ผ่านไปราวสองจิบชา อาหู่กับจื่อผิง สองสาวใช้คนสนิทก็พรวดพราดเข้าห้องหอมา ขณะจางเหม่ยอวี้ละเมียดชิมรสน้ำชาหอมกรุ่นวันมงคล
“ปั๋วเฉินฮูหยินเจ้าคะ หิวหรือไม่ ท่านแม่ทัพอนุญาตให้พวกข้ามาคอยอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินเจ้าค่ะ”
ก่อนหน้านี้สองสาวใช้เคยหวาดกลัวการโยกย้ายตามเจ้านายมาพำนักอยู่จวนเฉิน ทว่าบัดนี้พวกนางกลับยิ้มออกได้
“บ่าวไปสืบมาแล้ว เรือนหอหลังนี้เป็นเรือนที่ท่านแม่ทัพอาศัยอยู่ลำพัง ไม่มีสาวใช้อุ่นเตียงสักคน”
จื่อผิงยิ้มกรุ้มกริ่ม ก่อนจะพ่นลมหายใจอุ่นร้อนหนึ่งครั้งคล้ายยังเหลือเรื่องวิตกกังวล
“แต่มีสาวใช้ข้างห้องเจ้าค่ะ”
“นางยังอยู่?” จางเหม่ยอวี้ชี้ห้องข้างๆ เป็นเชิงถาม
“บ่าวไปสืบมาแล้ว สตรีนางนั้นโดนท่านแม่ทัพสั่งให้ย้ายออกจากเรือนนานแล้ว ตอนนี้อยู่เรือนฮูหยินผู้เฒ่าปั๋วเฉินเจ้าค่ะ”
จื่อผิงมากไหวพริบ แม้ข้อเสียของนางจะใจร้อนบุ่มบ่าม แต่เรื่องซอกแซกหลอกถามผู้อื่นนางช่างถนัดนัก
จางเหม่ยอวี้ถือคติรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เมื่อก่อนนางสืบเจาะข่าวสารสกุลกัวเรื่องเล็กน้อยไปจนถึงคอขาดบาดตาย
ทว่าพอโชคชะตาเล่นตลก พลิกฟ้าคว่ำปฐพีให้นางแต่งเข้าจวน
แม่ทัพ ธรรมเนียมประเพณีที่ไม่คุ้นเคย ไหนจะการปกครองเรือนหลัง อีก จวนขุนนางพลเรือนกับจวนแม่ทัพมีวัฒนธรรมแตกต่าง ทำให้เจ้าสาวต้องส่งจื่อผิงไปสืบสาวหยั่งลึกไปถึงราก“เขาอ่อนโยนใส่ใจเพียงนี้เลยหรือ” จางเหม่ยอวี้พึมพำราวกับอยู่ในความฝัน เมื่อได้สติกลับคืนมา นางก็นั่งลงบนเตียงแล้วทบทวนความรู้สึกที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
ตอนกุมมือหรือประคองเดินเข้าจวนเฉิน จางเหม่ยอวี้ไม่ได้รู้สึกอะไร ครั้นเมื่อได้สบตากับสามีเท่านั้น กระแสความอบอุ่นสายหนึ่งกลับไหลวนอยู่ในใจ มันค่อยๆ แทรกซึมเข้าห้วงรู้สึกอย่างช้าๆ ท่าทางหล่อเหลาเกินบุรุษอื่นนั้นตรึงสายตาไว้อย่างไม่คาดคิด
ใจนางสั่นไหวเหมือนผีเสื้อกระพือปีกอยู่ด้านใน นางไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนจึงไม่รู้ว่ามันคือ…อาการรักแรกพบ
จางเหม่ยอวี้ครุ่นคิดหนัก เริ่มเปรียบเทียบตอนเจออดีตชายคนรักว่ารู้สึกแบบเดียวกันหรือไม่ แต่แล้วคำตอบที่ได้รับ กลับทำให้นางรู้สึกสะท้อนใจไม่น้อย เพราะมันช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
กัวจิ้นเต๋อเป็นบุรุษที่สตรีทั้งเมืองหลวงใฝ่ฝัน ปรารถนาอยากยืน
ข้างกาย หน้าตาของเขาหล่อเหลางามสง่าโดดเด่นสะดุดตา ถือกำเนิดในสกุลขุนนางศักดิ์สูง เป็นบุตรชายสกุลใหญ่ที่คาบช้อนทองมาเกิด เขาเป็นผู้มีคุณธรรมล้ำเลิศเพียบพร้อมทุกด้าน จางเหม่ยอวี้หลงใหลคลั่งไคล้เขาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาวนั่นแล้วครั้นเมื่อนางมีอายุครบสิบสี่ ไม่รู้สวรรค์ดลใจให้กัวจิ้นเต๋อหันมาสนใจนางหรืออย่างไร เขาจึงชอบเดินมาพูดคุย เมื่อมีโอกาสพบเจอกันตอนออกงานสังคมบ่อยครั้ง
ตอนนั้นจางเหม่ยอวี้ใจเต้นโครมคราม รู้สึกเขินอายเวลาพูดคุยกับกัวจิ้นเต๋อ แต่พอนานวันเข้าความรู้สึกหลงใหลกลับหายไปได้อย่างรวดเร็วนัก ยิ่งรู้ว่าเขามีนิสัยบางอย่างที่ซุกซ่อน มิอาจให้ผู้คนเห็นซึ่งเป็นสิ่งที่นางเกลียดยิ่ง ทำให้นางรู้สึกผิดหวังไม่น้อย
คุณชายกัวเป็นคนใจเสาะ ขี้ขลาดตาขาว และมักกล่าวโทษผู้อื่น
ทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นคนกระทำความผิด แต่ถึงกระนั้นจางเหม่ยอวี้ที่คาดหวังว่าจะเกาะกัวจิ้นเต๋อไว้เป็นกำแพงต้านลมต้านฝน และมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง จึงยินยอมมองข้ามนิสัยเสียเหล่านี้ของเขาไป บอกตนเองเพียงว่าบุรุษผู้นี้ดีต่อนาง นางย่อมเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าสาวให้เขาในวันหน้าจางเหม่ยอวี้เผลอคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่อาหู่มาสะกิดเรียก ทำให้นางหลุดออกจากภวังค์ พลางหันมาถามอีกฝ่ายเสียงห้วนอย่างลืมตัว
“อะไร!!”
“ชุยกงกงมาเจ้าค่ะ” อาหู่รายงานเจ้านายเสียงเบา “กล่าวยึดถือตามธรรมเนียมที่ตั้งไว้ เขาเพียงอัญเชิญสุรามงคลพระราชทานจากฝ่าบาทกับฮองเฮามอบให้ปั๋วเฉินฮูหยินเจ้าค่ะ”
“กงกงอยู่ด้านนอกหรือ” จางเหม่ยอวี้ตกใจเล็กน้อย ไม่คาดว่าตนหมกมุ่นไปกับความคิดนานเท่าใด ขนาดผู้สูงศักดิ์มาเยือนนางยังไม่รู้ตัว
“ส่งมอบเสร็จก็กลับไปแล้วเจ้าค่ะ”
อาหู่ผายมือไปทางถาดไม้สีดำ บนนั้นมีจอกสุราสีทองที่หูหิ้วสลักมังกรพันรอบทั้งสองข้าง “แต่ชุยกงกงทิ้งขันทีน้อยไว้ รอเก็บจอกสุราทองคำกลับวัง ตอนนี้ยืนอยู่นอกห้องเจ้าค่ะ”
จางเหม่ยอวี้พินิจมองด้วยใจเต้นรัว ในหัวคิดวิเคราะห์มากมายหลายตลบ
‘หรือสุรายาพิษกันแน่’
ทว่ามีเวลาขบคิดน้อยเกินไป ขันทีน้อยตะโกนอยู่หน้าห้อง
“ปั๋วเฉินฮูหยิน ดื่มสุรามงคลพระราชทานหรือยังขอรับ ผู้น้อยต้องรีบกลับวังก่อนประตูวังปิดขอรับ”
แรงกดดันทำให้ศีรษะเจ้าสาวขับเหงื่อออกมาจนชุ่ม หนำซ้ำยังไหลย้อยลงมาถึงจอนผมและข้างสันกราม จางเหม่ยอวี้กัดฟันด้วยความอึดอัดใจ
“เฮ้อ…เฒ่าจันทรากำหนดชะตาไว้แล้ว” ดวงตาจางเหม่ยอวี้สว่างวาบ มือเล็กคว้าจอกสุราสีทองกรอกเข้าปาก ฤทธิ์ร้อนของน้ำสุราไหลลงคอถึงกระเพาะ
“ขอบพระทัยฝ่าบาท และฮองเฮาเพคะ”
เจ้าสาวคุกเข่าลงหันหน้าไปทิศตะวันออก เพื่อโขกศีรษะลงกับพื้น แม้ว่าตนจะไม่เต็มใจนักก็ต้องทำให้จบพิธี
จากนี้จะเป็นหรือตายก็ขึ้นกับชะตาสวรรค์แล้ว!
ตอนพิเศษ 2.2ส่วนคุณหนูรองจางเหม่ยอวี้ ดูเหมือนว่าจะมีนิสัยตรงกันข้ามกับพี่สาว หยิ่งผยองเงียบขรึมพูดน้อย ดื้อรั้นเอาแต่ใจ รักความสงบเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงเข้าสังคม แต่นับเป็นคนมีวาสนาดี เพราะคบหาอยู่กับคุณชายกัว ชาวเมืองครหาไว้อย่างนั้นแต่เพราะแม่ทัพปั๋วเฉินชิงซงอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบมาทั้งชีวิตย่อมเข้าใจเรื่องที่ว่า ‘การศึกไม่เคยหน่ายอุบาย’ ฉะนั้นเสียงนกกาสุนัขหมาป่าเห่าหอนที่ชาวเมืองคอยเต้าข่าว เขาไม่คิดเชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองชายหนุ่มต้องการดูเนื้อแท้ของสองตัวเลือก เพราะพวกนางหนึ่งในนี้จะต้องกลายเป็นสตรีที่เคียงข้างกายเขาไปตลอดชีวิต ในใจเขาจึงคิดไว้ว่านางต้องอ่อนโยนรู้กาลเทศะ ละเอียดลออเคร่งครัดจนไร้ช่องโหว่ อีกทั้งยังต้องฉลาดหัวไว ใจเยือกเย็น รู้เท่าทันเล่ห์อุบายต่ำทรามนานา เพราะจะได้สามารถเอาตัวรอดจากภัยอันตรายที่ซุ่มซ่อน ในขณะที่แม่ทัพเช่นเขาออกศึกไม่พำนักอยู่จวนทาสอัปลักษณ์หลังค่อมเดินลัดเลาะมาถึงระเบียงทางเดินดักรอคุณหนูรอง ส่วนคุณหนูใหญ่ยังคงอยู่แต่ในเรือนนอนไม่ได้ออกไปไหน“โอ๊ย! เดินอย่างไรไม่ดูตาม้าตาเรือ” จื่อผิงเอะอะโวยวายขึ้นหลังมีทาสชายหลังค่อมถอยมาชนปึก!ทาสอัปลักษณ
ตอนพิเศษ 2.1“เจ้าว่าอะไรนะ”ขุนนางฝ่ายบู๋ลำดับศักดิ์ปั๋ว ตระกูลเฉินนามชิงซง หรือแม่ทัพกองทัพจูเชว่คุ้มครองแดนใต้เงยหน้าขึ้นจากรายงานทางการทหาร หว่างคิ้วยับย่นฉับพลัน อดย้อนถามอย่างตกใจไม่ได้ หลังฟังคำบอกเล่าจากปากลูกน้องคนสนิท“เมื่อครู่ใครมาเข้าพบท่านแม่ แล้วชี้นำให้ท่านแม่ทำอะไรนะ...เปลี่ยนตัวเจ้าสาวพระราชทานอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของแม่ทัพหนุ่มเปี่ยมด้วยความสนอกสนใจ ความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งสับสนสงสัย ทั้งตะลึงและประหลาดใจ ก่อนตบท้ายด้วยขุ่นเคือง หากสิ่งที่ได้ฟังมาเป็นความจริง‘ตระกูลจางคิดจะสลับตัวเจ้าสาว’รองผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่เผิงเสียนจือ ลอบกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า อดคิดในใจไม่ได้ว่าท่านแม่ทัพจะเพิกเฉย ไม่นึกยี่หระเสียอีก เขามารายงานตามปกติประจำวันไม่ได้เน้นเสียง หรือจงใจให้เจ้านายหันเหสนใจเรื่องดังกล่าวแต่งคนไหนก็เหมือนกันมิใช่รึ อย่างไรก็ไม่ได้แต่งด้วยความรัก รองแม่ทัพหนุ่มชะงักพักหนึ่งหยุดไปประมาณห้าอึดใจ จึงเริ่มเล่าวกเรื่องเมื่อครู่อีกครั้ง“ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหไม่น้อยเลยขอรับ” คนรายงานตามจริงถอนใจเศร้าๆ หลายครา นึกสงสารชะตากรรมคุณหนูรองที่มีแม่เลี้ยงเฉกเช่นอ
ตอนพิเศษ 1.2ชายหนุ่มกำลังจะโผกายสวมกอดภรรยา ทว่านางบีบจมูกและย่นหว่างคิ้ว เขาจึงเข้าใจทันทีว่า มันเป็นเพราะกลิ่นกายตนที่ทำให้อีกฝ่ายอาเจียนมากมายขนาดนั้น จึงไม่กล้าผลีผลามเข้าใกล้อย่างคราแรก ๆ อีกทว่าในจังหวะแห่งความปลื้มปีตินั้นเอง อยู่ ๆ รองแม่ทัพเผิงวิ่งเข้ามาขัด พร้อมรายงานด่วนทางการทหาร บอกแก่เขาว่ามีข้าศึกโจมตี ทำให้แม่ทัพหนุ่มจำต้องโบกมืออำลาภรรยาที่กำลังแพ้ท้องอย่าหนักหน่วงด้วยความห่วงอาลัยยิ่ง“พี่จะรีบกลับมา น้องหญิงรอพี่ก่อนนะ” เขากล่าวคำลาด้วยใจที่ย่ำแย่ มองใบหน้าฮูหยินคนงามที่มองเขาตอบด้วยสายตาอย่างยากจะคาดเดาออกในวันนั้นจางเหม่ยอวี้ไม่มีคำลาใด ๆ หรืออวยพรให้เขาชนะศึก การกระทำที่นิ่งเฉยของนาง ทำเอาแม่ทัพผู้เด็ดเดี่ยวใจสั่นไหว เสมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจจนปวดหนึบนับจากวันอำลา เฉินชิงซงรู้สึกเดียวดายเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก เขาเอาแต่คิดถึงใบหน้าหวานของภรรยาตลอดทั้งวันทั้งคืน ความห่วงหาอาทรแผ่ซ่านทุกห้วงอณู ศึกก็ต้องรบ ทว่าหัวใจหดหู่ทำให้ส่งผลกระทบต่อการวางแผนกลศึก กระทั่งเหล่านายกอง รวมถึงรองแม่ทัพต่างวิตกว่าสุขภาพของท่านแม่ทัพจะย่ำแย่ จึงแนะนำให้เขาเขีย
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากเข้าพิธีสมรสได้หนึ่งเดือน เฉินชิงซงต้องวุ่นวายกับการโยกย้ายจวน เดินทางจากเมืองหลวงลงแดนใต้ กว่าจะถึงเมืองชายแดนจูเชว่ต้องใช้เวลาไปอีกหนึ่งเดือนครึ่ง ระยะนี้เขากับฮูหยินตัวน้อยจึงมิได้สานสัมพันธ์แนบแน่นกันเลยวันนี้ตั้งใจแน่วแน่ จะร่วมคืนวสันต์แสนหวานกับผู้เป็นภรรยา แค่คิดเรื่องสัปดน หัวใจก็เต้นโครมครามยากระงับไหว เลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าคมคายแดงซ่าน ดวงตาคมทอประกายวาบวาม มิต่างอันใดกับทะเลยามราตรีที่เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ“อวี้เอ๋อร์ เจ้ากำลังรอเหมือนพี่อยู่หรือไม่นะ” แม่ทัพหนุ่มรำพึงรำพันด้วยความสุขล้น สองมือเร่งหยิบรายงานทางการทหารที่กองพะเนินมาเปิดอ่าน เขาต้องประทับตราลงนามให้เสร็จแล้วรีบกลับจวนเฉินชิงซงใจเริ่มคุ้นชินกับการมีจางเหม่ยอวี้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าตอนตื่นลืมตาช่วงเช้า รับสำรับมื้อแรกช่วงสาย ปิ่นโตมื้อกลางวัน และสำรับเย็นที่เรือนท่านแม่ก่อนปิดท้ายวันด้วยการเข้านอนทว่าพอถึงเวลาค่ำคืนของสามีภรรยา เขากับนางกลับทำเพียงแค่โอบกอด แล้วพากันสู่นิทรามิได้ลึกซึ้งเหมือนเช่นคืนเข้าหอแต่ในคืนนี้เฉินชิงซงตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า เขาจะต้องร่วมหอกับภรรยาตัวน้อยให้จงไ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(3) จากประโยคนี้ของสามี จางเหม่ยอวี้ถึงกับโผเข้าไปสวมกอดเขาเอาไว้ บุรุษผู้นี้ช่างดีต่อนางยิ่งนัก นางทำตัวร้ายกาจ วางแผนสังหารคนขนาดนี้ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะอยู่เคียงข้างและปกป้องนาง เช่นนี้แล้วนางจะไม่เปิดรับเขาเข้ามาอยู่ในใจได้อย่างไร“ท่านพี่ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณ”“ไม่ต้องขอบคุณแล้ว เราเป็นสามีภรรยากัน ไม่มีเรื่องที่ต้องเกรงใจ”เฉินชิงซงยิ้มให้กับภรรยา หลังจากนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเรื่องใดผ่านเข้ามาทำให้ภรรยาของเขาต้องเคร่งเครียดและเสียน้ำตาอีกแล้วจวนปั๋วเฉินแห่งแดนใต้จูเชว่หนึ่งปีแล้ว หลังจากโยกย้ายครอบครัวมาอยู่แดนใต้ เริ่มแรกก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายยกใหญ่ จางเหม่ยอวี้สตรีเมืองหลวงผู้เพียบพร้อมจรรยามารยาทงดงาม ไม่คุ้นชินกับชาวบ้านชนบทที่พูดจาเสียงดัง ท่าทางกร่างจัด ไม่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติ หลักการข้อไหนก็ไม่ยึดถือจางเหม่ยอวี้โชคดีที่มีสามีคอยแนะนำ มีแม่สามีสอนสั่ง ประเพณีที่นี่เป็นเช่นไร พึงศึกษาอยู่ไม่นานนักก็สามารถปรับตัวได้ทางด้านจื่อผิงออกเรือนแต่งเป็นอนุให้รองแม่ทัพเผิง ไม่รู้ไปต้องตาพึงใจกันตอนไหน จื่อผิงอยู่ชนชั้นทาสมาตั้งแต่เกิด
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(2)เตียง ทั้งสองแลกเปลี่ยนจุมพิตกันอย่างยาววนาน ก่อนจะเริ่มเพิ่มความเร่าร้อนขึ้น ด้วยการสอดประสานกายเป็นหนึ่งเดียวกัน เช้าวันรุ่งขึ้น สองสามีภรรยาเดินทางไปยังกองบัญชาการแห่งทัพจูเชว่ ซึ่งจางเหม่ยอวี้ได้พบกับจือหมิ่น น้องสาวของจือลิ่ว อดีตคนสนิทของอนุหลินจริง ๆ ทันทีที่จือหมิ่นเห็นว่าคนที่ก้าวเข้ามายังห้องที่นางถูกควบคุมตัวไว้เป็นใครก็มีสีหน้าซีดเผือด แข้งขาของเจ้าตัวพลันอ่อนแรง ล้มลงไปนั่งกองกับพื้น ปากคอสั่นจนหาเสียงตนเองไม่พบ“ดูท่าเจ้าคงจดจำนางได้สินะ”เฉินชิงซงมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด และคนตรงหน้าก็ยิ่งตัวสั่นกว่าเดิม เมื่อมองไปยังจางเหม่ยอวี้ที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา“คุณหนูรอง”“เจ้ารู้จักข้าด้วย ทั้งที่เราไม่เคยพบกันแท้ ๆ” จางเหม่ยอวี้กล่าวเหมือนนึกทึ่ง พลางเดินเข้าไปนั่งอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่สั่นเทาจากนั้นเฉินชิงซงก็เริ่มสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้วิธีทรมานใด ๆ เพื่อให้จือหมิ่นยอมพูดความจริง หญิงสาวตรงหน้าที่มีความผิดบาปฝังมาในใจเนิ่นนานแล้วก็สารภาพออกมาอย่างหมดเปลือกและแล้วเรื่องราวตลอ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(1)“นี่ข้าวของของข้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงโยกย้ายมันโดยพลการ!”ภายในจวนปั๋วเฉินเกิดความวุ่นวายขึ้น เสียงแว้ด ๆ ที่ดังอยู่ผู้เดียวจะเป็นใครได้ หากไม่ใช่น้องสาวของรองแม่ทัพเผิงชิ่นหลิงถลึงตามองจางเหม่ยอวี้ ดวงตาวาววับแทบลุกเป็นไฟ นางจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไร จู่ ๆ ภรรยาของแม่ทัพที่เพิ่งตบแต่งได้ไม่นานก็ทำท่าวางอำนาจ ฉวยโอกาสตอนนางออกไปเที่ยวใช้ทาสมาเก็บข้าวของในเรือนรับรองใส่หีบ“เพราะข้าเป็นฮูหยินของจวนเฉินอย่างไรเล่า เจ้าเล่า! มีสิทธิ์อันใดอาศัยที่นี่ กาฝากรึ” จางเหม่ยอวี้ตอกกลับได้อย่างแสบทรวง “อีกประการข้าถามท่านพี่กับท่านแม่แล้ว พวกเขาไม่ได้เต็มใจต้อนรับเจ้า เพียงแต่ยังเกรงใจท่านรองแม่ทัพเผิงเท่านั้น”“นี่เจ้า!” เผิงชิ่นหลิงกรีดร้องด้วยความเดือดดาล นางชี้นิ้วใส่เฉินเย๋ปั๋วฟูเหรินอย่างไร้มารยาทยิ่งจางเหม่ยอวี้ที่ดำรงตำแหน่งภรรยาของจวนแม่ทัพไม่มีท่าทีโกรธเกรี้ยว นอกเสียจากเหยียดยิ้มชั่วร้ายให้กับท่าทางของสตรีที่ทำตัวไม่ต่างกับหนูสกปรกตัวหนึ่ง“ท่านรองแม่ทัพเคลื่อนกำลังพลกลับจูเชว่ตั้งแต่ราชโองการออกมาแล้ว เจ้ายังหน้าด้านอยู่จวนเฉินอีกรึ”“เจ้
บทที่ 15สุขทุกข์ร่วมแบ่งเบาเฉินชิงซงเห็นภรรยามีท่าทีไม่สบายใจมาหลายวันแล้ว อีกทั้งหลายครั้งนางก็เหมือนจะเหม่อลอย เวลาเขาสนทนาด้วยบางทีก็ตอบช้าไปกว่าทุกครั้งคล้ายมีเรื่องครุ่นกังวล“น้องหญิง เจ้ากังวลเรื่องใดหรือ เหตุใดพักนี้เจ้าจึงเหม่อลอยพิกล”แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย ฝ่ายผู้เป็นภรรยาทำสีหน้าไม่ถูก ที่ผ่านมานางถูกสอนสั่งให้เอาใจใส่สามี เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้จึงรู้สึกไม่สบายใจ กังวลไปว่าตนเองบกพร่องในหน้าที่ฮูหยินของเขาหรือไม่“ขออภัยเจ้าค่ะท่านพี่”“ไม่มีเรื่องใดต้องขอโทษ เจ้าไม่สบายใจ พี่ควรช่วยเจ้าแบ่งเบา มีอะไรก็ว่ามาเถิด เราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ”เขาเว้นคำพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาที่หม่นแสงของภรรยา ฉวยจับมือเล็กไว้มั่น แม้แต่งงานกันได้ไม่นาน แต่เขาก็เอื้ออาทรในตัวของจางเหม่ยอวี้อย่างยิ่ง จึงไม่ต้องการเห็นนางมีเรื่องหม่นหมองในใจ“จำไว้...ไม่มีเรื่องใดที่บอกกล่าวพี่ไม่ได้”แววตาของสามีที่ทอดมองมาอ่อนโยนยิ่งนัก หญิงสาวเห็นแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งในใจ เฉินชิงซงอาจเป็นคนเย็นชาพูดน้อย แต่แท้จริงกลับใส่ใจทุกเรื่องของนาง ขนาดเขาออกไปตรวจค่ายทหารทุกวัน และเจอนางไม่
ตอนที่14.2 มดปลวกรวมตัว(2)ฉางทิงกับบ่าวฉกรรจ์อีกสามคนฉุดกระชากลากถูคนร้ายไปตามระเบียงไม่คิดไว้ไมตรีทะนุถนอมอันใด ฟู่หว่ากรีดร้องจนสุดเสียงก็ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยฮูหยินผู้เฒ่ายืนทอดสายตามองฟู่หว่า เด็กสาวที่นางเลี้ยงดูมากับมือทว่ากลับหลงเดินทางผิดถูกคนเลวหลอกใช้“ท่านแม่ อากาศเย็นแล้ว กลับเข้าห้องเถอะเจ้าค่ะ” จางเหม่ยอวี้ปั้นหน้าแย้มยิ้มระรื่น ทำเป็นมองไม่เห็นแม่สามีที่กำลังตรอมตรม“อือ รบกวนเจ้าแล้ว” หรูหรั่นเซียงถอนหายใจ ล้วงผ้าเช็ดหน้าซับหยดน้ำตา แล้วให้ลูกสะใภ้ประคองเข้าห้องนอน“แม่ขอโทษนะที่ตัดวาสนาของเจ้ากับคุณชายกัว”“อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว” จางเหม่ยอวี้สั่นศีรษะพร้อมกับส่งยิ้มให้กับแม่สามีอย่างจริงใจ “ลูกรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างโชคดีนัก ที่วันนั้นท่านแม่เลือกให้ลูกมาเป็นสะใภ้”“ไม่เคืองจริงหรือ” แม่สามีเย้าลูกสะใภ้ โดยที่มีจินหรงมามาอมยิ้มปลื้มปริ่มเดิมตามหลัง“ความจริงครั้งแรกก็รู้สึกโกรธเคืองไม่น้อยเจ้าค่ะ เพราะลูกฝึกฝนจรรยาฮูหยินเรือนหลังจวนขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างลำบากมานาน” ลูกสะใภ้หัวเราะเบาๆ อย่างเหนียมอายแม่สามีพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าอกเข้าใจ จรรยาสตรี