จางหลันร้องโหยหวนน้ำตาร่วงพรู เสียงร้องไห้แหลมเล็กกรีดร้องทำลายความสงบในเรือนท้ายจวนเสียสิ้น พี่สาวตัวร้ายสะอึกสะอื้นจนตัวสั่นสะท้าน พร่ำพูดไม่เป็นประโยค
ข้างกายยังมีอนุหลินตาบวมเป่งเป็นลูกท้อ มองก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก สองแม่ลูกที่คอยหาเรื่องจางเหม่ยอวี้ วันนี้กลับไม่สนใจนาง เหตุการณ์เหล่านี้ยิ่งเพิ่มความใคร่รู้ในใจของคุณหนูรองเป็นเท่าทวี
“ท่านย่า เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ” จางเหม่ยอวี้นั่งลงข้างกายท่านย่า ยื่นมือกอบกุมมือเหี่ยวย่นตามวัยเบาๆ ราวกับหวงแหนเป็นที่สุด
ฮูหยินผู้เฒ่ามองหลานสาวคนโปรด แล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนเล่าเรื่องเผือกร้อนที่ตกใส่ศีรษะคุณหนูสี่จางหลัน แล้วพอท่านย่าเล่าจบอนุหลินก็ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้นไหว
“ท่านแม่เจ้าคะ ให้หลันเอ๋อร์แต่งกับแม่ทัพป่าเถื่อนไม่ได้นะเจ้าคะ”
ใบหน้านางเจิ่งนองไปด้วยน้ำตาอย่างน่าสงสาร
“หรือไม่พวกเราแต่งตั้งสาวใช้ขึ้นมาเป็นคุณหนู แล้วแต่งออกไปก็ได้นี่เจ้าคะ ทำไมต้องให้หลันเอ๋อร์ไปตกระกำลำบากด้วย”
เมื่อจางเหม่ยอวี้ได้ฟังคำตัดพ้อของอนุหลิน จึงเข้าใจได้ทันทีว่า มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้ตอนนางยังอยู่ข้างนอก ได้ยินว่ามีราชโองการสมรสพระราชทานมายังสกุลจาง หากนับตามลำดับศักดิ์แล้ว พี่หญิงถึงวัยปักปิ่นแล้วสามารถออกเรือนได้ ดังนั้นท่านพ่อจึงตัดสินใจมอบหมายหน้าที่สำคัญ ที่เปรียบเสมือนการแบกชีวิตคนตระกูลจางไว้ทั้งหมดให้แก่นาง
ความจริงก็ถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมือง และไม่ผิดต่อกฎของตระกูลจางด้วย แต่ผิดหลักความนิยม ขุนนางฝ่ายพลเรือนมักดองญาติกับฝ่ายพลเรือนด้วยกัน พอเรื่องราวกลับตาลปัตรเช่นนี้ ในใจนางจึงนึกเวทนาชะตาของจางหลันอยู่ไม่น้อยเลย
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ ราวกับอับจนปัญญาเช่นกัน
“เจ้าคิดว่าเราจะแก้ปัญหาได้ง่ายดายดังใจงั้นรึ! คิดว่าแต่งตั้งใครเป็นคุณหนูก็ได้ สวมชุดวิวาห์ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวก็จบสิ้นหรือไร”
“แต่ว่าท่านแม่…”
“พอเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม “ขืนทำตามอย่างที่เจ้าว่า เกรงว่าหัวตระกูลจางร้อยหัวคงไม่พอให้ตัด”
ฮูหยินผู้เฒ่าทอดถอนใจอีกครา ดวงตาฉายแววขมขื่นด้วยความสงสารจางหลัน แม้นเด็กคนนี้จะดื้อรั้นเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ก็เป็นหลานสาวคนหนึ่ง มีสายเลือดสกุลจางไหลเวียนในกาย
“ราชโองการใครฝ่าฝืนมีโทษเทียบเท่าการเป็นกบฏ และเจ้าคิดว่าฝ่ายพระราชวังจะไม่ตรวจสอบทะเบียน นับจำนวนสายลำดับตระกูลหรอกหรือ ช่างโง่เขลายิ่งนัก”
“โธ่...ท่านแม่ แต่ว่านี่ไม่ใช่การสมรสที่น่ายินดีเลยนะเจ้าคะ ให้
หลันเอ๋อร์ออกเรือนไป ก็คงไม่ต่างกับการส่งไปตาย” ผู้เป็นมารดายังคงค้านด้วยเสียงคร่ำครวญใจแทบขาด ในขณะเดียวกันฮูหยินผู้เฒ่าก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยอ่อนใจราชโองการป่าวประกาศอย่างนี้แล้ว แปลความหมายได้เพียงอย่างเดียวว่า ต้องน้อมรับมิอาจโต้แย้งได้
“ทำอะไรไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ ท่านแม่” อนุหลินกล่าวด้วยความเจ็บปวดใจ
ความหวังเดียวของนางคือบุตรสาวคนนี้ อุตส่าห์หมายมั่นปั้นมือให้นั่งครองศักดิ์ฐานะฮูหยินเอกว่าที่จอหงวนสกุลกัว ทำศึกแย่งชิงกับจาง
เหม่ยอวี้มาแรมปี กลับถูกราชโองการดับแสงเทียนแห่งความหวัง รู้สึกเหมือนดวงใจแหลกสลายพังทลายอนุหลินอยากเลื่อนศักดิ์ฐานะของตนให้สูงขึ้น เพราะความเป็นอยู่
ในตระกูลจางไม่อำนวยให้นางปีนขึ้นสู่ที่สูงเลย เนื่องด้วยนายท่านรักมั่นต่อ ฮูหยินเอก มอบเกียรติยกยอนางไว้บนหิ้ง ไม่เหลือช่องว่างให้อนุเช่นนาง เข้าไปแทรกแซงยิ่งชาติกำเนิดของนางเป็นบุตรีขุนนางปลายแถว ทำให้ครองฐานะได้แค่อนุ มิอาจเทียบเคียงบุตรีขุนนางขั้นห้า เฉกเช่นฮูหยินใหญ่ซุนฮุ่ย อีกทั้งนางยังคลอดบุตรสาว จึงทำให้น้ำหนักในใจของนายท่านน้อยลงไปทุกวัน
วิธีเดียวที่พอจะทำให้นางกลับมามีตัวตนในจวนก็คือการให้บุตรสาวออกเรือนไปครองศักดิ์ฐานะฮูหยินเอกกับบุรุษตระกูลศักดิ์สูง เพื่อเลื่อนขั้นจากอนุ เลื่อนเป็นฮูหยินสามดั่งที่ใจตนหมายปอง
ติดตรงที่อนุหลินรักบุตรสาวคนนี้มากเกินไป แม้มีเกี้ยวจากจวนปั๋วมารอรับ จางหลันที่โง่เขลาก็ไม่คิดยินยอมตกแต่งเข้าจวนสกุลเฉิน เนื่องด้วยใจนางรักมั่นเพียงแค่คุณชายตระกูลกัว ทั้งที่เขาก็มิได้แยแสนางเลย ซึ่งแน่นอนอนุหลินก็คิดตามใจบุตรสาวด้วยความรัก อีกทั้งยังไม่ต้องการให้นางไประหกระเหินที่ชายแดนในฐานะฮูหยินแม่ทัพ
“ท่านย่า! ก็หลานไม่อยากแต่งเข้าตระกูลแม่ทัพนี่เจ้าคะ เหตุใดต้องเป็นหลานด้วย ในเมื่อเหม่ยอวี้ก็เป็นคนของตระกูลจางเช่นกัน”
จางหลันได้ยินถ้อยคำของท่านย่าแล้วก็ยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
“หลานไม่แต่ง! ยังไงก็ไม่!!”
หญิงสาวตะคอก แล้วลุกขึ้นวิ่งกลับเรือนอย่างไร้มารยาท
จื่อผิงสบตาจางเหม่ยอวี้พลันเบะปากคว่ำ หากเป็นคุณหนูของนางแสดงกิริยาเช่นนี้ รับรองได้ว่าอนุหลินเก็บไปฟ้องนายท่านเป็นแน่
“ขนาดพ่อเจ้ายังน้อมรับราชโองการ ย่าจะทำอะไรได้อีกเล่า”
ฮูหยินผู้เฒ่าตะโกนตามหลังหลานสาวลำดับที่สี่ของตระกูลไปอย่างจนใจ
นางพ่นลมหายใจร้อนผ่าว พร้อมกับกุมหน้าอกราวกับจะเป็นลม จางเหม่ยอวี้เห็นเข้าจึงรีบเข้ามาดูแลท่านย่า อนุหลินจึงอาศัยจังหวะนี้อำลากลับเรือน
“อนุหลินจะยอมให้คุณหนูของเราแต่งกับแม่ทัพป่าเถื่อนจริงหรือ
เจ้าคะ” สาวใช้คนสนิทถามไถ่นายของตนด้วยความรู้สึกหลากหลายซับซ้อน ปกตินายของนางเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว คราวนี้จะมาตกม้าตายง่ายๆ ได้อย่างไรอนุหลินใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา แล้วเอ่ยตอบเสียงขรึม
“หลันเอ๋อร์ไม่มีวันแต่งเข้าจวนแม่ทัพอย่างแน่นอน พรุ่งนี้ข้าจะ
จัดการเอง”แผนร้ายจุดประกายขึ้นในใจ เพราะคำตัดพ้อของบุตรสาวเมื่อครู่
ทำให้ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เหตุใดบุตรสาวของนางต้องเป็นฝ่ายเสียสละด้วย ในเมื่อสกุลจางยังมีบุตรสาวอยู่อีกคนตอนพิเศษ 2.2ส่วนคุณหนูรองจางเหม่ยอวี้ ดูเหมือนว่าจะมีนิสัยตรงกันข้ามกับพี่สาว หยิ่งผยองเงียบขรึมพูดน้อย ดื้อรั้นเอาแต่ใจ รักความสงบเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงเข้าสังคม แต่นับเป็นคนมีวาสนาดี เพราะคบหาอยู่กับคุณชายกัว ชาวเมืองครหาไว้อย่างนั้นแต่เพราะแม่ทัพปั๋วเฉินชิงซงอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบมาทั้งชีวิตย่อมเข้าใจเรื่องที่ว่า ‘การศึกไม่เคยหน่ายอุบาย’ ฉะนั้นเสียงนกกาสุนัขหมาป่าเห่าหอนที่ชาวเมืองคอยเต้าข่าว เขาไม่คิดเชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองชายหนุ่มต้องการดูเนื้อแท้ของสองตัวเลือก เพราะพวกนางหนึ่งในนี้จะต้องกลายเป็นสตรีที่เคียงข้างกายเขาไปตลอดชีวิต ในใจเขาจึงคิดไว้ว่านางต้องอ่อนโยนรู้กาลเทศะ ละเอียดลออเคร่งครัดจนไร้ช่องโหว่ อีกทั้งยังต้องฉลาดหัวไว ใจเยือกเย็น รู้เท่าทันเล่ห์อุบายต่ำทรามนานา เพราะจะได้สามารถเอาตัวรอดจากภัยอันตรายที่ซุ่มซ่อน ในขณะที่แม่ทัพเช่นเขาออกศึกไม่พำนักอยู่จวนทาสอัปลักษณ์หลังค่อมเดินลัดเลาะมาถึงระเบียงทางเดินดักรอคุณหนูรอง ส่วนคุณหนูใหญ่ยังคงอยู่แต่ในเรือนนอนไม่ได้ออกไปไหน“โอ๊ย! เดินอย่างไรไม่ดูตาม้าตาเรือ” จื่อผิงเอะอะโวยวายขึ้นหลังมีทาสชายหลังค่อมถอยมาชนปึก!ทาสอัปลักษณ
ตอนพิเศษ 2.1“เจ้าว่าอะไรนะ”ขุนนางฝ่ายบู๋ลำดับศักดิ์ปั๋ว ตระกูลเฉินนามชิงซง หรือแม่ทัพกองทัพจูเชว่คุ้มครองแดนใต้เงยหน้าขึ้นจากรายงานทางการทหาร หว่างคิ้วยับย่นฉับพลัน อดย้อนถามอย่างตกใจไม่ได้ หลังฟังคำบอกเล่าจากปากลูกน้องคนสนิท“เมื่อครู่ใครมาเข้าพบท่านแม่ แล้วชี้นำให้ท่านแม่ทำอะไรนะ...เปลี่ยนตัวเจ้าสาวพระราชทานอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของแม่ทัพหนุ่มเปี่ยมด้วยความสนอกสนใจ ความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งสับสนสงสัย ทั้งตะลึงและประหลาดใจ ก่อนตบท้ายด้วยขุ่นเคือง หากสิ่งที่ได้ฟังมาเป็นความจริง‘ตระกูลจางคิดจะสลับตัวเจ้าสาว’รองผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่เผิงเสียนจือ ลอบกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า อดคิดในใจไม่ได้ว่าท่านแม่ทัพจะเพิกเฉย ไม่นึกยี่หระเสียอีก เขามารายงานตามปกติประจำวันไม่ได้เน้นเสียง หรือจงใจให้เจ้านายหันเหสนใจเรื่องดังกล่าวแต่งคนไหนก็เหมือนกันมิใช่รึ อย่างไรก็ไม่ได้แต่งด้วยความรัก รองแม่ทัพหนุ่มชะงักพักหนึ่งหยุดไปประมาณห้าอึดใจ จึงเริ่มเล่าวกเรื่องเมื่อครู่อีกครั้ง“ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหไม่น้อยเลยขอรับ” คนรายงานตามจริงถอนใจเศร้าๆ หลายครา นึกสงสารชะตากรรมคุณหนูรองที่มีแม่เลี้ยงเฉกเช่นอ
ตอนพิเศษ 1.2ชายหนุ่มกำลังจะโผกายสวมกอดภรรยา ทว่านางบีบจมูกและย่นหว่างคิ้ว เขาจึงเข้าใจทันทีว่า มันเป็นเพราะกลิ่นกายตนที่ทำให้อีกฝ่ายอาเจียนมากมายขนาดนั้น จึงไม่กล้าผลีผลามเข้าใกล้อย่างคราแรก ๆ อีกทว่าในจังหวะแห่งความปลื้มปีตินั้นเอง อยู่ ๆ รองแม่ทัพเผิงวิ่งเข้ามาขัด พร้อมรายงานด่วนทางการทหาร บอกแก่เขาว่ามีข้าศึกโจมตี ทำให้แม่ทัพหนุ่มจำต้องโบกมืออำลาภรรยาที่กำลังแพ้ท้องอย่าหนักหน่วงด้วยความห่วงอาลัยยิ่ง“พี่จะรีบกลับมา น้องหญิงรอพี่ก่อนนะ” เขากล่าวคำลาด้วยใจที่ย่ำแย่ มองใบหน้าฮูหยินคนงามที่มองเขาตอบด้วยสายตาอย่างยากจะคาดเดาออกในวันนั้นจางเหม่ยอวี้ไม่มีคำลาใด ๆ หรืออวยพรให้เขาชนะศึก การกระทำที่นิ่งเฉยของนาง ทำเอาแม่ทัพผู้เด็ดเดี่ยวใจสั่นไหว เสมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจจนปวดหนึบนับจากวันอำลา เฉินชิงซงรู้สึกเดียวดายเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก เขาเอาแต่คิดถึงใบหน้าหวานของภรรยาตลอดทั้งวันทั้งคืน ความห่วงหาอาทรแผ่ซ่านทุกห้วงอณู ศึกก็ต้องรบ ทว่าหัวใจหดหู่ทำให้ส่งผลกระทบต่อการวางแผนกลศึก กระทั่งเหล่านายกอง รวมถึงรองแม่ทัพต่างวิตกว่าสุขภาพของท่านแม่ทัพจะย่ำแย่ จึงแนะนำให้เขาเขีย
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากเข้าพิธีสมรสได้หนึ่งเดือน เฉินชิงซงต้องวุ่นวายกับการโยกย้ายจวน เดินทางจากเมืองหลวงลงแดนใต้ กว่าจะถึงเมืองชายแดนจูเชว่ต้องใช้เวลาไปอีกหนึ่งเดือนครึ่ง ระยะนี้เขากับฮูหยินตัวน้อยจึงมิได้สานสัมพันธ์แนบแน่นกันเลยวันนี้ตั้งใจแน่วแน่ จะร่วมคืนวสันต์แสนหวานกับผู้เป็นภรรยา แค่คิดเรื่องสัปดน หัวใจก็เต้นโครมครามยากระงับไหว เลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าคมคายแดงซ่าน ดวงตาคมทอประกายวาบวาม มิต่างอันใดกับทะเลยามราตรีที่เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ“อวี้เอ๋อร์ เจ้ากำลังรอเหมือนพี่อยู่หรือไม่นะ” แม่ทัพหนุ่มรำพึงรำพันด้วยความสุขล้น สองมือเร่งหยิบรายงานทางการทหารที่กองพะเนินมาเปิดอ่าน เขาต้องประทับตราลงนามให้เสร็จแล้วรีบกลับจวนเฉินชิงซงใจเริ่มคุ้นชินกับการมีจางเหม่ยอวี้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าตอนตื่นลืมตาช่วงเช้า รับสำรับมื้อแรกช่วงสาย ปิ่นโตมื้อกลางวัน และสำรับเย็นที่เรือนท่านแม่ก่อนปิดท้ายวันด้วยการเข้านอนทว่าพอถึงเวลาค่ำคืนของสามีภรรยา เขากับนางกลับทำเพียงแค่โอบกอด แล้วพากันสู่นิทรามิได้ลึกซึ้งเหมือนเช่นคืนเข้าหอแต่ในคืนนี้เฉินชิงซงตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า เขาจะต้องร่วมหอกับภรรยาตัวน้อยให้จงไ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(3) จากประโยคนี้ของสามี จางเหม่ยอวี้ถึงกับโผเข้าไปสวมกอดเขาเอาไว้ บุรุษผู้นี้ช่างดีต่อนางยิ่งนัก นางทำตัวร้ายกาจ วางแผนสังหารคนขนาดนี้ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะอยู่เคียงข้างและปกป้องนาง เช่นนี้แล้วนางจะไม่เปิดรับเขาเข้ามาอยู่ในใจได้อย่างไร“ท่านพี่ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณ”“ไม่ต้องขอบคุณแล้ว เราเป็นสามีภรรยากัน ไม่มีเรื่องที่ต้องเกรงใจ”เฉินชิงซงยิ้มให้กับภรรยา หลังจากนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเรื่องใดผ่านเข้ามาทำให้ภรรยาของเขาต้องเคร่งเครียดและเสียน้ำตาอีกแล้วจวนปั๋วเฉินแห่งแดนใต้จูเชว่หนึ่งปีแล้ว หลังจากโยกย้ายครอบครัวมาอยู่แดนใต้ เริ่มแรกก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายยกใหญ่ จางเหม่ยอวี้สตรีเมืองหลวงผู้เพียบพร้อมจรรยามารยาทงดงาม ไม่คุ้นชินกับชาวบ้านชนบทที่พูดจาเสียงดัง ท่าทางกร่างจัด ไม่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติ หลักการข้อไหนก็ไม่ยึดถือจางเหม่ยอวี้โชคดีที่มีสามีคอยแนะนำ มีแม่สามีสอนสั่ง ประเพณีที่นี่เป็นเช่นไร พึงศึกษาอยู่ไม่นานนักก็สามารถปรับตัวได้ทางด้านจื่อผิงออกเรือนแต่งเป็นอนุให้รองแม่ทัพเผิง ไม่รู้ไปต้องตาพึงใจกันตอนไหน จื่อผิงอยู่ชนชั้นทาสมาตั้งแต่เกิด
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(2)เตียง ทั้งสองแลกเปลี่ยนจุมพิตกันอย่างยาววนาน ก่อนจะเริ่มเพิ่มความเร่าร้อนขึ้น ด้วยการสอดประสานกายเป็นหนึ่งเดียวกัน เช้าวันรุ่งขึ้น สองสามีภรรยาเดินทางไปยังกองบัญชาการแห่งทัพจูเชว่ ซึ่งจางเหม่ยอวี้ได้พบกับจือหมิ่น น้องสาวของจือลิ่ว อดีตคนสนิทของอนุหลินจริง ๆ ทันทีที่จือหมิ่นเห็นว่าคนที่ก้าวเข้ามายังห้องที่นางถูกควบคุมตัวไว้เป็นใครก็มีสีหน้าซีดเผือด แข้งขาของเจ้าตัวพลันอ่อนแรง ล้มลงไปนั่งกองกับพื้น ปากคอสั่นจนหาเสียงตนเองไม่พบ“ดูท่าเจ้าคงจดจำนางได้สินะ”เฉินชิงซงมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด และคนตรงหน้าก็ยิ่งตัวสั่นกว่าเดิม เมื่อมองไปยังจางเหม่ยอวี้ที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา“คุณหนูรอง”“เจ้ารู้จักข้าด้วย ทั้งที่เราไม่เคยพบกันแท้ ๆ” จางเหม่ยอวี้กล่าวเหมือนนึกทึ่ง พลางเดินเข้าไปนั่งอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่สั่นเทาจากนั้นเฉินชิงซงก็เริ่มสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้วิธีทรมานใด ๆ เพื่อให้จือหมิ่นยอมพูดความจริง หญิงสาวตรงหน้าที่มีความผิดบาปฝังมาในใจเนิ่นนานแล้วก็สารภาพออกมาอย่างหมดเปลือกและแล้วเรื่องราวตลอ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(1)“นี่ข้าวของของข้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงโยกย้ายมันโดยพลการ!”ภายในจวนปั๋วเฉินเกิดความวุ่นวายขึ้น เสียงแว้ด ๆ ที่ดังอยู่ผู้เดียวจะเป็นใครได้ หากไม่ใช่น้องสาวของรองแม่ทัพเผิงชิ่นหลิงถลึงตามองจางเหม่ยอวี้ ดวงตาวาววับแทบลุกเป็นไฟ นางจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไร จู่ ๆ ภรรยาของแม่ทัพที่เพิ่งตบแต่งได้ไม่นานก็ทำท่าวางอำนาจ ฉวยโอกาสตอนนางออกไปเที่ยวใช้ทาสมาเก็บข้าวของในเรือนรับรองใส่หีบ“เพราะข้าเป็นฮูหยินของจวนเฉินอย่างไรเล่า เจ้าเล่า! มีสิทธิ์อันใดอาศัยที่นี่ กาฝากรึ” จางเหม่ยอวี้ตอกกลับได้อย่างแสบทรวง “อีกประการข้าถามท่านพี่กับท่านแม่แล้ว พวกเขาไม่ได้เต็มใจต้อนรับเจ้า เพียงแต่ยังเกรงใจท่านรองแม่ทัพเผิงเท่านั้น”“นี่เจ้า!” เผิงชิ่นหลิงกรีดร้องด้วยความเดือดดาล นางชี้นิ้วใส่เฉินเย๋ปั๋วฟูเหรินอย่างไร้มารยาทยิ่งจางเหม่ยอวี้ที่ดำรงตำแหน่งภรรยาของจวนแม่ทัพไม่มีท่าทีโกรธเกรี้ยว นอกเสียจากเหยียดยิ้มชั่วร้ายให้กับท่าทางของสตรีที่ทำตัวไม่ต่างกับหนูสกปรกตัวหนึ่ง“ท่านรองแม่ทัพเคลื่อนกำลังพลกลับจูเชว่ตั้งแต่ราชโองการออกมาแล้ว เจ้ายังหน้าด้านอยู่จวนเฉินอีกรึ”“เจ้
บทที่ 15สุขทุกข์ร่วมแบ่งเบาเฉินชิงซงเห็นภรรยามีท่าทีไม่สบายใจมาหลายวันแล้ว อีกทั้งหลายครั้งนางก็เหมือนจะเหม่อลอย เวลาเขาสนทนาด้วยบางทีก็ตอบช้าไปกว่าทุกครั้งคล้ายมีเรื่องครุ่นกังวล“น้องหญิง เจ้ากังวลเรื่องใดหรือ เหตุใดพักนี้เจ้าจึงเหม่อลอยพิกล”แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย ฝ่ายผู้เป็นภรรยาทำสีหน้าไม่ถูก ที่ผ่านมานางถูกสอนสั่งให้เอาใจใส่สามี เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้จึงรู้สึกไม่สบายใจ กังวลไปว่าตนเองบกพร่องในหน้าที่ฮูหยินของเขาหรือไม่“ขออภัยเจ้าค่ะท่านพี่”“ไม่มีเรื่องใดต้องขอโทษ เจ้าไม่สบายใจ พี่ควรช่วยเจ้าแบ่งเบา มีอะไรก็ว่ามาเถิด เราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ”เขาเว้นคำพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาที่หม่นแสงของภรรยา ฉวยจับมือเล็กไว้มั่น แม้แต่งงานกันได้ไม่นาน แต่เขาก็เอื้ออาทรในตัวของจางเหม่ยอวี้อย่างยิ่ง จึงไม่ต้องการเห็นนางมีเรื่องหม่นหมองในใจ“จำไว้...ไม่มีเรื่องใดที่บอกกล่าวพี่ไม่ได้”แววตาของสามีที่ทอดมองมาอ่อนโยนยิ่งนัก หญิงสาวเห็นแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งในใจ เฉินชิงซงอาจเป็นคนเย็นชาพูดน้อย แต่แท้จริงกลับใส่ใจทุกเรื่องของนาง ขนาดเขาออกไปตรวจค่ายทหารทุกวัน และเจอนางไม่
ตอนที่14.2 มดปลวกรวมตัว(2)ฉางทิงกับบ่าวฉกรรจ์อีกสามคนฉุดกระชากลากถูคนร้ายไปตามระเบียงไม่คิดไว้ไมตรีทะนุถนอมอันใด ฟู่หว่ากรีดร้องจนสุดเสียงก็ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยฮูหยินผู้เฒ่ายืนทอดสายตามองฟู่หว่า เด็กสาวที่นางเลี้ยงดูมากับมือทว่ากลับหลงเดินทางผิดถูกคนเลวหลอกใช้“ท่านแม่ อากาศเย็นแล้ว กลับเข้าห้องเถอะเจ้าค่ะ” จางเหม่ยอวี้ปั้นหน้าแย้มยิ้มระรื่น ทำเป็นมองไม่เห็นแม่สามีที่กำลังตรอมตรม“อือ รบกวนเจ้าแล้ว” หรูหรั่นเซียงถอนหายใจ ล้วงผ้าเช็ดหน้าซับหยดน้ำตา แล้วให้ลูกสะใภ้ประคองเข้าห้องนอน“แม่ขอโทษนะที่ตัดวาสนาของเจ้ากับคุณชายกัว”“อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว” จางเหม่ยอวี้สั่นศีรษะพร้อมกับส่งยิ้มให้กับแม่สามีอย่างจริงใจ “ลูกรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างโชคดีนัก ที่วันนั้นท่านแม่เลือกให้ลูกมาเป็นสะใภ้”“ไม่เคืองจริงหรือ” แม่สามีเย้าลูกสะใภ้ โดยที่มีจินหรงมามาอมยิ้มปลื้มปริ่มเดิมตามหลัง“ความจริงครั้งแรกก็รู้สึกโกรธเคืองไม่น้อยเจ้าค่ะ เพราะลูกฝึกฝนจรรยาฮูหยินเรือนหลังจวนขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างลำบากมานาน” ลูกสะใภ้หัวเราะเบาๆ อย่างเหนียมอายแม่สามีพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าอกเข้าใจ จรรยาสตรี