“ใช่แล้ว อิ้นเอ๋อร์”
จางอี้หมิงกล่าวพร้อมซดสุราหมดจอกในคราเดียว
ฟ่านหวงตบโต๊ะเสียงดังจนแก้วสุราสั่นสะเทือน เสียงดังนั้นทำให้บรรยากาศในสำนักสังคีตหยุดชะงัก ดนตรีที่บรรเลงอย่างไพเราะก็พลันเงียบลง เหล่าคณิกาและบัณฑิตในห้องโถงต่างหันมามองฟ่านหวงด้วยความสงสัย
ฟ่านหวงรู้สึกตัวว่าตนเป็นต้นเหตุ จึงรีบหันกลับไปยังทุกคนพร้อมโบกมือพลางพูดเสียงดัง “ไม่มีอะไร! พวกท่านบรรเลงต่อไปเถิด!”
ฟ่านหวงยกสุราดื่มหมดจอกเป็นการขออภัย
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น บรรยากาศก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ดนตรีเริ่มบรรเลงต่อ เสียงพูดคุยและหัวเราะในโถงใหญ่กลับคืนมา
ฟ่านหวงหันกลับมาหาศิษย์น้องทั้งสองด้วยสีหน้าขุ่นเคือง เขากระซิบตำหนิทั้งคู่ว่า
“เจ้าทั้งสองนี่มีนามแฝงตั้งแต่เมื่อใดกัน! เหตุใดข้ากลับไม่มี! เช่นนี้มันยุติธรรมหรือไม่! ข้าดูเหมือนคนไร้ศักดิ์ศรีหรือไม่?"
จางอี้หมิง ลอบหัวเราะในใจ ศิษย์พี่ผู้นี้อ่อนหัดยิ่งนัก แม้แต่นามแฝงก็ยังต้องพึ่งพาคนอื่น แต่เขาไม่ได้แสดงความคิดนี้ออกมา เพียงยกจอกสุราขึ้นจิบพลางเอ่ยน้ำเสียงทุ้มอย่างสุขุมว่า
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะตั้งให้นามหนึ่ง ศิษย์พี่…ฟ่านเจิ้ง เป็นอย่างไร?"
ฟ่านหวงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มอย่างยินดี แต่ในขณะเดียวกันก็บ่นพึมพำเบาๆ “ฟ่านเจิ้ง... แม้ชื่อจะฟังดูมั่นคงดี แต่เหตุใดเจ้าต้องใช้คำว่า 'เจิ้ง' ซึ่งคล้ายกับนามของศิษย์พี่เฉินเจิ้งผู้นั้นด้วยเล่า”
ซ่งอิน ที่ฟังอยู่ก็หลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดกลั้วเสียงหัวเราะว่า “หรือท่านจะเจิ้งเดียวกับเจ้าสำนักดีเล่า!”
“ท่านอาจารย์เราชื่อกู่เจิ้ง ไม่ใช่เจิ้งอย่างเดียว เอาเถอะ บิดาจะใช้ชื่อตามใจพวกเจ้า”
“ข้าตั้งชื่อให้ท่าน ข้าต่างหากคือบิดา”
ฟ่านหวงมองหน้าจางอี้หมิงเล็กน้อย ก่อนวางเงินหนึ่งอีแปะให้ซ่งอิน “ทุบตีมัน!”
ซ่งอินหยิบเงินมาแล้วดื่มสุราต่อไม่สนใจอันใด
จางอี้หมิงเอนกายพิงพนักเก้าอี้ โบกพัดในมืออย่างสบายอารมณ์ ไม่สนใจท่าทีของศิษย์พี่และศิษย์น้อง
ท่าทางของเขาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและเย่อหยิ่งสมกับภาพลักษณ์บัณฑิตผู้สูงศักดิ์ ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองสาวงามที่เริงระบำอยู่กลางเวที พวกนางสวมอาภรณ์สีแดงบางเบาเผยให้เห็นเรือนร่างอันอ้อนแอ้น ลีลาร่ายรำที่พลิ้วไหวชวนให้ผู้ชมหลงใหล โดยเฉพาะสะโพกกลมกลึงที่เคลื่อนไหวไปตามจังหวะดนตรี
แม้บรรยากาศจะคึกคัก แต่ดวงตาของ ฟ่านหวง กลับจดจ่ออยู่ที่ชั้นสองของสำนักสังคีต เขาดื่มสุราถ้วยแล้วถ้วยเล่าอย่างกระวนกระวายใจ พร้อมบ่นพึมพำว่า “ทำไมแม่นางฉีเหอยังไม่ออกมาสักที!”
เวลาล่วงเลยไป ดาวเด่นแห่งสำนักสังคีตที่ทุกคนรอคอยก็ยังไม่ปรากฏตัว ทันใดนั้น เสียงบรรเลงดนตรีก็เปลี่ยนไป บานประตูชั้นสองค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นสตรีในชุดอาภรณ์สีขาวหรูหราอันงดงาม แม้ใบหน้าของนางจะถูกปิดบังด้วยผ้าคลุมหน้าบางเบา แต่ความงามของนางกลับเจิดจรัสจนผู้คนแทบกลั้นลมหายใจ
“แม่นางฉีเหอ…” เสียงกระซิบดังขึ้นทั่วโถงสำนักสังคีต
นางก้าวออกมาอย่างสง่างาม พร้อมเอ่ยเสียงหวานที่ดังกังวานไปทั่วโถง “คืนนี้ ขอเชิญทุกท่านร่วมดื่มสุรากับข้าเพื่อแบ่งปันความสุขในยามราตรีนี้”
ฟ่านหวง กำจอกสุราแน่นพลางกระซิบกับจางอี้หมิงและซ่งอินด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ว่าจะต้องจ่ายเท่าใด ข้าจะต้องหลับนอนกับแม่นางฉีเหอให้ได้ในคืนนี้!”
จางอี้หมิงกลอกตา แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงโบกพัดเบาๆ พลางจิบสุรา
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เสียงดนตรีค่อยๆ เงียบลง ประตูชั้นสองปิดลงอีกครั้ง เหล่าผู้ชมที่ยังคงหลงใหลในมนตร์เสน่ห์ของแม่นางฉีเหอต่างถอนหายใจด้วยความเสียดาย
ทันใดนั้น สาวใช้ในชุดผ้าเรียบหรูคนหนึ่งเดินตรงมายังโต๊ะของจางอี้หมิง ฟ่านหวง และซ่งอิน นางก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มนวล “แม่นางฉีเหอเรียนเชิญคุณชายเสี่ยวจาง”
คำพูดนั้นทำให้ทั้งโต๊ะนิ่งงันไปชั่วครู่ ฟ่านหวง เบิกตากว้างพลางเอ่ยด้วยความตกตะลึง “จางอี้หมิง!? ทำไมเป็นเจ้าได้เล่า!?”
จางอี้หมิงลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม ก่อนจะโบกพัดปิด พลางตบบ่าฟ่านหวงเบาๆ “ศิษย์พี่ คืนนี้ผู้ชนะคงหนีไม่พ้นตัวข้า ขอตัวก่อนนะ”
เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะก้าวตามสาวใช้นางนั้นขึ้นไปยังชั้นสอง ทิ้งฟ่านหวงที่นั่งตัวแข็งพร้อมแววตาอิจฉาอย่างสุดจะกล่าว
“ศิษย์พี่ นางคณิกาคนอื่นยังมี ข้าขอเงินหน่อย”
ฟ่านหวงหยิบเงินให้แก่ซ่งอินแล้วกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่ยอมเสียเที่ยวเช่นกัน”
จางอี้หมิง เอนกายพิงพนักเก้าอี้ในห้องรับรองชั้นสอง มือหนึ่งถือจอกน้ำชาที่เขาจิบอย่างใจเย็น สายตาคมปล่อยวาง แต่หัวใจกลับเต้นแรงเมื่อกลิ่นหอมของบุปผาลอยมาพร้อมกับเงาร่างของหญิงงามในอาภรณ์สีขาว
แม่นางฉีเหอ ยอดคณิกาสาวดาวเด่นประจำสำนัก ก้าวออกมาจากหลังม่านอย่างงดงาม อาภรณ์สีขาวบางเบาของนางเผยให้เห็นเรือนร่างด้านในอย่างเลือนราง ทุกการเคลื่อนไหวของนางราวกับผีเสื้อโบยบิน มาพร้อมกลิ่นกายที่หอมละมุนจนทำให้บรรยากาศในห้องชวนลุ่มหลง
จางอี้หมิงกลืนน้ำลายอึกหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของเขาจดจ้องไปที่นางราวกับต้องมนตร์
แม่นางฉีเหอเดินมาหยุดตรงหน้าเขา มือเรียวงามของนางรินน้ำชาลงจอกของเขา กลิ่นชาหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วห้อง
จางอี้หมิงกำลังจะเอื้อมมือไปรับจอก แต่ แม่นางฉีเหอ กลับนั่งลงบนตักของเขาอย่างอ่อนโยน ใบหน้าของนางอยู่ใกล้เพียงลมหายใจพาดผ่าน นางยิ้มหวานก่อนจะยกจอกน้ำชานั้นขึ้นป้อนใส่ริมฝีปากเขาเบาๆ
“ครั้งก่อนท่านเป็นนักรบที่ปราบโจรภูเขา” นางกล่าวเสียงหวาน แต่ในแววตากลับแฝงความฉลาดล้ำลึก “แต่ครั้งนี้กลับมาในคราบบัณฑิตผู้สูงส่ง... ตกลงแล้ว ท่านเป็นอะไรกันแน่?”
จางอี้หมิง ยิ้มมุมปาก เขาวางพัดลงกับโต๊ะช้าๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้ม “ข้าเป็นคนที่จะพาเจ้าไปขึ้นสวรรค์”
แม่นางฉีเหอหัวเราะเสียงหวาน นิ้วเรียวของนางแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากของเขา “ปากหวานเช่นนี้ ทำได้อย่างที่พูดจริงหรือ?”
แม่นางฉีเหอเอียงใบหน้าเข้ามาใกล้ พลางเอ่ยเบาๆ ข้างหูของเขา “ถ้าเช่นนั้น ท่านพร้อมหรือไม่ที่จะทำให้ข้าขึ้นสวรรค์?”
จากนั้นจางอี้หมิงก็อุ้มแม่นางฉีเหอไปที่เตียงอย่างช้าๆ แล้วปฏิบัติภารกิจกันอย่างงดงาม
ทว่า…ลมปราณภายในร่างกายของจางอี้หมิงกลับมีปฏิกิริยาอย่างประหลาด นี่ไม่ใช่การปรับลมปราณเข้าสู่จุดสมดุลแต่อย่างใด แต่คล้ายว่าลมปราณที่เคยติดขัดสร้างความยากลำบากในการโคจรพลังได้คลายออกบ้างพอสมควร
จางอี้หมิง ลืมตาขึ้นในยามรุ่งเช้า สัมผัสได้ถึงร่างบางที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา แม่นางฉีเหอ หลับใหลอย่างสงบภายใต้อาภรณ์ที่หลุดรุ่ย ใบหน้าที่งดงามของนางยังคงเปล่งประกายแม้ในยามหลับ
สายลมอ่อนๆ จากหน้าต่างแตะหน้าจางอี้หมิงเบาๆ เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ในใจก็อยากจะต่อเวลาอยู่ตรงนี้อีกสักหน่อย แต่เมื่อแสงแดดลอดผ่านหน้าต่าง เขาก็รู้ว่าต้องกลับไปที่ สำนักเทียนหยาง เพื่อเข้าฝึกฝน
ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงอย่างแผ่วเบา ไม่ให้รบกวนแม่นางฉีเหอ เขาแต่งตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมองกลับไปที่ร่างงามบนเตียงด้วยรอยยิ้มบางๆ “สวรรค์ที่ข้ามอบให้ ยังมีได้มากกว่านี้อีก” เขาพึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้อง
ที่ด้านหน้าของชั้นสองสำนักสังคีต อาหารเช้าเรียบง่ายรออยู่บนโต๊ะ จางอี้หมิงนั่งทานอย่างรวดเร็ว สายตาสอดส่องไปทางประตูทางออก เมื่อทุกอย่างพร้อม เขาก็ออกเดินทางจากสำนักสังคีต
เมื่อเดินออกมาที่ลานหน้า ฟ่านหวง และ ซ่งอิน ยืนรอเขาอยู่ ทั้งสองคนดูผ่อนคลายเป็นพิเศษ ท่าทางเหมือนผ่านค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความสุข
“ศิษย์พี่ เสร็จธุระแล้วหรือ?” ซ่งอิน เอ่ยพลางยิ้มแหยๆ
ฟ่านหวง ตบไหล่จางอี้หมิงเบาๆ พลางหัวเราะเสียงดัง “ดูเจ้าสิ ศิษย์น้องของข้า ผู้ชนะตัวจริงกลับออกมาพร้อมกับแสงอรุณ เจ้าใช้เวลาคุ้มค่าดีจริงๆ”
จางอี้หมิงโบกพัดในมือเบาๆ ท่าทางสง่างามและเต็มไปด้วยความมั่นใจ “เรื่องธรรมดา”
ซ่งอิน หัวเราะเบาๆ “แล้วตอนนี้พวกเรากลับกันได้หรือยัง? หากพวกเราไม่รีบกลับไป ข้าเกรงว่าผู้เข้าร่วมฝึกตนกับศิษย์ระดับศูนย์จะถูกลงโทษ”
ซ่งอินหันมามองจางอี้หมิงเบาๆ
ฟ่านหวง โบกมือด้วยความสบายใจ “มีปราณอัศนีของข้าอยู่ พวกเจ้าจะกังวลอันใด”
ทั้งสามคนก้าวจับมือกันไว้ ฟ่านหวงใช้ปราณอัศนีเร่งความเร็ว พุ่งทะยานออกจาก สำนักสังคีต มุ่งหน้ากลับสู่ สำนักเทียนหยาง ทันที
เมื่อมาถึงสำนักเทียนหยาง จางอี้หมิงรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกเดินทางจากสู่ห้องเรียน ทันใดนั้นเองศิษย์พี่เจียงเยว่คนงามก็เดินมาที่เรือนหลังน้อยของเขาด้วยสีหน้าที่อ่อนล้า แต่สายตากลับแฝงความอำมหิต
“เมื่อคืนข้าแค่ไร้เรี่ยวแรงไปจัดการพวกเจ้า ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าหนีไปทำสิ่งใด”
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร