วิชาบรรยายของถัวเค่อชีดำเนินไปอย่างน่าเบื่อ จางอี้หมิงนั่งมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย ครุ่นคิดในใจว่า “ปฏิกิริยาของลมปราณขณะที่ข้าบรรเลงเพลงราคะกับแม่นางฉีเหอคืออะไร”
นี่เป็นการปรับสมดุลงั้นหรือ
ไม่สิ! ไม่ถูกต้อง!
ตอนนี้ลมปราณภายในของข้ายังไม่สมดุล
แต่แม่นางฉีเหอเป็นนางคณิกาในสำนักสังคีต จะเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ได้อย่างไร
ถ้าหาว่านางเป็นหญิงบริสุทธิ์จริง ก็เท่ากับว่าตัวข้าคือผู้เปิดประสบการณ์ให้นาง จางอี้หมิงเอ๋ย เจ้าคือผู้มีพระคุณของนาง
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นลมปราณของข้าก็ควรเข้าสู่จุดสมดุลแล้ว
หลังเลิกเรียนข้าควรกลับไปเปิดตำราดูให้ละเอียดว่าเกี่ยวข้องหรือไม่
จางอี้หมิง นั่งเอนพิงเก้าอี้ จนกระทั่งเวลาเรียนในวิชาบรรยายอันแสนน่าเบื่อนี้สิ้นสุดลง
เฮ้อ! เอาเวลาไปนั่งรอน้ำค้างจากใบไม้หยดลงพื้นยังสนุกมากกว่า
จางอี้หมิงปิดตำราลงพลางถอดถอนลมหายใจออกมา เสียงลมหายใจนั้นสร้างความสนใจแก่หลินหนิงสาวน้อยใบหน้างดงามดวงตากลมโต และหวงจื่อรั่วองครักษ์สาวประจำจวนที่มีใบหน้างดงามหมดจดดุจเทพธิดา
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หลินหนิงถามด้วยความใคร่รู้
ท่าทางน่าเบื่อของข้าชัดเจนขนาดนี้เจ้ายังถามอีกหรือว่าเป็นอย่างไร สงสัยเจ้าคงอยากหาเรื่องพูดคุยกับข้ากระมัง
“วิชาบรรยายข้าเบื่อยิ่งนัก หากเป็นวิชาต่อสู้ข้าคงมีความสุขมากกว่า”
จางอี้หมิงกล่าวขึ้น คาดหวังให้หลินหนิงรับรู้ว่าตัวของเขาคือหนึ่งในยอดยุทธ์ที่พึ่งพาได้ไม่น้อย สตรีร่างบอบบางอย่างเจ้าควรมีข้ายืนอยู่ข้างกาย
“น่าเบื่อจริงอย่างที่เจ้าว่า แต่ก็ได้ความรู้มิน้อย เรื่องทฤษฎีแบบนี้ถึงอย่างไรก็ควรต้องรู้”
หลินหนิงกล่าวราวกับว่าตัวเองเป็นยอดบัณฑิตหญิงแห่งใต้หล้า แม้ว่าความจริงแล้วตัวของนางจะรู้สึกเบื่อเช่นกัน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นก็ควรจะวางมาดให้ดูดี
“พูดถึงวิชาต่อสู้ ข้าเองก็อยากเห็นจื่อรั่วได้แสดงวิชาฝีมือบ้าง”
บ้าเอ้ย! แม่นางน้อยดวงตากลมโต เจ้าควรถามถึงฝีไม้ลายมือของข้า ไม่ใช่ถามถึงแม่นางหวงผู้นี้
จางอี้หมิงครุ่นคิดพลางมองใบหน้าแสนสวยของแม่นางหลินหนิง
“ใช่แล้ว ข้าเองก็อย่างเห็นฝีมือของแม่นางจื่อรั่ว”
ใช่! แม้ว่านางจะอยู่ภายในจวนเดียวกับข้า แต่ข้าจดจำหน้านางมิได้ คาดว่าช่วงระยะที่นางเติบโตขึ้นจนงดงามสะพรั่งเช่นนี้ ข้าคงไม่ได้อยู่ในจวนตอนช่วงเวลานั้น
ก็แหงสิ! ข้ามาอยู่ที่เทียนหยางทั้งแต่อายุ 8 ขวบ กลับบ้านเพียงเดือนละครั้งจนกระทั่งเติบใหญ่ กลับไปข้าก็เอาแต่หมกตัวในห้องตำรา พอโตขึ้นมาก็เอาแต่แอบมองแม่นางซงเอ๋อร์ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำให้ข้าพลาดชื่นชมความงาม เอ้ย! ฝีมือด้านวรยุทธ์ของแม่นางหวง
“ไว้ถึงเวลาข้าจะแสดงให้ดู”
หวงจื่อรั่วเอ่ยตอบเบาๆ ด้วยใบหน้าอันเรียบเฉยเช่นเดิม
ระหว่างที่ทั้งสามกำลังสนทนาความอยู่ ทันใดนั้น เสียงตะโกนจาก ซ่งอิน ผู้ฝึกสอนวิชาควบคุมลมปราณก็ดังขึ้นจากหน้าประตู
“ทุกคน ไปที่ลานกว้างหน้าห้องเรียนเดี๋ยวนี้!”
ผู้ฝึกตนทุกคนลุกเดินตามเสียงเรียกนั้นไป หลินหนิงหันหน้ามามองจางอี้หมิงแล้วกล่าวว่า “หวังว่าวิชานี้ จะทำให้ท่านมีชีวิตชีวาขึ้น”
หลินหนิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มอันสดใส จางอี้หมิงพลันคิดขึ้นมาภายในใจ “รอยยิ้มของเจ้าก็สร้างชีวิตชีวาให้ข้าเช่นกัน”
จากนั้นทั้งสามคนก็ลุกเดินไปตามเสียงเรียกของซ่งอิน
ลานฝึกหน้าห้องเรียน
ซ่งอิน ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของเหล่าศิษย์หน้าใหม่นับร้อยคน ใบหน้าของเขานิ่งขรึม ด้วยท่าทีที่ดูสง่างามและน่าเกรงขามยิ่งนัก เสื้อคลุมสีขาวสะบัดเบาๆ ตามแรงลมที่พัดผ่าน เส้นผมสีดำขลับถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย
เขามองกวาดสายตาไปรอบลานฝึก พลางเอ่ยเสียงดังฟังชัดที่สะท้อนก้องไปทั่วพื้นที่
“ตั้งแต่วันนี้ไป ทุกคนจะต้องมีอาวุธประจำกายหนึ่งชิ้น”
เสียงของเหล่าศิษย์หน้าใหม่ฮือฮาขึ้นเมื่อได้ยินคำว่าอาวุธประจำกาย
“ข้าอยากได้ดาบฆ่ามังกร”
“ข้าอยากได้กระบี่อิงฟ้า”
“เงียบ!”
เสียงอื้ออึงเงียบลง จากนั้นซ่งอินก็พูดต่อ “จงเดินไปตามทางเดินสายตะวันออก เจ้าจะพบคลังอาวุธ ที่นั่นมีศิษย์ผู้รับผิดชอบรออยู่ เขาจะอธิบายวิธีการเลือกอาวุธให้เจ้า”
เหล่าศิษย์เริ่มทยอยเดินตามคำสั่งไปตามทางเดิน ทว่า เมื่อจางอี้หมิงกำลังก้าวเดินออกไปพร้อมคนอื่น ซ่งอินกลับยื่นมือออกมากั้นเขาไว้
“ศิษย์พี่อี้หมิง ท่านมีอาวุธอยู่แล้ว ยืนรออยู่ด้านหลังกับข้าก็เพียงพอ”
“อืม”
ทางเดินสู่คลังอาวุธทอดยาวไปยังทิศตะวันออก เบื้องหน้าคือประตูไม้บานใหญ่ที่ถูกแกะสลักด้วยลวดลายวิจิตร เส้นสีทองที่ขอบประตูส่องประกายเบาๆ แสดงถึงพลังปราณที่คอยป้องกันบุคคลภายนอก
เมื่อทุกคนมาถึง ผู้ที่ยืนรออยู่คือ โฮ่วเมี่ยน ศิษย์ระดับสามของสำนักเทียนหยาง ชายหนุ่มร่างกำยำ ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาคมกริบ ที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญในศิลปะการใช้อาวุธ กล้ามเนื้อที่แน่นตึงบ่งบอกถึงการฝึกฝนที่เข้มงวด
โฮ่วเมี่ยนก้าวออกมายืนเบื้องหน้า ก่อนจะมองไปรอบๆ อย่างสุขุมและกล่าวต้อนรับด้วยน้ำเสียงทรงพลัง
“พวกเจ้าทั้งหมดคือศิษย์ใหม่ของสำนักเทียนหยาง ตั้งแต่นี้ไป พวกเจ้าจะได้เลือกอาวุธประจำกายหนึ่งชิ้นจากคลังอาวุธนี้ แต่ข้าขอเตือนว่า อย่าได้คิดว่าเพียงแค่เจ้าเลือกอาวุธ อาวุธชิ้นนั้นจะยอมรับเจ้าโดยง่าย”
น้ำเสียงของเขาทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความกดดัน
“หากเจ้าเลือกอาวุธที่ไม่คู่ควร อาวุธนั้นจะปฏิเสธเจ้า บางทีเจ้าอาจถูกดีดออกจนบาดเจ็บ แต่หากเจ้าได้รับการยอมรับ อาวุธนั้นจะเป็นสหายคู่ใจของเจ้าไปตลอดชีวิต”
พูดจบ โฮ่วเมี่ยนโบกมือเบาๆ ประตูไม้บานใหญ่ค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นภายในคลังอาวุธที่เต็มไปด้วยอาวุธหลากหลายชนิดที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อเหล่าศิษย์ก้าวเข้าไป ดวงตาทุกคู่เบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง ภายในมีทั้งดาบเล่มยาว กระบี่ที่เงางาม ทวนทรงพลัง ธนูที่ดูสง่างาม และอาวุธอีกมากมายที่ส่งแสงสะท้อนแวววาว
บรรยากาศภายในคลังเต็มไปด้วยพลังปราณเข้มข้นที่ล่องลอยในอากาศ คล้ายกับอาวุธแต่ละชิ้นกำลังเฝ้ามองผู้ที่เข้ามา
เหล่าศิษย์เริ่มทยอยเดินไปหยิบอาวุธ บางคนเพียงแตะอาวุธก็ถูกดีดถอยหลังจนล้มลง บ้างก็ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ขณะที่บางคนโชคดี อาวุธยอมรับและเปล่งแสงอ่อนๆ ออกมา
หลินหนิง ศิษย์หญิงร่างเล็กใบหน้างดงาม นางเดินตรงไปหยิบกระบี่เล่มหนึ่ง กระบี่นั้นเงางาม น้ำหนักเบาและคมกริบ คล้ายกับถูกสร้างขึ้นเพื่อนางโดยเฉพาะ
“กระบี่นี้เหมาะกับเจ้าจริงๆ!” หวงจื่อรั่วที่ยืนมองอยู่เอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม
หลินหนิงยิ้มตอบอย่างพึงพอใจ ในขณะที่หวงจื่อรั่วยังคงมองหาอาวุธที่เหมาะกับตัวเองต่อไป
จางอี้หมิงที่ยืนมองดูเหล่าศิษย์หน้าใหม่เลือกอาวุธก็นึกภาพตัวเองในวัยเด็กที่บังอาจหยิบดาบที่ถูกตีขึ้นมาเพื่อเจ้าสำนัก แม้จะถูกดีดออกมาหลายรอบ แต่สุดท้ายก็หยิบมันมาไว้กับตัวได้
อาวุธประจำกายของจางอี้หมิงนั้น นอกจากดาบที่ได้รับมอบมาจากสำนักเทียนหยางแห่งนี้แล้ว ยังมีดาบอีกเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นอาวุธที่มารดาผู้ให้กำเนิดมอบให้ก่อนจากไป แต่นางกลับกำชับว่าให้ใช้งานเฉพาะยามจำเป็นเท่านั้น เขาจึงไม่ค่อยแตะต้องดาบเล่มนั้นสักเท่าไหร่ และมักใช้ดาบจากสำนักเทียนหยางเป็นประจำมากกว่า
ระหว่างที่ทุกคนกำลังเลือกอาวุธอยู่นั้น ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากด้านหลัง ซุนสีห่าว บุตรชายรองเจ้ากรมคลัง ผู้มีชื่อเสียงในด้านความเย่อหยิ่งและถือดี เดินเข้ามาพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
เขามองอาวุธรอบๆ ด้วยสีหน้าที่ดูแคลน ก่อนจะกล่าวเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน
“เอาอาวุธที่ทรงพลังที่สุดมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร