงระบำ ผ้าไหมสีมงคลถูกขึงทอดยาวไปตามถนนสายหลัก บ่งบอกถึงงานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่แผ่นดินต้าเฉินกำลังรอคอย บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรื่นเริงและความคาดหวัง ทว่าสำหรับผู้ที่เจนจบในเล่ห์กลแห่งราชสำนักแล้ว ความสงบสุขที่ผิวเผินนี้เปรียบดั่งผิวน้ำอันราบเรียบ แต่เบื้องล่างนั้นกลับซ่อนเร้นไว้ด้วยกระแสธารอันเชี่ยวกรากที่พร้อมจะพัดพาทุกสิ่งให้พังพินาศการกลับมาของทั้งสองมิได้เอิกเกริก แต่กลับเงียบงันดุจเงาที่เคลื่อนไหวในรัตติกาล สถานที่นัดพบแห่งแรกของพวกเขามิใช่ท้องพระโรงอันโอ่อ่า แต่เป็นโรงน้ำชาเก่าแก่ในตรอกเร้นลับ ที่ซึ่งจางอู๋จีในชุดบัณฑิตเรียบง่ายนั่งรออยู่แล้ว“ท่านทั้งสองดูแข็งแกร่งและสงบขึ้นมาก” จางอู๋จีเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขายังคงคมกริบดุจเหยี่ยวเฒ่าเช่นเดิม “ดูเหมือนว่าสายลมแห่งแดนเหนือจะขัดเกลาหยกงามทั้งสองให
ปลายเดือนสี่ รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองหนึ่งปีเต็มที่เปลวเพลิงแห่งสงคราม ณ ชายแดนภาคเหนือได้มอดดับลง สายลมวสันตฤดูที่พัดผ่านเมืองผิงหยวนในยามนี้มิได้หอบเอาฝุ่นควันและกลิ่นคาวเลือดมาด้วยอีกต่อไป หากแต่เป็นกลิ่นไอดินอันบริสุทธิ์และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ป่าที่เพิ่งจะแย้มบาน เมืองหน้าด่านที่เคยเป็นดั่งสุสานกลางแจ้ง บัดนี้ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ประหนึ่งต้นไม้แห้งแล้งที่ได้รับสายฝนชโลมใจเสียงค้อนที่ตอกลงบนโครงสร้างบ้านเรือนหลังใหม่ดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างมีชีวิตชีวา แทนที่เสียงดาบที่เคยกระทบกันอย่างน่าสะพรึงกลัว รอยยิ้มได้กลับคืนสู่ใบหน้าของชาวบ้านที่เคยซูบตอบด้วยความสิ้นหวัง แม้ร่องรอยความเหนื่อยล้าจะยังคงอยู่ แต่ในแววตาของพวกเขากลับเปี่ยมด้วยประกายแสงแห่งความหวังณ ใจกลางของความเปลี่ยนแปลงนี้ คือเรือนพักชั่วคราวของสองวีรชนผู้พลิกชะตาแผ่นดินตู้เยี่ยนอวี่ในอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีขาวเรียบง่าย กำลังเดินตรวจดูแปลงสมุนไพรในสวนโอสถร้อยสกุลที่นางริเริ่มขึ้นด้วยตนเอง มันมิใช่สวนบุปผาที่งดงามเพื่อการชื่นชม แต่คือคลังยาที่มีชีวิตซึ่งนางจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นรากฐานของระบบสาธารณสุขชุมชน นางกำลังสอนกลุ
บนสมรภูมิทะเลสาบกระจกที่บัดนี้เงียบสงัดลงแล้ว มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านผืนเกลือสีขาวและเสียงครวญครางของผู้บาดเจ็บ คำประกาศยอมแพ้ของจ้าวอู๋จี้ดังก้องอยู่ในความเงียบนั้น ประหนึ่งคำพิพากษาสุดท้ายที่ปิดฉากสงครามอันนองเลือดแห่งแดนเหนือลงโดยสมบูรณ์เขามิได้มีท่าทีของนักโทษผู้สิ้นหวัง แต่กลับเป็นความสงบนิ่งของนักปราชญ์ผู้ยอมรับในผลลัพธ์ของกระดานหมากที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จ้าวอู๋จี้เดินลงจากเนินดินอย่างเชื่องช้า เขาปลดดาบประจำกายที่อยู่ข้างเอวออก และยื่นมันให้แก่กู้เหยียนหลงด้วยสองมือ“นี่คือสัญลักษณ์แห่งการยอมจำนนของข้า” เขากล่าวเสียงเรียบ “และคือการยอมรับในชัยชนะของท่าน”กู้เหยียนหลงรับดาบเล่มนั้นมาถือไว้ เขามิได้แสดงท่าทีของผู้ชนะที่ลำพองใจ แต่กลับประสานมือคารวะคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเขาเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย“ท่านคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบพาน” กู้เหยียนหลงกล่าว “การพิพากษาท่านมิใช่หน้าที่ของข้า แต่เป็นหน้าที่ของราชสำนักและประวัติศาสตร์”เขาออกคำสั่งให้นำตัวจ้าวอู๋จี้และเหล่าแม่ทัพนายกอ