บ้าเอ้ย! โดนจับได้แล้ว หึ! แต่…
“ศิษย์พี่หญิง ท่านอย่าได้กล่าวหาเลื่อนลอยไร้หลักฐาน”
เจียงเยว่ ไม่ตอบโต้ทันที นางก้าวเข้ามาพร้อมด้วยใบหน้าที่ดูไร้เรี่ยวแรงกับหน้าอกอันอวบอิ่มคู่นั้น นางขยับตัวเข้ามาใกล้ แล้วสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น
“นี่ไม่ใช่กลิ่นเครื่องหอมที่มีในสำนักเทียนหยาง แต่เป็นกลิ่นเฉพาะของสำนักสังคีต เจ้าจะปฏิเสธอีกหรือ?”
จางอี้หมิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะก้าวถอยหลังสองก้าว สีหน้าเปลี่ยนเป็นประหม่าน้อยๆ แต่ยังคงรักษาท่าทีไว้ “ท่านไม่เคยดมกลิ่นเครื่องหอมในห้องอาบน้ำข้า แล้วเหตุใดจึงกล่าวอ้างเช่นนี้ ท่านอย่าได้กล่าวหาเลื่อนลอย”
เจียงเยว่ ไม่ตอบคำพูดของเขา ดวงตาคมของนางจับจ้องเขา ก่อนที่ร่างของนางจะเซเล็กน้อย ดูไร้เรี่ยวแรงอย่างเห็นได้ชัด
จางอี้หมิง สังเกตเห็นสีหน้าซีดเผือกของนาง เขาเอ่ยด้วยความเป็นห่วง “ร่างกายท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
“เรื่องปกติ... หลังจากคืนเดือนดับ ร่างกายของข้าจะอ่อนแรงเช่นนี้ นอนพักสักครู่เดี๋ยวก็หาย” นางตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ
จางอี้หมิง ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเสนอ “ถ้าเช่นนั้น ท่านพักผ่อนที่บ้านข้าก่อนเถิด อย่าฝืนกลับไปไกลเลย”
เจียงเยว่ ส่ายหน้า “ข้าไม่ได้อ่อนแอเช่นนั้น” ทันทีที่นางหมุนตัวกลับเพื่อเดินออกไป ร่างของนางก็เซอย่างแรง
จางอี้หมิง รีบเข้าไปประคองอย่างรวดเร็ว
ดื้อด้านนัก!
จากนั้นจางอี้หมิงก็ประคองนางกลับเข้าไปในบ้านพักของเขาเมื่อพานางมาถึงเตียง เขาค่อยๆ วางร่างของนางลงอย่างเบามือ จากนั้นเขาเดินไปหยิบยันต์แผ่นหนึ่งในกล่องหยก แล้วนำมาให้นาง
“นี่คือยันต์ป้องกัน ข้าให้ท่านไว้ เพื่อไม่ให้คนนอกเข้ามายุ่งวุ่นวายเวลาท่านพักผ่อน”
เจียงเยว่ มองยันต์ในมือของเขาด้วยความสงสัยก่อนจะถาม “แล้วมันป้องกันเจ้าได้หรือไม่?”
“ยันต์นี้ข้าเป็นเจ้าของ!”
จางอี้หมิงตอบพลางหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป “ข้าต้องไปเข้าเรียนแล้ว ท่านพักผ่อนเถิด”
เจียงเยว่ มองตามแผ่นหลังของเขาที่เดินออกไป ดวงตาของนางมีรอยยิ้มเล็กๆ โดยไม่รู้ตัว เมื่อเขาลับสายตาไป นางก็หยิบยันต์ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ใช้ปราณกระตุ้นเล็กน้อยแล้วปาแผ่นยันต์นั้นขึ้นไปแปะบนประตู
ทันใดนั้นเอง ม่านป้องกันโปร่งใส ก็ปรากฏขึ้น ล้อมรอบตัวบ้านเอาไว้ นางมองดูม่านป้องกันนั้นพร้อมพึมพำกับตัวเอง
“นับว่าพึ่งพาได้”
ห้องเรียน
ในห้องเรียนของสำนักเทียนหยาง แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านบานหน้าต่าง เข้าตกกระทบโต๊ะไม้ที่เรียงรายอยู่ในห้องเรียน บรรยากาศดูเคร่งขรึมและเงียบงัน มีเพียงเสียงของ ถัวเค่อชี ที่กำลังบรรยายวิชาที่เขารับผิดชอบ
จางอี้หมิง ก้าวเข้ามาภายในห้องพร้อมกับใบหน้าเฉยเมย ก่อนจะเดินไปนั่งที่ด้านหลังสุด ซึ่งเป็นที่ประจำ อย่างไม่รีบร้อน
ถัวเค่อชียังคงไม่หยุดบรรยาย แต่หันมองไปทางจางอี้หมิงด้วยหางตา ก่อนจะเอ่ยเชิงเหน็บพลางสั่งสอนเหล่าศิษย์
“เวลานั้นเปรียบดั่งธารน้ำ ไม่ไหลย้อนกลับ เช่นนี้แล้ว ไยเจ้าจึงปล่อยให้มันสูญเปล่า?”
วาทะสวยหรูยิ่งนัก เอาเถอะ ข้าจะปล่อยเจ้าไปคราหนึ่ง ถึงเวลาข้าจะจัดคืนทั้งต้นทั้งดอก เอาให้สายธาราไหลบ่าดุจอุทกภัยที่ถาโถม
แดนสวรรค์
อีกฟากหนึ่งของดินแดนในโลก ดินแดนที่เคยงดงามและรุ่งโรจน์ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง เสน่ห์ของสีขาวและสีทองที่เคยสะท้อนแสงตะวันถูกปกคลุมด้วยความเสื่อมโทรม ความเงียบงันของสถานที่ถูกแทรกซึมด้วยกลิ่นอายของเวทบางอย่างที่ยังคงหลงเหลืออยู่
แดนสวรรค์ในเวลานี้ขาดผู้นำที่ชัดเจน สถานะในเวลานี้อยู่ในสภาวะกึ่งล่มสลาย ผสมกับกลุ่มอำนาจต่างๆ ที่พร้อมจะช่วงชิงความยิ่งใหญ่
ที่มุมหนึ่งของแดนสวรรค์ มีอารามเก่าแก่แห่งหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ แม้ภายนอกจะดูเสื่อมโทรมและเงียบเหงา แต่กลับมี พลังเวทอันแข็งแกร่ง เคลือบอยู่ทั่วทุกอณูของตัวอาคาร
เมื่อก้าวผ่านประตู เข้าสู่ห้องโถงใหญ่ภายในอาราม จะพบเสาหินต้นใหญ่เรียงรายสองฟากฝั่ง โครงสร้างของเสาเหล่านั้นถูกสลักด้วยอักษรโบราณคล้ายภาพวาด
ที่เบื้องหน้าโถง เป็นจุดตั้งของ เสาหลักทรงพีระมิด ซึ่งทำจากวัสดุสีเงินมันวาว บนยอดของพีระมิดนั้นมี แสงสีแดง ส่องประกายราวกับเปลวไฟที่ไม่เคยดับ กลุ่มควันสีแดงเข้มหมุนวนรอบยอดเสา ดูราวกับมีพลังงานบางอย่างอยู่ภายในนั้น
ในห้องโถงนั้น มีกลุ่มคนในชุดคลุมสีเทา ปกปิดใบหน้า ยืนเรียงรายอยู่เป็นวงล้อมรอบพีระมิด พวกเขาต่างหันหน้าไปทางยอดเสา
พลังงานจากยอดพีระมิดค่อยๆ เพิ่มขึ้น แสงสีแดงยิ่งเจิดจ้า กลุ่มควันสีแดงเข้มเริ่มขยายตัว ก่อรูปร่างเป็นเงามืดที่มีดวงตาสีดำเปล่งประกายออกมา
ในห้องโถงที่เงียบงัน เสียงรายงานจากชายในชุดคลุมสีเทา พร้อมสวมหน้ากากปกปิดใบหน้า ดังก้องกังวานทั่วบริเวณ
“บัดนี้ สำนักเทียนหยางได้เสริมพลังป้องกันจนแน่นหนากว่าปกติ ยากต่อการเข้าไปดำเนินการใดๆ ในเวลานี้”
ดวงตาสีดำสนิทที่ก่อตัวอยู่กลางกลุ่มควันสีแดงบนยอดพีระมิดหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนเปล่งเสียงเย็นยะเยือก
“พลังป้องกันนั้น... เกิดขึ้นได้อย่างไร?”
ชายในชุดคลุมสีเทาสะดุ้งเล็กน้อย เขาอ้ำอึ้ง ไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่ก่อนที่ความเงียบจะยืดเยื้อ หญิงคนหนึ่งในชุดสีเทาและสวมหน้ากากเช่นกัน ก็ก้าวออกมาด้านหน้า
“คาดว่ากู่เจิ้งคงจะไม่อยู่ จึงเสริมเวทป้องกันนี้เพิ่มขึ้นมา” เสียงใสกังวานของนางเอ่ยขึ้น
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นจากกลุ่มควันสีแดงบนยอดพีระมิด แฝงด้วยความพึงพอใจ
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ทันใดนั้น กลุ่มควันสีแดงเลื่อนสายตาไปยังชายผู้รายงานคนแรก
“แล้วเจ้าล่ะ... ทำไมถึงตอบข้าไม่ได้?”
ไม่ทันที่ชายในชุดคลุมจะเอ่ยคำใด ดวงตาสีดำกลางกลุ่มควันแดงก็กระพริบเพียงครั้งเดียว ความเจ็บปวดอันแสนสาหัสแล่นพล่านไปทั่วร่างของเขา ชายผู้นั้นทรุดลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมศีรษะ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงขาดห้วง
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว! โปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย!”
กลุ่มควันสีแดงไม่ได้ตอบรับ แต่เพียงครู่หนึ่ง ความเจ็บปวดก็สลายไป ร่างของชายคนนั้นกลับคืนสู่สภาพปกติ เขาค้อมตัวต่ำด้วยความหวาดกลัว
กลุ่มควันสีแดงหันไปทางสตรีคนเดิมที่ยืนเงียบอยู่
“แล้วเจ้าล่ะ มีอะไรจะรายงานอีกไหม?"”
นางยิ้มบางๆ ภายใต้หน้ากาก ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ... ข้าน้อยพบเห็นพลังงานบางอย่างในตัวบุคคลหนึ่ง มันกำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วิถีมาร ข้าน้อยเชื่อว่าหากดึงเขามาเป็นพวกได้ คงดีมิน้อย”
กลุ่มควันสีแดงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ดวงตาสีดำสนิทจ้องลึกลงมาที่นาง ก่อนเปล่งเสียง
“ดี... รอให้เขาออกจากเขตป้องกันของสำนักเทียนหยางก่อน จากนั้นเจ้าจงดำเนินการตามที่เห็นสมควร”
“น้อมรับคำสั่ง”
หญิงผู้นั้นกล่าว พลางค้อมตัวเล็กน้อย ก่อนหมุนกายเดินออกจากห้องประชุมไป เงาของนางค่อยๆ จางหายไปในความมืด ทิ้งให้บรรยากาศในโถงใหญ่กลับสู่ความเงียบงัน
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร