จางเหม่ยอวี้ตื่นนอนแต่เช้าตรู่ วันนี้มีแขกคนสำคัญมาเยือนถึงจวน ‘ฮูหยินผู้เฒ่า มารดาของปั๋วเฉิน’ มาเยี่ยมหรือกิจใดล้วนไม่ได้ระบุชัดเจน
การส่งสามหนังสือนั้น ปกติเป็นหน้าที่แม่สื่อจัดการ เหตุใดประมุขเรือนหลังจวนเฉินจึงออกหน้ากระทำเอง หญิงสาวรู้สึกได้ถึงเค้าลางไม่ดี
ชวนเสียวสันหลังวาบอย่างไรพิกลเมื่อคืนท่านย่าเล่าเนื้อหาใจความการประชุมหารือระหว่างญาติ
ทุกสายของตระกูลหมดสิ้น ทุกคนล้วนกังวลกับการมาเยือนของฮูหยินผู้เฒ่าปั๋วเฉินยิ่งนักไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะซ่อนแผนการใดไว้ หากมาเพื่อข่มบารมี ตระกูลจางคงไม่ยี่หร่าแยแส อย่างไรพวกเขาก็เป็นชนชั้นขุนนางขั้นรองมิได้โดดเด่นหรือทรงอำนาจ ไม่กลัวเสียเกียรติ ไม่กลัวการถูกหยามหมิ่นดูแคลน
“คุณหนูหน้าซีด ป่วยหรือเจ้าคะ” จื่อผิงสาวใช้คนสนิทสังเกตคุณหนูรอง ท่าทางครุ่นคิดหนักจนสองคิ้วเรียวขมวดมุ่น ทอดถอนใจเป็นระยะๆ จึงรีบซักถาม
จางเหม่ยอวี้มิได้ตอบคำถามสาวใช้คนโปรด นางเลือกสั่นศีรษะเบาๆ อย่างไม่รู้จะบรรยายลางสังหรณ์ที่กระตุ้นเตือนให้ระวังภัยนี้อย่างไรดี
“เรือนอนุหลินไม่มีความเคลื่อนไหวเลยหรือ แปลกเกินไปจริงๆ”
“น่าแปลกเหมือนอย่างที่คุณหนูว่าเจ้าค่ะ” จื่อผิงจุ๊ปากหลายครั้ง ลังเลครู่หนึ่ง เพื่อเรียบเรียงถ้อยคำในสมอง แล้วออกท่าออกทางเล่า
“หลังจากคุณหนูใหญ่ร้องไห้คร่ำครวญปริ่มจะขาดใจวันนั้น ก็ไม่ได้ยินเสียงร้องไห้อีกเลยเจ้าค่ะ”
“อนุหลินเล่า นางอยู่กับพี่หญิงตลอดเลย หรือว่า...” จางเหม่ยอวี้นิ่งคิดตามคำตอบที่ได้รับจากจื่อผิง หลังฟังแล้วก็เกิดคำถามผุดขึ้นตามมาเป็นดอกเห็ด
คนอย่างพี่หญิงไม่มีวันสงบจิตสงบใจ ยอมรับชะตากรรมได้รวดเร็วปานนี้ ดูได้จากความหน้าหนาทานทน ประสงค์แย่งชิงตำแหน่งฮูหยินกัวมาเป็นของตนเอง
ที่ผ่านมายินยอมใช้ลูกไม้อุบายชั้นต่ำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองสมปรารถนา แม้นกระทั่งถูกครหาว่าหมายตาบุรุษคนเดียวกันกับน้องสาว นางก็ยังไม่คิดสนใจเลย แล้วมาตอนนี้จะยอมนิ่งเฉยได้อย่างไร
“ก่อนหน้านี้อนุหลินขออนุญาตฮูหยินใหญ่ออกไปข้างนอก อ้างว่าจะไปเยี่ยมมารดาที่ป่วยหนักเมื่อสี่วันก่อนเจ้าค่ะ” จื่อผิงเอ่ยไปก็นึกย้อน พลางถามเรียบ ๆ ผ่านรอยยิ้มละไมไร้เดียงสา “คุณหนูกังวลมากเกินไปหรือไม่เจ้าคะ บ่าวไม่เห็นพวกเรือนอนุหลินจะทำอะไรเลย นอกจากกักตนอยู่ในจวนทั้งแม่ทั้งลูก”
น้ำเสียงสาวใช้สั่นเครือเล็กน้อย แสดงถึงความห่วงใยคุณหนูของตน หลังจากมีราชโองการมาประกาศหน้าจวน จื่อผิงก็สังเกตเห็นว่าคุณหนู
นอนไม่ค่อยหลับด้านจางเหม่ยอวี้ดวงตาเข้มขึ้นอย่างน่ากลัว
“แล้วเจ้าให้คนตามอนุหลินไปหรือไม่ นางไปจวนเดิมจริงหรือเปล่า”
หญิงสาวน้ำเสียงสั่นสะท้าน ในใจกู่ก้องว่าสิ่งนี้เหมือนมีอะไรไม่ปกติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มารดาของอนุหลินนั้นได้ข่าวว่าหายป่วยตั้งแต่เมื่อต้นปีแล้ว นางจึงไม่มีเหตุผลต้องกลับจวนเดิม ในช่วงที่บุตรสาวกำลังทุกข์ตรม
“ไม่เจ้าค่ะ” จื่อผิงหน้าเจื่อนลงเมื่อเห็นคุณหนูของตนมีท่าทีกระสับกระส่าย
“จื่อผิง! ข้าบอกให้เจ้าติดตามพวกนางสองแม่ลูกทุกฝีก้าวอย่าให้คลาดสายตามิใช่หรือ เหตุใดถึงได้ทำงานสะเพร่านัก”
ความรู้สึกต่าง ๆ มากมายถาโถมเข้ามาในเสี้ยวเวลาอันสั้น คุณหนูรองมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องมีความลับบางอย่างซุกซ่อนอย่างแน่นอนที่ผ่านมา
อนุหลินนิสัยเช่นไร พี่หญิงก็ถอดแบบจากมารดามาทุกกระเบียดนิ้วนางชื่นชอบการชิงดีชิงเด่น ปั่นหัวผู้คนได้เก่งกาจยิ่ง ที่ผ่านมาขวัญกล้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ชั่วช้าแพศยาไร้ยางอาย หนังหน้าหนากว่ากำแพง ทำตัวประหนึ่งจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
ดังนั้นนางจึงไม่คิดว่าสองแม่ลูกนั่นจะยอมรามือและยินยอมรับการแต่งงานคราวนี้ง่าย ๆ แม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะให้จางหลันมีฐานะสูงส่งกว่านาง แต่สตรีเช่นจางหลันก็โง่งม คิดแต่ว่าไม่อยากยอมแพ้น้องสาวอยู่ท่าเดียว จึงได้ปฏิเสธการแต่งงานไปในตอนแรก แล้วมาครั้งนี้จะบอกว่ายอมรับแล้ว อยากเป็นฮูหยินจวนปั๋วเฉินแล้ว มันเป็นเรื่องที่ทำให้จางเหม่ยอวี้เชื่อยากจริงๆ
“บ่าวขออภัยเจ้าค่ะ คุณหนู บ่าวไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน”
จื่อผิงละล่ำละลักเอ่ยตอบ ในใจรู้สึกหวาดหวั่นอย่างมิอาจห้ามได้
“ท่านย่าเล่า ท่านย่าอยู่ไหน” จางเหม่ยอวี้เชื่อว่าการมาของฮูหยิน
ผู้เฒ่าปั๋วเฉินต้องมีเงื่อนงำบางอย่างแอบแฝงอย่างแน่นอน“ยะ...อยู่ห้องโถงรับรอง พูดคุยอยู่กับแขกเจ้าค่ะ” จื่อผิงลนลานมือไม้สั่นรัว คุณหนูของนางสงบเสงี่ยมเยือกเย็นครองสติได้เสมอ ไฉนวันนี้พะวักพะวนลุกลี้ลุกลนเช่นนี้กันเล่า
“ข้าว่าอีกไม่นานต้องเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่” คุณหนูรองเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งเครียด ใบหน้าของนางหม่นหมองและกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
การที่อนุหลินรีบร้อนออกไปจากจวนโดยอ้างว่ามารดาป่วยย่อมมีสาเหตุที่ไม่ชอบมาพากล แต่จะเป็นเรื่องใดนั้น จางเหม่ยอวี้ไม่อยากคาดเดาในทางร้าย ทั้งที่ในใจลึก ๆ ก็มั่นใจว่าจะต้องเป็นเรื่องไม่ดีอย่างแน่นอน
ขณะนั้นเองมีเสียงหนึ่งดังจากบานประตูห้องนอน
“คุณหนูเจ้าคะ นายท่านเชิญห้องโถงเจ้าค่ะ”
สาวใช้สูงวัยยืนบอกกล่าวด้วยท่าทางเม้มปากเล็กน้อย ราวกับกำลังชั่งใจคล้ายอยากจะเอ่ยวาจา ทว่าสุดท้ายก็กล้ำกลืนอดกลั้น
“มีเรื่องใดกัน”
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะคุณหนู”
จางเหม่ยอวี้สูดลมหายใจลึก ๆ ความกลัวครอบงำจิตใจนางไป
จนหมดสิ้น ด้วยครุ่นคิดว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ ๆจื่อผิงมองร่างสั่นสะท้านเสียขวัญของคุณหนูอย่างตะลึงงัน
“คุณหนู! บะ…บ่าว บ่าวจะไปสืบเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” จื่อผิงรู้ดีว่า คุณหนูฉลาดหลักแหลมคาดเดาสิ่งใดไม่เคยผิดพลาด บอกว่าเกิดเรื่องใหญ่ ย่อมเป็นไปตามนั้นอย่างไม่มีข้อกังขา
“สายไปแล้วจื่อผิง”
เพียงดวงตาคู่งามเห็นท่าทางว้าวุ่นคิดหนักของสาวใช้สูงวัยก็กระจ่างใจทันควัน ยิ่งนางเม้มปากมองตนแล้วหลุบตาลง จางเหม่ยอวี้ก็แน่ใจในคำตอบแล้ว
“มามา”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้สูงวัยหน้าซีดเผือด ทอดสายตาเวทนามองคุณหนูรองด้วยความหดหู่ใจ
“เล่ามาเถอะ” จางเหม่ยอวี้แข็งใจพยายามควบคุมสติไม่ให้แตกกระเจิงจนตระกูลจางต้องอับอายขายหน้า ด้วยสังหรณ์ใจว่าคนที่ต้องคุกเข่ายื่นมือรับของกำนัลจากสกุลเฉินอาจจะไม่ใช่จางหลัน หากแต่เป็นคนอื่น
“คุณหนู! ฮูหยินผู้เฒ่ารั้งจนสุดกำลังแล้วเจ้าค่ะ ฝ่ายนั้นยืนกรานต้องเป็นบุตรีชาติกำเนิดจากฮูหยินถึงคู่ควรกับบุตรชายของนาง มิใช่… มิใช่คุณหนูใหญ่ที่ชาติกำเนิดต่ำต้อย”
มือเรียวบางของสาวใช้สูงวัยไหวสั่นน้อยๆ ท่าทีที่อยากร้องไห้แต่กลั้นไว้สุดชีวิตช่างน่าเวทนายิ่ง
“คุณหนู! นายท่านกับฮูหยินใหญ่วิงวอนแล้ว อ้างวัยก็แล้วแต่ฮูหยินผู้เฒ่าปั๋วเฉินยืนกรานห้ามโต้แย้ง อย่างไรเจ้าสาวต้องเป็นคุณหนูจางเหม่ยอวี้เท่านั้น” หยดน้ำตาร้อนจัดที่เอ่อคลออยู่ในดวงตาร่วงหล่นทันทีที่เล่าสถานการณ์ย่ำแย่ในห้องโถงรับรองจบ มันก็เช่นเดียวกับใจของผู้ฟัง จางเหม่ยอวี้รู้สึกสิ้นหวังแล้วทุกอย่าง จบแล้วสินะ วาสนาครองคู่ที่ตนเลือกได้เอง
ตอนพิเศษ 2.2ส่วนคุณหนูรองจางเหม่ยอวี้ ดูเหมือนว่าจะมีนิสัยตรงกันข้ามกับพี่สาว หยิ่งผยองเงียบขรึมพูดน้อย ดื้อรั้นเอาแต่ใจ รักความสงบเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงเข้าสังคม แต่นับเป็นคนมีวาสนาดี เพราะคบหาอยู่กับคุณชายกัว ชาวเมืองครหาไว้อย่างนั้นแต่เพราะแม่ทัพปั๋วเฉินชิงซงอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบมาทั้งชีวิตย่อมเข้าใจเรื่องที่ว่า ‘การศึกไม่เคยหน่ายอุบาย’ ฉะนั้นเสียงนกกาสุนัขหมาป่าเห่าหอนที่ชาวเมืองคอยเต้าข่าว เขาไม่คิดเชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองชายหนุ่มต้องการดูเนื้อแท้ของสองตัวเลือก เพราะพวกนางหนึ่งในนี้จะต้องกลายเป็นสตรีที่เคียงข้างกายเขาไปตลอดชีวิต ในใจเขาจึงคิดไว้ว่านางต้องอ่อนโยนรู้กาลเทศะ ละเอียดลออเคร่งครัดจนไร้ช่องโหว่ อีกทั้งยังต้องฉลาดหัวไว ใจเยือกเย็น รู้เท่าทันเล่ห์อุบายต่ำทรามนานา เพราะจะได้สามารถเอาตัวรอดจากภัยอันตรายที่ซุ่มซ่อน ในขณะที่แม่ทัพเช่นเขาออกศึกไม่พำนักอยู่จวนทาสอัปลักษณ์หลังค่อมเดินลัดเลาะมาถึงระเบียงทางเดินดักรอคุณหนูรอง ส่วนคุณหนูใหญ่ยังคงอยู่แต่ในเรือนนอนไม่ได้ออกไปไหน“โอ๊ย! เดินอย่างไรไม่ดูตาม้าตาเรือ” จื่อผิงเอะอะโวยวายขึ้นหลังมีทาสชายหลังค่อมถอยมาชนปึก!ทาสอัปลักษณ
ตอนพิเศษ 2.1“เจ้าว่าอะไรนะ”ขุนนางฝ่ายบู๋ลำดับศักดิ์ปั๋ว ตระกูลเฉินนามชิงซง หรือแม่ทัพกองทัพจูเชว่คุ้มครองแดนใต้เงยหน้าขึ้นจากรายงานทางการทหาร หว่างคิ้วยับย่นฉับพลัน อดย้อนถามอย่างตกใจไม่ได้ หลังฟังคำบอกเล่าจากปากลูกน้องคนสนิท“เมื่อครู่ใครมาเข้าพบท่านแม่ แล้วชี้นำให้ท่านแม่ทำอะไรนะ...เปลี่ยนตัวเจ้าสาวพระราชทานอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของแม่ทัพหนุ่มเปี่ยมด้วยความสนอกสนใจ ความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งสับสนสงสัย ทั้งตะลึงและประหลาดใจ ก่อนตบท้ายด้วยขุ่นเคือง หากสิ่งที่ได้ฟังมาเป็นความจริง‘ตระกูลจางคิดจะสลับตัวเจ้าสาว’รองผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่เผิงเสียนจือ ลอบกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า อดคิดในใจไม่ได้ว่าท่านแม่ทัพจะเพิกเฉย ไม่นึกยี่หระเสียอีก เขามารายงานตามปกติประจำวันไม่ได้เน้นเสียง หรือจงใจให้เจ้านายหันเหสนใจเรื่องดังกล่าวแต่งคนไหนก็เหมือนกันมิใช่รึ อย่างไรก็ไม่ได้แต่งด้วยความรัก รองแม่ทัพหนุ่มชะงักพักหนึ่งหยุดไปประมาณห้าอึดใจ จึงเริ่มเล่าวกเรื่องเมื่อครู่อีกครั้ง“ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหไม่น้อยเลยขอรับ” คนรายงานตามจริงถอนใจเศร้าๆ หลายครา นึกสงสารชะตากรรมคุณหนูรองที่มีแม่เลี้ยงเฉกเช่นอ
ตอนพิเศษ 1.2ชายหนุ่มกำลังจะโผกายสวมกอดภรรยา ทว่านางบีบจมูกและย่นหว่างคิ้ว เขาจึงเข้าใจทันทีว่า มันเป็นเพราะกลิ่นกายตนที่ทำให้อีกฝ่ายอาเจียนมากมายขนาดนั้น จึงไม่กล้าผลีผลามเข้าใกล้อย่างคราแรก ๆ อีกทว่าในจังหวะแห่งความปลื้มปีตินั้นเอง อยู่ ๆ รองแม่ทัพเผิงวิ่งเข้ามาขัด พร้อมรายงานด่วนทางการทหาร บอกแก่เขาว่ามีข้าศึกโจมตี ทำให้แม่ทัพหนุ่มจำต้องโบกมืออำลาภรรยาที่กำลังแพ้ท้องอย่าหนักหน่วงด้วยความห่วงอาลัยยิ่ง“พี่จะรีบกลับมา น้องหญิงรอพี่ก่อนนะ” เขากล่าวคำลาด้วยใจที่ย่ำแย่ มองใบหน้าฮูหยินคนงามที่มองเขาตอบด้วยสายตาอย่างยากจะคาดเดาออกในวันนั้นจางเหม่ยอวี้ไม่มีคำลาใด ๆ หรืออวยพรให้เขาชนะศึก การกระทำที่นิ่งเฉยของนาง ทำเอาแม่ทัพผู้เด็ดเดี่ยวใจสั่นไหว เสมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจจนปวดหนึบนับจากวันอำลา เฉินชิงซงรู้สึกเดียวดายเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก เขาเอาแต่คิดถึงใบหน้าหวานของภรรยาตลอดทั้งวันทั้งคืน ความห่วงหาอาทรแผ่ซ่านทุกห้วงอณู ศึกก็ต้องรบ ทว่าหัวใจหดหู่ทำให้ส่งผลกระทบต่อการวางแผนกลศึก กระทั่งเหล่านายกอง รวมถึงรองแม่ทัพต่างวิตกว่าสุขภาพของท่านแม่ทัพจะย่ำแย่ จึงแนะนำให้เขาเขีย
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากเข้าพิธีสมรสได้หนึ่งเดือน เฉินชิงซงต้องวุ่นวายกับการโยกย้ายจวน เดินทางจากเมืองหลวงลงแดนใต้ กว่าจะถึงเมืองชายแดนจูเชว่ต้องใช้เวลาไปอีกหนึ่งเดือนครึ่ง ระยะนี้เขากับฮูหยินตัวน้อยจึงมิได้สานสัมพันธ์แนบแน่นกันเลยวันนี้ตั้งใจแน่วแน่ จะร่วมคืนวสันต์แสนหวานกับผู้เป็นภรรยา แค่คิดเรื่องสัปดน หัวใจก็เต้นโครมครามยากระงับไหว เลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าคมคายแดงซ่าน ดวงตาคมทอประกายวาบวาม มิต่างอันใดกับทะเลยามราตรีที่เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ“อวี้เอ๋อร์ เจ้ากำลังรอเหมือนพี่อยู่หรือไม่นะ” แม่ทัพหนุ่มรำพึงรำพันด้วยความสุขล้น สองมือเร่งหยิบรายงานทางการทหารที่กองพะเนินมาเปิดอ่าน เขาต้องประทับตราลงนามให้เสร็จแล้วรีบกลับจวนเฉินชิงซงใจเริ่มคุ้นชินกับการมีจางเหม่ยอวี้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าตอนตื่นลืมตาช่วงเช้า รับสำรับมื้อแรกช่วงสาย ปิ่นโตมื้อกลางวัน และสำรับเย็นที่เรือนท่านแม่ก่อนปิดท้ายวันด้วยการเข้านอนทว่าพอถึงเวลาค่ำคืนของสามีภรรยา เขากับนางกลับทำเพียงแค่โอบกอด แล้วพากันสู่นิทรามิได้ลึกซึ้งเหมือนเช่นคืนเข้าหอแต่ในคืนนี้เฉินชิงซงตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า เขาจะต้องร่วมหอกับภรรยาตัวน้อยให้จงไ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(3) จากประโยคนี้ของสามี จางเหม่ยอวี้ถึงกับโผเข้าไปสวมกอดเขาเอาไว้ บุรุษผู้นี้ช่างดีต่อนางยิ่งนัก นางทำตัวร้ายกาจ วางแผนสังหารคนขนาดนี้ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะอยู่เคียงข้างและปกป้องนาง เช่นนี้แล้วนางจะไม่เปิดรับเขาเข้ามาอยู่ในใจได้อย่างไร“ท่านพี่ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณ”“ไม่ต้องขอบคุณแล้ว เราเป็นสามีภรรยากัน ไม่มีเรื่องที่ต้องเกรงใจ”เฉินชิงซงยิ้มให้กับภรรยา หลังจากนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเรื่องใดผ่านเข้ามาทำให้ภรรยาของเขาต้องเคร่งเครียดและเสียน้ำตาอีกแล้วจวนปั๋วเฉินแห่งแดนใต้จูเชว่หนึ่งปีแล้ว หลังจากโยกย้ายครอบครัวมาอยู่แดนใต้ เริ่มแรกก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายยกใหญ่ จางเหม่ยอวี้สตรีเมืองหลวงผู้เพียบพร้อมจรรยามารยาทงดงาม ไม่คุ้นชินกับชาวบ้านชนบทที่พูดจาเสียงดัง ท่าทางกร่างจัด ไม่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติ หลักการข้อไหนก็ไม่ยึดถือจางเหม่ยอวี้โชคดีที่มีสามีคอยแนะนำ มีแม่สามีสอนสั่ง ประเพณีที่นี่เป็นเช่นไร พึงศึกษาอยู่ไม่นานนักก็สามารถปรับตัวได้ทางด้านจื่อผิงออกเรือนแต่งเป็นอนุให้รองแม่ทัพเผิง ไม่รู้ไปต้องตาพึงใจกันตอนไหน จื่อผิงอยู่ชนชั้นทาสมาตั้งแต่เกิด
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(2)เตียง ทั้งสองแลกเปลี่ยนจุมพิตกันอย่างยาววนาน ก่อนจะเริ่มเพิ่มความเร่าร้อนขึ้น ด้วยการสอดประสานกายเป็นหนึ่งเดียวกัน เช้าวันรุ่งขึ้น สองสามีภรรยาเดินทางไปยังกองบัญชาการแห่งทัพจูเชว่ ซึ่งจางเหม่ยอวี้ได้พบกับจือหมิ่น น้องสาวของจือลิ่ว อดีตคนสนิทของอนุหลินจริง ๆ ทันทีที่จือหมิ่นเห็นว่าคนที่ก้าวเข้ามายังห้องที่นางถูกควบคุมตัวไว้เป็นใครก็มีสีหน้าซีดเผือด แข้งขาของเจ้าตัวพลันอ่อนแรง ล้มลงไปนั่งกองกับพื้น ปากคอสั่นจนหาเสียงตนเองไม่พบ“ดูท่าเจ้าคงจดจำนางได้สินะ”เฉินชิงซงมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด และคนตรงหน้าก็ยิ่งตัวสั่นกว่าเดิม เมื่อมองไปยังจางเหม่ยอวี้ที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา“คุณหนูรอง”“เจ้ารู้จักข้าด้วย ทั้งที่เราไม่เคยพบกันแท้ ๆ” จางเหม่ยอวี้กล่าวเหมือนนึกทึ่ง พลางเดินเข้าไปนั่งอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่สั่นเทาจากนั้นเฉินชิงซงก็เริ่มสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้วิธีทรมานใด ๆ เพื่อให้จือหมิ่นยอมพูดความจริง หญิงสาวตรงหน้าที่มีความผิดบาปฝังมาในใจเนิ่นนานแล้วก็สารภาพออกมาอย่างหมดเปลือกและแล้วเรื่องราวตลอ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(1)“นี่ข้าวของของข้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงโยกย้ายมันโดยพลการ!”ภายในจวนปั๋วเฉินเกิดความวุ่นวายขึ้น เสียงแว้ด ๆ ที่ดังอยู่ผู้เดียวจะเป็นใครได้ หากไม่ใช่น้องสาวของรองแม่ทัพเผิงชิ่นหลิงถลึงตามองจางเหม่ยอวี้ ดวงตาวาววับแทบลุกเป็นไฟ นางจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไร จู่ ๆ ภรรยาของแม่ทัพที่เพิ่งตบแต่งได้ไม่นานก็ทำท่าวางอำนาจ ฉวยโอกาสตอนนางออกไปเที่ยวใช้ทาสมาเก็บข้าวของในเรือนรับรองใส่หีบ“เพราะข้าเป็นฮูหยินของจวนเฉินอย่างไรเล่า เจ้าเล่า! มีสิทธิ์อันใดอาศัยที่นี่ กาฝากรึ” จางเหม่ยอวี้ตอกกลับได้อย่างแสบทรวง “อีกประการข้าถามท่านพี่กับท่านแม่แล้ว พวกเขาไม่ได้เต็มใจต้อนรับเจ้า เพียงแต่ยังเกรงใจท่านรองแม่ทัพเผิงเท่านั้น”“นี่เจ้า!” เผิงชิ่นหลิงกรีดร้องด้วยความเดือดดาล นางชี้นิ้วใส่เฉินเย๋ปั๋วฟูเหรินอย่างไร้มารยาทยิ่งจางเหม่ยอวี้ที่ดำรงตำแหน่งภรรยาของจวนแม่ทัพไม่มีท่าทีโกรธเกรี้ยว นอกเสียจากเหยียดยิ้มชั่วร้ายให้กับท่าทางของสตรีที่ทำตัวไม่ต่างกับหนูสกปรกตัวหนึ่ง“ท่านรองแม่ทัพเคลื่อนกำลังพลกลับจูเชว่ตั้งแต่ราชโองการออกมาแล้ว เจ้ายังหน้าด้านอยู่จวนเฉินอีกรึ”“เจ้
บทที่ 15สุขทุกข์ร่วมแบ่งเบาเฉินชิงซงเห็นภรรยามีท่าทีไม่สบายใจมาหลายวันแล้ว อีกทั้งหลายครั้งนางก็เหมือนจะเหม่อลอย เวลาเขาสนทนาด้วยบางทีก็ตอบช้าไปกว่าทุกครั้งคล้ายมีเรื่องครุ่นกังวล“น้องหญิง เจ้ากังวลเรื่องใดหรือ เหตุใดพักนี้เจ้าจึงเหม่อลอยพิกล”แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย ฝ่ายผู้เป็นภรรยาทำสีหน้าไม่ถูก ที่ผ่านมานางถูกสอนสั่งให้เอาใจใส่สามี เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้จึงรู้สึกไม่สบายใจ กังวลไปว่าตนเองบกพร่องในหน้าที่ฮูหยินของเขาหรือไม่“ขออภัยเจ้าค่ะท่านพี่”“ไม่มีเรื่องใดต้องขอโทษ เจ้าไม่สบายใจ พี่ควรช่วยเจ้าแบ่งเบา มีอะไรก็ว่ามาเถิด เราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ”เขาเว้นคำพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาที่หม่นแสงของภรรยา ฉวยจับมือเล็กไว้มั่น แม้แต่งงานกันได้ไม่นาน แต่เขาก็เอื้ออาทรในตัวของจางเหม่ยอวี้อย่างยิ่ง จึงไม่ต้องการเห็นนางมีเรื่องหม่นหมองในใจ“จำไว้...ไม่มีเรื่องใดที่บอกกล่าวพี่ไม่ได้”แววตาของสามีที่ทอดมองมาอ่อนโยนยิ่งนัก หญิงสาวเห็นแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งในใจ เฉินชิงซงอาจเป็นคนเย็นชาพูดน้อย แต่แท้จริงกลับใส่ใจทุกเรื่องของนาง ขนาดเขาออกไปตรวจค่ายทหารทุกวัน และเจอนางไม่
ตอนที่14.2 มดปลวกรวมตัว(2)ฉางทิงกับบ่าวฉกรรจ์อีกสามคนฉุดกระชากลากถูคนร้ายไปตามระเบียงไม่คิดไว้ไมตรีทะนุถนอมอันใด ฟู่หว่ากรีดร้องจนสุดเสียงก็ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยฮูหยินผู้เฒ่ายืนทอดสายตามองฟู่หว่า เด็กสาวที่นางเลี้ยงดูมากับมือทว่ากลับหลงเดินทางผิดถูกคนเลวหลอกใช้“ท่านแม่ อากาศเย็นแล้ว กลับเข้าห้องเถอะเจ้าค่ะ” จางเหม่ยอวี้ปั้นหน้าแย้มยิ้มระรื่น ทำเป็นมองไม่เห็นแม่สามีที่กำลังตรอมตรม“อือ รบกวนเจ้าแล้ว” หรูหรั่นเซียงถอนหายใจ ล้วงผ้าเช็ดหน้าซับหยดน้ำตา แล้วให้ลูกสะใภ้ประคองเข้าห้องนอน“แม่ขอโทษนะที่ตัดวาสนาของเจ้ากับคุณชายกัว”“อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว” จางเหม่ยอวี้สั่นศีรษะพร้อมกับส่งยิ้มให้กับแม่สามีอย่างจริงใจ “ลูกรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างโชคดีนัก ที่วันนั้นท่านแม่เลือกให้ลูกมาเป็นสะใภ้”“ไม่เคืองจริงหรือ” แม่สามีเย้าลูกสะใภ้ โดยที่มีจินหรงมามาอมยิ้มปลื้มปริ่มเดิมตามหลัง“ความจริงครั้งแรกก็รู้สึกโกรธเคืองไม่น้อยเจ้าค่ะ เพราะลูกฝึกฝนจรรยาฮูหยินเรือนหลังจวนขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างลำบากมานาน” ลูกสะใภ้หัวเราะเบาๆ อย่างเหนียมอายแม่สามีพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าอกเข้าใจ จรรยาสตรี