นับแต่วันที่ได้รับราชโองการสมรสพระราชทานก็ผ่านมาเจ็ดวันแล้ว ทำให้ในสกุลจางต่างวุ่นวายเรื่องการเชื้อเชิญเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลมาร่วมงาน
ญาติสายรอง สายสามที่แยกไปตั้งหลักปักฐานต่างเมืองก็ถูกเชิญกลับมาร่วมพิธีมงคลสมรสสำคัญในครั้งนี้ด้วย
สีหน้าเหล่าญาติพี่น้องย่อมแตกต่างกันออกไป บ้างยินดีราวกับรับโชคใหญ่ หวังพึ่งพาเกาะเกี่ยวบารมีหลานเขยที่มีบรรดาศักดิ์ขั้นปั๋ว บ้างก็มี
สีหน้าย่ำแย่โดยเฉพาะระดับผู้อาวุโสซึ่งถือกฎตระกูล หัวคิ้วผู้เฒ่าขมวดมุ่นคล้ายวิตกกังวลตลอดเวลา แววตาผิดหวังท้อแท้ ท่าทางห่อเหี่ยวหดหู่ นึกขุ่นเคืองฝ่าบาทที่ตัดสินพระทัยโดยไม่ปรึกษาสักคำ
พลันนึกคิดในใจว่าอย่างไรจางห้าวก็ดำรงตำแหน่งเป็นถึงรองเจ้ากรมพิธีการขั้นสี่ แม้จะมีอำนาจไม่มากเท่าเจ้ากรมทั้งหกหรือผู้บัญชาการสามสำนัก
แต่ก็นับได้ว่ามีผลงานอยู่ไม่น้อยเลย ถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของตระกูลจาง แต่กลับมิใช่ขุนนางคนสำคัญพอให้ฝ่าบาทตรึกตรอง
ใส่ใจ“ฝ่าบาททรงคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่” ผู้อาวุโสเฒ่าผมขาวโพลน
ถือไม้เท้านั่งบ่นประโยคนี้ตั้งแต่บ่ายยันเย็น แววตาเป็นประกายกร้าวขึ้นทุกคราด้วยความไม่พอใจตระกูลขุนนางพลเรือนตบแต่งขุนนางฝ่ายทหาร เนิ่นนานแล้วแคว้นสือจ้าวไม่เคยมีประวัติศาสตร์เขียนระบุการดองญาติข้ามฝักฝ่าย
มาก่อน คราวนี้สกุลจางกลับต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ทางสกุลจางไม่ชอบใจเอาเสียเลยจางห้าวสบตาฮูหยินผู้เฒ่า ผู้เป็นมารดานับครั้งไม่ถ้วน ความรู้สึกสองแม่ลูกเจือความทอดถอนใจและจนปัญญา ใครไหนเล่าอ่านพระทัยโอรสสวรรค์กระจ่างแจ้ง
อีกประการฮ่องเต้ศักดิ์สูงเกินกว่าที่ขุนนางขั้นสี่จะกล้าตั้งคำถาม
ว่าเหตุใดพระองค์ถึงเลือกสกุลจาง ไม่เลือกสกุลสูงกว่านี้ตบแต่งกับแม่ทัพปั๋วเฉิน
“ผู้คุมกฎโปรดระงับโทสะเจ้าค่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่าจางเอ่ยโน้มน้าว
“มาถึงขั้นนี้แล้วมัวตีอกชกหัวถามหาเหตุผลคงไม่เหมาะ”
ใบหน้าเหี่ยวย่นมีรอยยิ้มสุภาพปรากฏ
“ผู้น้อยเห็นว่าจวนของเราควรน้อมรับราชโองการ แล้วเร่งมือเตรียมงานมงคลเถิดเจ้าค่ะ”
ท่าทีหนักแน่นของนาง ทำให้ผู้ร่วมหารือในโถงรับรองจวนหลักคล้อยตามโดยง่าย
ผู้อาวุโสเฒ่าถอนหายใจแผ่วเบา ผงกศีรษะเห็นพ้องคำกล่าวของ
ฮูหยินผู้เฒ่า ราชโองการก็ประกาศแล้วจะหาหนทางใดมาแก้ไขได้เล่า แต่ก็ขอบ่นไปตามประสาคนแก่เท่านั้น“ทางนั้นส่งสามหนังสือมาหรือยัง”
“เรียนผู้คุมกฎ ทางฮูหยินผู้เฒ่าของจวนปั๋วเฉินส่งเทียบมาแจ้งว่า จะมายื่นสามหนังสือด้วยตนเองเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่ซุนฮุ่ยนั่งนิ่งรับฟังอยู่นาน ก่อนตอบผู้ถามประโยคหนึ่ง
จึงหันมาสบตาสามีเพียงแวบเดียว แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย“ได้ข่าวว่าฮองเฮาพระราชทานชุดมงคลสมรสแก่บ่าวสาว ทางนั้นจึงจะนำมามอบให้พร้อมกันเจ้าค่ะ น่าแปลกยิ่งนักที่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนปั๋วเฉินมาเยือนด้วยตัวเอง เหมือนอยากจะมากดหัวสกุลจางอย่างไรอย่างนั้น”
มารดาของเจ้าบ่าวมียศถาบรรดาศักดิ์สูงขั้นกว่าตระกูลจาง กระทั่ง
ผู้อาวุโสเฒ่าของตระกูลฝ่ายหญิงยังต้องค้อมศีรษะคารวะนางสิ้นคำของฮูหยินใหญ่ซุนฮุ่ย ทุกคนในที่ประชุมหารือมีความคิด
พลุ่งพล่านดุจมรสุมทันตา การที่ฮูหยินผู้เฒ่าปั๋วเฉินมาเยือนสกุลจางนั้น ล้วนมีนัยแฝงทั้งสิ้น หน้าที่เหล่านี้เป็นของแม่สื่อ ไฉนนางถึงอยากมาเอง เห็นทีตระกูลจางต้องเตรียมตั้งรับกันยกใหญ่เสียแล้วผู้อาวุโสเฒ่าถอนหายใจ อย่างไรก็ยากจะหนีพ้น ก็แค่คารวะต่อสตรีที่มีครอบครัวถือครองบรรดาศักดิ์ปั๋วสักทีสองที คงไม่เสียเกียรติเท่าใดกระมัง
“อาหลันเล่า นางเตรียมตัวเตรียมใจไปถึงไหนแล้ว”
จางห้าวไร้คำตอบ เจ็ดวันมานี้เขายุ่งหัวหมุน จนลืมถามไถ่ถึงบุตรสาวไปเสียสนิท หลังมีราชโองการมาถึงจวน จางหลันก็เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวโยนจนเป็นลม ตัดพ้อบิดาร่วมสองชั่วยาม
เมื่อไม่เป็นผลจึงวิ่งไปเรือนท้ายจวน วิงวอนท่านย่าให้ยื่นมือช่วยเหลือ ท้ายสุดล้วนไม่สำเร็จ จางห้าวตัดสินใจแล้วที่จะมอบภาระหนักอึ้งให้อาหลันเป็นคนแบกรับ ท่านย่าเองก็เห็นพ้อง
ในเมื่ออาอวี้เพิ่งอายุแค่สิบสี่ปียังไม่พ้นวัยปักปิ่น หนำซ้ำยังคบหาอยู่กับกัวจิ้นเต๋อ บุรุษหนุ่มอนาคตไกลจากตระกูลบัณฑิตใหญ่ ซึ่งครองตำแหน่งมหาราชครูสั่งสอนเหล่าองค์ชาย
มองปราดเดียวผู้เป็นบิดาก็เห็นเส้นทางรุ่งโรจน์ของบุตรสาวคนรองเจิดจรัสเป็นดวงดาวบนท้องฟ้าแล้วจึงหมดห่วง
เหลือเพียงแต่อาหลันนี่ล่ะ ที่ชะตาชีวิตครึ่งผีครึ่งคน อายุสิบห้า
ปักปิ่นตั้งแต่ปีที่แล้วแต่ไร้เงาแม่สื่อมาสู่ขอ นางโชคร้ายเรื่องชาติกำเนิดที่มีมารดาเป็นเพียงอนุ ทำให้เหล่าตระกูลสูงส่งไม่อยากเปิดประตูจวนต้อนรับ หากลอดประตูข้าง แต่งเข้านั่งศักดิ์ฐานะอนุก็ว่าไปอย่าง เพราะบุตรีของอนุหรือจะสู้บุตรีของฮูหยิน“พักนี้ไม่เห็นอาหลันโวยวายอันใด คงทำใจได้แล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่ซุนฮุ่ยยื่นหน้าตอบแทนสามีที่อึกอักอ้ำอึ้งไม่ปริปากตอบ
ผู้อาวุโสเสียที“ดี เช่นนั้นก็เตรียมสินสอดให้อาหลัน เอาที่เหมาะสมกับบรรดาศักดิ์ปั๋วเฉินฮูหยินก็แล้วกัน” ผู้อาวุโสเฒ่ารู้สึกเหนื่อยล้า จึงโบกมือยุติการหารือเพียงเท่านี้
ตอนพิเศษ 2.2ส่วนคุณหนูรองจางเหม่ยอวี้ ดูเหมือนว่าจะมีนิสัยตรงกันข้ามกับพี่สาว หยิ่งผยองเงียบขรึมพูดน้อย ดื้อรั้นเอาแต่ใจ รักความสงบเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงเข้าสังคม แต่นับเป็นคนมีวาสนาดี เพราะคบหาอยู่กับคุณชายกัว ชาวเมืองครหาไว้อย่างนั้นแต่เพราะแม่ทัพปั๋วเฉินชิงซงอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบมาทั้งชีวิตย่อมเข้าใจเรื่องที่ว่า ‘การศึกไม่เคยหน่ายอุบาย’ ฉะนั้นเสียงนกกาสุนัขหมาป่าเห่าหอนที่ชาวเมืองคอยเต้าข่าว เขาไม่คิดเชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองชายหนุ่มต้องการดูเนื้อแท้ของสองตัวเลือก เพราะพวกนางหนึ่งในนี้จะต้องกลายเป็นสตรีที่เคียงข้างกายเขาไปตลอดชีวิต ในใจเขาจึงคิดไว้ว่านางต้องอ่อนโยนรู้กาลเทศะ ละเอียดลออเคร่งครัดจนไร้ช่องโหว่ อีกทั้งยังต้องฉลาดหัวไว ใจเยือกเย็น รู้เท่าทันเล่ห์อุบายต่ำทรามนานา เพราะจะได้สามารถเอาตัวรอดจากภัยอันตรายที่ซุ่มซ่อน ในขณะที่แม่ทัพเช่นเขาออกศึกไม่พำนักอยู่จวนทาสอัปลักษณ์หลังค่อมเดินลัดเลาะมาถึงระเบียงทางเดินดักรอคุณหนูรอง ส่วนคุณหนูใหญ่ยังคงอยู่แต่ในเรือนนอนไม่ได้ออกไปไหน“โอ๊ย! เดินอย่างไรไม่ดูตาม้าตาเรือ” จื่อผิงเอะอะโวยวายขึ้นหลังมีทาสชายหลังค่อมถอยมาชนปึก!ทาสอัปลักษณ
ตอนพิเศษ 2.1“เจ้าว่าอะไรนะ”ขุนนางฝ่ายบู๋ลำดับศักดิ์ปั๋ว ตระกูลเฉินนามชิงซง หรือแม่ทัพกองทัพจูเชว่คุ้มครองแดนใต้เงยหน้าขึ้นจากรายงานทางการทหาร หว่างคิ้วยับย่นฉับพลัน อดย้อนถามอย่างตกใจไม่ได้ หลังฟังคำบอกเล่าจากปากลูกน้องคนสนิท“เมื่อครู่ใครมาเข้าพบท่านแม่ แล้วชี้นำให้ท่านแม่ทำอะไรนะ...เปลี่ยนตัวเจ้าสาวพระราชทานอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของแม่ทัพหนุ่มเปี่ยมด้วยความสนอกสนใจ ความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งสับสนสงสัย ทั้งตะลึงและประหลาดใจ ก่อนตบท้ายด้วยขุ่นเคือง หากสิ่งที่ได้ฟังมาเป็นความจริง‘ตระกูลจางคิดจะสลับตัวเจ้าสาว’รองผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่เผิงเสียนจือ ลอบกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า อดคิดในใจไม่ได้ว่าท่านแม่ทัพจะเพิกเฉย ไม่นึกยี่หระเสียอีก เขามารายงานตามปกติประจำวันไม่ได้เน้นเสียง หรือจงใจให้เจ้านายหันเหสนใจเรื่องดังกล่าวแต่งคนไหนก็เหมือนกันมิใช่รึ อย่างไรก็ไม่ได้แต่งด้วยความรัก รองแม่ทัพหนุ่มชะงักพักหนึ่งหยุดไปประมาณห้าอึดใจ จึงเริ่มเล่าวกเรื่องเมื่อครู่อีกครั้ง“ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหไม่น้อยเลยขอรับ” คนรายงานตามจริงถอนใจเศร้าๆ หลายครา นึกสงสารชะตากรรมคุณหนูรองที่มีแม่เลี้ยงเฉกเช่นอ
ตอนพิเศษ 1.2ชายหนุ่มกำลังจะโผกายสวมกอดภรรยา ทว่านางบีบจมูกและย่นหว่างคิ้ว เขาจึงเข้าใจทันทีว่า มันเป็นเพราะกลิ่นกายตนที่ทำให้อีกฝ่ายอาเจียนมากมายขนาดนั้น จึงไม่กล้าผลีผลามเข้าใกล้อย่างคราแรก ๆ อีกทว่าในจังหวะแห่งความปลื้มปีตินั้นเอง อยู่ ๆ รองแม่ทัพเผิงวิ่งเข้ามาขัด พร้อมรายงานด่วนทางการทหาร บอกแก่เขาว่ามีข้าศึกโจมตี ทำให้แม่ทัพหนุ่มจำต้องโบกมืออำลาภรรยาที่กำลังแพ้ท้องอย่าหนักหน่วงด้วยความห่วงอาลัยยิ่ง“พี่จะรีบกลับมา น้องหญิงรอพี่ก่อนนะ” เขากล่าวคำลาด้วยใจที่ย่ำแย่ มองใบหน้าฮูหยินคนงามที่มองเขาตอบด้วยสายตาอย่างยากจะคาดเดาออกในวันนั้นจางเหม่ยอวี้ไม่มีคำลาใด ๆ หรืออวยพรให้เขาชนะศึก การกระทำที่นิ่งเฉยของนาง ทำเอาแม่ทัพผู้เด็ดเดี่ยวใจสั่นไหว เสมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจจนปวดหนึบนับจากวันอำลา เฉินชิงซงรู้สึกเดียวดายเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก เขาเอาแต่คิดถึงใบหน้าหวานของภรรยาตลอดทั้งวันทั้งคืน ความห่วงหาอาทรแผ่ซ่านทุกห้วงอณู ศึกก็ต้องรบ ทว่าหัวใจหดหู่ทำให้ส่งผลกระทบต่อการวางแผนกลศึก กระทั่งเหล่านายกอง รวมถึงรองแม่ทัพต่างวิตกว่าสุขภาพของท่านแม่ทัพจะย่ำแย่ จึงแนะนำให้เขาเขีย
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากเข้าพิธีสมรสได้หนึ่งเดือน เฉินชิงซงต้องวุ่นวายกับการโยกย้ายจวน เดินทางจากเมืองหลวงลงแดนใต้ กว่าจะถึงเมืองชายแดนจูเชว่ต้องใช้เวลาไปอีกหนึ่งเดือนครึ่ง ระยะนี้เขากับฮูหยินตัวน้อยจึงมิได้สานสัมพันธ์แนบแน่นกันเลยวันนี้ตั้งใจแน่วแน่ จะร่วมคืนวสันต์แสนหวานกับผู้เป็นภรรยา แค่คิดเรื่องสัปดน หัวใจก็เต้นโครมครามยากระงับไหว เลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าคมคายแดงซ่าน ดวงตาคมทอประกายวาบวาม มิต่างอันใดกับทะเลยามราตรีที่เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ“อวี้เอ๋อร์ เจ้ากำลังรอเหมือนพี่อยู่หรือไม่นะ” แม่ทัพหนุ่มรำพึงรำพันด้วยความสุขล้น สองมือเร่งหยิบรายงานทางการทหารที่กองพะเนินมาเปิดอ่าน เขาต้องประทับตราลงนามให้เสร็จแล้วรีบกลับจวนเฉินชิงซงใจเริ่มคุ้นชินกับการมีจางเหม่ยอวี้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าตอนตื่นลืมตาช่วงเช้า รับสำรับมื้อแรกช่วงสาย ปิ่นโตมื้อกลางวัน และสำรับเย็นที่เรือนท่านแม่ก่อนปิดท้ายวันด้วยการเข้านอนทว่าพอถึงเวลาค่ำคืนของสามีภรรยา เขากับนางกลับทำเพียงแค่โอบกอด แล้วพากันสู่นิทรามิได้ลึกซึ้งเหมือนเช่นคืนเข้าหอแต่ในคืนนี้เฉินชิงซงตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า เขาจะต้องร่วมหอกับภรรยาตัวน้อยให้จงไ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(3) จากประโยคนี้ของสามี จางเหม่ยอวี้ถึงกับโผเข้าไปสวมกอดเขาเอาไว้ บุรุษผู้นี้ช่างดีต่อนางยิ่งนัก นางทำตัวร้ายกาจ วางแผนสังหารคนขนาดนี้ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะอยู่เคียงข้างและปกป้องนาง เช่นนี้แล้วนางจะไม่เปิดรับเขาเข้ามาอยู่ในใจได้อย่างไร“ท่านพี่ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณ”“ไม่ต้องขอบคุณแล้ว เราเป็นสามีภรรยากัน ไม่มีเรื่องที่ต้องเกรงใจ”เฉินชิงซงยิ้มให้กับภรรยา หลังจากนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเรื่องใดผ่านเข้ามาทำให้ภรรยาของเขาต้องเคร่งเครียดและเสียน้ำตาอีกแล้วจวนปั๋วเฉินแห่งแดนใต้จูเชว่หนึ่งปีแล้ว หลังจากโยกย้ายครอบครัวมาอยู่แดนใต้ เริ่มแรกก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายยกใหญ่ จางเหม่ยอวี้สตรีเมืองหลวงผู้เพียบพร้อมจรรยามารยาทงดงาม ไม่คุ้นชินกับชาวบ้านชนบทที่พูดจาเสียงดัง ท่าทางกร่างจัด ไม่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติ หลักการข้อไหนก็ไม่ยึดถือจางเหม่ยอวี้โชคดีที่มีสามีคอยแนะนำ มีแม่สามีสอนสั่ง ประเพณีที่นี่เป็นเช่นไร พึงศึกษาอยู่ไม่นานนักก็สามารถปรับตัวได้ทางด้านจื่อผิงออกเรือนแต่งเป็นอนุให้รองแม่ทัพเผิง ไม่รู้ไปต้องตาพึงใจกันตอนไหน จื่อผิงอยู่ชนชั้นทาสมาตั้งแต่เกิด
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(2)เตียง ทั้งสองแลกเปลี่ยนจุมพิตกันอย่างยาววนาน ก่อนจะเริ่มเพิ่มความเร่าร้อนขึ้น ด้วยการสอดประสานกายเป็นหนึ่งเดียวกัน เช้าวันรุ่งขึ้น สองสามีภรรยาเดินทางไปยังกองบัญชาการแห่งทัพจูเชว่ ซึ่งจางเหม่ยอวี้ได้พบกับจือหมิ่น น้องสาวของจือลิ่ว อดีตคนสนิทของอนุหลินจริง ๆ ทันทีที่จือหมิ่นเห็นว่าคนที่ก้าวเข้ามายังห้องที่นางถูกควบคุมตัวไว้เป็นใครก็มีสีหน้าซีดเผือด แข้งขาของเจ้าตัวพลันอ่อนแรง ล้มลงไปนั่งกองกับพื้น ปากคอสั่นจนหาเสียงตนเองไม่พบ“ดูท่าเจ้าคงจดจำนางได้สินะ”เฉินชิงซงมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด และคนตรงหน้าก็ยิ่งตัวสั่นกว่าเดิม เมื่อมองไปยังจางเหม่ยอวี้ที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา“คุณหนูรอง”“เจ้ารู้จักข้าด้วย ทั้งที่เราไม่เคยพบกันแท้ ๆ” จางเหม่ยอวี้กล่าวเหมือนนึกทึ่ง พลางเดินเข้าไปนั่งอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่สั่นเทาจากนั้นเฉินชิงซงก็เริ่มสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้วิธีทรมานใด ๆ เพื่อให้จือหมิ่นยอมพูดความจริง หญิงสาวตรงหน้าที่มีความผิดบาปฝังมาในใจเนิ่นนานแล้วก็สารภาพออกมาอย่างหมดเปลือกและแล้วเรื่องราวตลอ