Se connecterกงมู่จ่ายรอจนบ่าวที่ต้องรับใช้ใกล้ชิดกับเรือนหลักมาครบครันแล้ว จึงประกาศว่าสตรีผู้ที่มากับองค์ชายรองนั้น จะเป็นบุตรบุญธรรมและเป็นคนของสกุลกงนับแต่นี้ไป เมื่อกล่าวจบก็มิได้อยู่รอเพื่อตอบคำถามใดๆ เขาเรียกหรงลี่ให้ตามไปยังสุสานบรรพบุรุษ
พ่อบ้านที่ได้ยินเช่นนั้นก็กุลีกุจอเตรียมสิ่งของที่ต้องใช้กราบไหว้เพื่อเข้าเป็นคนของสกุล หลังจากกราบไหว้บรรพบุรุษ และเพิ่มชื่อเข้าในผังตระกูลแล้ว เสิ่นหรงลี่ย่อมต้องกลับออกมาเพื่อกราบคำนับบิดาและมารดาบุญธรรมคนใหม่ของตน
คราแรกเสิ่นหรงลี่รู้สึกกังวลเล็กน้อย ด้วยวิถีธรรมเนียมปฏิบัติของสถานที่แห่งนี้อาจแตกต่างจากที่เคยชินจนนางทำผิดพลาด แต่เมื่อทำไปแล้วก็รู้สึกโล่งใจขึ้นที่ในทุกขั้นตอน มีความคล้ายคลึงกับธรรมเนียมที่นางคุ้นเคยอยู่แล้ว จึงสามารถวางตนได้อย่างไม่เคอะเขิน
ท่าทีการคำนับยกน้ำชาทำให้ฮูหยินสกุลกงพอใจเป็นอย่างมาก เดิมทีก็มีความรู้สึกเอ็นดูที่ไม่สามารถอธิบายได้เป็นทุนเดิม ประกอบกับเมื่อเห็นท่าทางการปฏิบัติที่งดงามอ่อนช้อย แม้จะเป็นธรรมเนียมที่ไม่เคยฝึกฝนมาก่อนก็ปฏิบัติได้อย่างสง่างามก็ยิ่งรู้สึกชอบใจเป็นอย่างมาก
ผิดกับผู้รับหน้าที่เป็นบิดาบุญธรรม ที่เพียงรับด้วยความจำใจและเห็นใจตงเฟยเทียนเท่านั้น อาจกล่าวได้ว่าสตรีในที่แห่งนี้มีความเปิดกว้างมากกว่าเหล่าชายชาตรี
“ท่านพ่อยิ้มหน่อยเถิดเจ้าค่ะ น้องสาวคนใหม่ของข้าเกร็งไปหมดแล้ว” กงหรูอี้กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม นางมีความสุขยิ่งนักที่จะหลุดจากการเป็นบุตรสาวคนเล็ก ทั้งยังอยากให้บิดาได้เปลี่ยนความคิดล้าหลัง และเลิกยึดติดกับความน้อยใจที่เหล่ามนุษย์ไม่กราบไหว้บูชา
“หากนางไม่พอใจก็ไม่ต้องเป็นบุตรข้า” กงมู่จ่ายกล่าว
“ตัวข้าไร้คนคุ้มครอง ต้องมีบิดาหน้าดุเช่นนี้จึงจะดี” หรงลี่กล่าวพร้อมกับทำสีหน้าจริงจัง ไม่กลัวผู้ใดก่นด่าว่าทำเลียนแบบกงมู่จ่าย
กงมู่จ่ายที่เห็นเช่นนั้นจึงรับจอกชาจากมนุษย์ที่คุกเข่าอยู่มาดื่มโดยมิกล่าวตอบอันใด มุมปากข้างหนึ่งยกยิ้มก่อนจะหายวับไปอย่างรวดเร็ว แต่นั่นก็ไม่ได้พ้นสายตาของหรงลี่ที่จับจ้องอยู่
ท่านพ่อบุญธรรมก็คงเอ็นดูข้าอยู่บ้าง
“แม้จะรับเป็นบุตรบุญธรรมแต่ข้าคงยังมิอาจให้เจ้าเรียกขานตนเองว่ากงหรงลี่ได้ เมื่อแนะนำกับผู้อื่นขอให้เจ้าใช้แซ่เดิม” กงมู่จ่ายออกคำสั่ง
เสิ่นหรงลี่แม้จะแปลกใจ แต่ก็คิดเพียงแค่ว่าอาจเป็นธรรมเนียมที่แห่งนี้ จึงยิ้มรับและพร้อมอดทนเอาชนะใจบิดาผู้นี้ดู นางรู้ดีว่าการจะอยู่อยู่รอดในที่แปลกประหลาดเช่นนี้ นางจะต้องทำให้คนรักมากกว่าคนเกลียด เพื่อให้ชีวิตของนางจนตราบสิ้นอายุขัยไม่ลำบากอันใดนัก
ก่อนจะเสร็จสิ้นพิธีหรงลี่ถามออกไปว่า นางจำเป็นที่จะต้องกรีดเลือดไปผสมกับบิดามารดาและน้องสาวบุญธรรมคนใหม่หรือไม่ กงต้าต้าที่รับรู้ว่าตงเฟยเทียนไม่ต้องการให้มีคนรู้ไปมากกว่านี้ในเรื่องเลือดของนาง จึงส่ายหน้าว่าไม่ต้องออกไป
“หากรับเข้าตระกูลแล้วไม่จำเป็นต้องประสมรวมเลือด การรวมเลือดใช้ในกรณีที่ไม่สามารถเข้าถึงบันทึกผังตระกูลได้เท่านั้น” ตงเฟยเทียนอธิบาย
“เช่นนั้น… ที่ท่านไม่รอเพราะต้องการ…อันใดหรือ” หรงลี่งุนงงเล็กน้อย เพราะอีกเพียงไม่นานก็จะมาถึงสกุลกง เหตุใดยามนั้นต้องรีบร้อนกัน
“พี่ใหญ่ผู้นี้ ต้องการกลั่นแกล้งสหาย เพราะหากยามนั้นข้าตอบออกไปเขาก็จะอ้างว่าเจ้ายังไม่ได้เข้าตระกูลอย่างเป็นทางการ” รอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนใบหน้าของกงต้าต้า
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด หรูอี้เจ้าไปดูห้องให้นางดีกว่า” ม่านอี้กล่าวด้วยแววตาที่ฉายแววสนุกสนานออกมา “แล้วคงต้องให้คนไปจัดหาอาหารจากภัตตาคารมาให้มากเสียหน่อย ต้อนรับบุตรสาวและองค์ชายรองที่กลับมาอย่างปลอดภัย”
แต่ก่อนที่จะได้ไปอย่างใจนึก ท่านพ่อบ้านก็เข้ามาแจ้งว่าตงอิงเจา บุตรสาวของอดีตราชครูผู้ล่วงลับ และยามนี้นับว่าเป็นองค์หญิงผู้หนึ่ง เพราะบิดาของตงเฟยเทียนรับเป็นบุตรบุญธรรมเข้ามาขอพบ
“หากนางมาก็ดียิ่ง นางชอบออกแบบตกแต่ง ห้องของน้องสาวคนใหม่ของข้าจะได้งดงาม” หรูอี้หมุนตัวเดินออกไปรับอิงเจาด้วยตนเอง
.
.
.
“พี่รองยังไม่ตาย!” อิงเจาที่สายตากวาดผ่านไปเห็นเฟยเทียน ก็วิ่งเข้าไปสวมกอดจนแน่น แต่เมื่อรู้ตัวก็รีบผละออกมา “ ขออภัยเพคะ น้องเพียงตื่นเต้นมากเกินไป ทุกคนต่างบอกว่าพี่รองสิ้นแล้ว เจาเออร์เป็นห่วงท่านนัก”
หญิงสาวผู้มีหน้าตางดงามสดใสปรากฏตัวขึ้น นางยืนชิดติดกับคนที่นางกล่าวเรียกขานว่าพี่รอง สายตาจับจ้องเพียงเขา ในขณะนั้นเองหรูอี้จึงทำหน้าที่กล่าวแนะนำให้เสิ่นหรงลี่ได้รู้จัก โดยหลงลืมไปว่าน้องสาวคนใหม่ของนางยังไม่รู้สถานะขององค์ชายรอง
“หรงลี่ นี่องค์หญิงตงอิงเจา นางเป็นธิดาบุญธรรมของฮ่องเต้ดินแดนมาร พวกเราเรียกขานกันว่าองค์มาร มีความสามารถทางศิลป์เป็นเลิศ หากได้นางช่วยเลือกของห้องของเจ้าต้องสวยจนไม่มีผู้ใดเทียบเทียม” หรูอี้โอ้อวดสหายที่ถือว่าสนิทของตนออกไปอย่างไม่เขินอาย
แต่คล้ายว่าหรงลี่จะมิได้สนใจฟังสิ่งที่หรูอี้ถ่ายทอดออกมา นางมองไปยังตงเฟยเทียนเพื่อขอคำตอบ และสายตาก็เหลือบไปเห็นตงอิงเจาที่มองกลับมาด้วยสายตายากจะอ่านออก
“เพคะ…หรือ” หรงลี่นิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินคำลงท้ายของสตรีที่มีนามว่าอิงเจา และคล้ายว่าสติจะล่องลอยไปในขณะนั้นเอง ขาของนางจึงค่อยๆ ขยับและเดินออกไปด้านนอกโดยที่ไม่ได้รอคำตอบหรือเสียงเรียกของผู้ใด
ความคิดสับสนบังเกิดขึ้นในใจของนางมากมาย ทั้งยังมีความรู้สึกอึดอัดที่ยากจะอธิบายเกิดขึ้น เมื่อไร้ทางออก เสิ่นหรงลี่จึงรู้สึกว่าตนเองต้องเดินออกไปจากบริเวณนี้ให้รวดเร็วที่สุด ก่อนที่นางจะไม่สามารถกลั้นอาเจียนที่จ่อขึ้นมาที่คอนี้ได้
“เดี๋ยวก่อน รอข้าด้วย” เฟยเทียนเรียกตามเสิ่นหรงลี่ออกไป แต่เมื่อจะขยับตาม ก็พบว่าอิงเจาที่แม้จะผละตัวออกแล้วแต่มือของนางยังคงกำไว้ที่เสื้อของเขาแน่น “อิงเจา ปล่อย”
“แต่ท่านเพิ่งกลับมาก็อยากจะตามสตรีผู้นั้นไป หากพี่รองเป็นอันใดไปอีกข้าจะทำอย่างไร” ตงอิงเจากล่าวอย่างร้อนรน
“นางจะมาเป็นชายาของข้า เหตุใดข้าจะไม่ตามนางไป”
คำเฉลยนี้คล้ายว่าจะทำให้องค์หญิงผู้มาใหม่เกิดความตกใจ มือจึงปล่อยเสื้อออกเพื่อยกไปปิดปากที่อ้าหวอ นั่นจึงเปิดโอกาสให้ตงเฟยเทียนปลีกตัวออกมาจากห้องได้อย่างง่ายดาย
ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่ในโถงแห่งนี้แม้จะเรียกชื่อของหรงลี่ แต่ก็มิได้เดินตามออกไปเพราะรู้สึกว่าหลุมนี้เป็นหลุมที่องค์ชายรองขุด ย่อมต้องนำตนเองออกมาเอง ไม่ใช่เรื่องที่ผู้อื่นต้องไปอธิบายให้ และหันมาสนใจอิงเจาที่ดูจะมีแววตาสับสนค้างคาอยู่แทน
บทที่ 20 ตบหัวแล้วลูบหลัง“ยืนเจ้าค่ะ” อี้ฉุนกระซิบกับเสิ่นหรงลี่เมื่อมีเสียงกระดิ่งสั่นครบเก้าครั้ง ทำให้คุณหนูผู้นี้มิต้องขายหน้าที่ยืนช้ากว่าผู้ใด เมื่อรออยู่ครู่หนึ่ง ก็เห็นบุคคลน่าเกรงขามถึงสามพระองค์กำลังก้าวผ่านประตูเข้ามา“องค์มา-” ว่าฉุยที่กำลังจะขานการมาถึงของเจ้าเหนือหัวแคว้นมาร ถูกหยุดไว้ด้วยฝ่ามือของตงหานเฟยเสียก่อน“ไม่ต้องขาน เป็นคนกันเองทั้งสิ้น”องค์มารผู้เป็นฮ่องเต้ของแคว้นเดินมาพร้อมกับฮองเฮา และสนมเอกผู้ที่หรงลี่คาดเดาว่าเป็นมารดาขององค์ชายองค์หญิงทั้งหลาย เสิ่นหรงลี่เห็นเช่นนั้นจริงสังเกตสีหน้าขององค์ชายรอง พยายามจับสังเกตว่าผู้ใดคือมารดาของเขา แต่มองไปแล้วก็พบแต่สายตาว่างเปล่าคล้ายว่าสตรีทั้งสองไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดเลย
บทที่ 19 ครอบครัวใหญ่องค์ชายรองที่รู้ว่าต้องอยู่รอร่วมโต๊ะกับทุกคนก่อนก็พาเสิ่นหรงลี่เดินชมสวนในบริเวณที่มิได้หวงห้ามไปพลางก่อน“ต้นไม้ในแดนมารมีสีเข้มหมดเลยหรือเพคะ”“อืม สีเข้มเช่นนี้แหละ หากสีซีดลงก็บ่งบอกถึงปัญหาที่เกิดภายในได้”“ชมสวนเสร็จแล้ว ต้องทำอันใดอีกหรือไม่เพคะ” เสิ่นหรงลี่ถามออกมา เพราะเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า และหิวขึ้นมาแล้ว ขนมกับน้ำชาที่คุยกันไว้กับองค์หญิงอิงเจาก็ยังมิได้ใส่เข้าปากรองท้องเมื่อนึกถึงขนมหรงลี่ก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน เพราะนางแน่ใจว่ายามที่กำลังมีปัญหากับองค์หญิงจูจู ในมือขององค์หญิงอิงเจาไม่มีสิ่งใดที่ถือกลับมาด้วย
บทที่ 18 ปะทะ“หน้าตาเช่นนี้ ชั้นต่ำ อันใดกัน” เสิ่นหรงลี่เอียงคอยังสงสัย พยายามมองหาองค์หญิงอิงเจาว่าไปอยู่ที่ใด“มองหาให้พี่ชายข้ามาช่วยเจ้าหรือ” องค์หญิงจูจูตวาดลั่นศาลาด้วยเสียงสูงที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดท่านใดนั้นก็มีชายแปลกหน้าปรากฏตัวเพิ่มอีกสองคน คนหนึ่งมีสีหน้าเรียบขรึม อีกคนหนึ่งมีท่าทางคล้ายชายเสเพลพร้อมกับสีหน้ายกยิ้ม“จูจูโวยวายอันใดกัน” ชายที่ดูนิ่งและสุขุมกว่าเอ่ยขึ้น“สตรีผู้นี้ สมบัติจากบ้านพี่สามใช่หรือไม่ เหตุใดพานางเหยียบเข้ามาถึงในวัง ข้าไม่รู้จักไม่เคยเห็นหน้าเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่คนในสังคมเรา” จูจูมิได้ตอบคำถามออกไป แต่กลับหันไปยังทิศทางที่ชายอีกคนด้านข้าง
บทที่ 17 เข้าวังในที่สุดวันมะรืนที่เฟยเทียนบอกไว้ก็มาถึง เมื่อเขาบอกว่าจะมาพบวันมะรืน เขาก็หายไปหนึ่งวันหนึ่งคืนอย่างที่ว่าจริง คราแรกเสิ่นหรงลี่แอบรู้สึกน้อยอกน้อยใจ แต่เมื่อคิดได้ว่าเขาเป็นถึงองค์ชาย ทั้งยังหายตัวไปหลายสัปดาห์ เรื่องราวที่ต้องจัดการคงมีมาก ไหนจะยังเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่เจอกัน แม้นางจะมิอาจตอบโต้อันใดได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีสติรับรู้คำพูดปลอบใจอย่างอ่อนหวานพรั่งพรูออกมา จนนางคิดว่าตนเองกำลังอยู่ในอ้อมกอดของหนุ่มนักรักมิใช่นักรบ หากแต่เมื่อหรูอี้และอี้ฉุนเข้ามา เขาก็หยุดคำพูดเหล่านั้นลงไปในทันที และนั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่นางหลับตาลง เพราะหากต้องลืมตามองหรูอี้ ตัวนางคงจะหลุดอาการขัดขืนออกมาจนถูกจับได้ยามนี้มีบ่าวหญิงหลายคนกำลังช่วยนางแต่งตัว เพราะวันนี
บทที่ 16 รุนแรงขึ้นเสิ่นหรงลี่ที่หงุดหงิดเพราะตนเองกำลังจะข่มใจนอนหลับใหลในที่อันไม่คุ้นเคยเช่นนี้ได้ แต่กลับถูกปลูกด้วยกระดาษเล็กๆ ที่ปั้นมาเป็นก้อนแผ่นหนึ่ง โชคดีที่นางมิได้สั่งให้บ่าวผู้นั้นดับตะเกียงไปก่อน จึงสามารถลุกไปอ่านข้อความได้‘วันมะรืนจะมารับ พี่เฟยเทียน’เมื่อเห็นว่าข้อความนี้มาจากตงเฟยเทียน หรงลี่เลยเดินไปที่กรอบหน้าต่าง แล้วกล่าวตอบไปเบาๆ “ ไม่เห็นต้องมาปลุกเช่นนี้”“เพราะพรุ่งนี้คงไม่อาจมาหาได้ จึงมาบอกเจ้าไว้ก่อน อย่าได้คิดว่าข้าจะทอดทิ้งไป เข้าใจหรือไม่”“หมดธุระแล้วก็กลับก่อนดีหรือไม่เพคะ หากอยู่นานเกรงว่าจะไม่เหมาะสม”
บทที่ 15 คืนแรกในที่แปลกเสิ่นหรงลี่ที่เห็นพี่สาวและมารดาบุญธรรม กำลังสนุกสนานกับการออกความเห็น ว่าผ้าม่านฉากกั้นและผ้าปูชุดใดจึงจะเหมาะสมกับสมาชิกใหม่ผู้นี้ ก็ยิ้มแย้มออกมาเล็กน้อย“จวนนี้มีพี่หรูอี้เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวหรือไม่ เหตุใดท่านทั้งสองจึงดูตื่นเต้นนัก”“หลักแหลม! ใช่แล้วจวนนี้มีข้าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว มีเจ้าเพิ่มมาจึงเพิ่มเป็นสองคน ห้องพี่ชายและน้องชายจะตกแต่งมากเกินไปคงไม่เหมาะสม จะให้ตกแต่งห้องตัวเองใหม่ทุกปี ก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน แต่หากมีสมาชิกที่เป็นสตรีเพิ่ม คงได้เล่นสนุกบ่อยขึ้น” กงหรูอี้พยักหน้ารับ ทั้งยังเฉลยความออกมาเสียสิ้นว่าเป็นสตรีที่รักความสนุกและความสวยงามผู้หนึ่ง“เช่นนั้นเราควรหาเวลาแบ่งปันเคล็ดลับความงาม ท่านแบ่งปันเคล็ดลับของพวกมารส่วนข้าจะแบ่งปันเคล็







