Mag-log inพระตำหนักชิงเฟิง ของพระสนมสวี่มีบรรยากาศต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ตำหนักนี้ตั้งอยู่ในมุมสงบของพระราชวัง ล้อมรอบด้วยสวนดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมจาง ๆ ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่าย แม้จะไม่มีสิ่งของฟุ่มเฟือย แต่กลับแฝงด้วยความอบอุ่น
พระสนมสวี่ซิงเหยียนเป็นสนมเอก [1] ขององค์ฮ่องเต้ นางเป็นบุตรสาวคนโตของเสนาบดีฝ่ายขวาโหย่วเฉิงเซี่ยงซึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางสูงสุดในฝ่ายบู๊หรือฝ่ายทหาร
พระสนมสวี่ในชุดผ้าแพรสีอ่อนทรงนั่งรออยู่แล้ว นางมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับบนใบหน้าที่ดูอ่อนล้า ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมด้วยความห่วงใยและความรักที่ชัดเจน เมื่อเห็นทั้งสองนางก็ยิ้ม "พวกเจ้ามาแล้วหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่" ฉินเฉินอวี้ย่อตัวลงคุกเข่า อวี้หลิงหรงเองก็ก้มลงเคารพด้วยท่วงท่าสง่างาม
"ข้าไม่รู้เลยว่าชายาของอวี้เอ๋อร์จะเป็นสตรีที่งดงามถึงเพียงนี้" น้ำเสียงของนางนุ่มนวล สายตาเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
อวี้หลิงหรงยิ้มเล็กน้อย "ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่"
สนมสวี่ทอดสายตามองทั้งสอง เห็นถึงความห่างเหินในตัวของทั้งคู่ แต่กลับไม่พูดอะไรเพิ่มเติม นางเพียงเชื้อเชิญให้นั่ง แล้วพูดคุยเรื่องทั่วไปอย่างอบอุ่น
"อวี้เอ๋อร์น่ะแต่ไหนแต่ไรแล้วเป็นคนพูดน้อย เพราะเขาเกิดและโตมาภายในวัง จึงทำให้แสดงออกไม่เก่งเท่าที่ควร พระชายา..เจ้าอย่าได้ถือสาเขาเลยนะ"
อวี้หลิงหรงปรายตาไปมองใบหน้าของบุรุษที่พระสนมสวี่บอกว่าเป็นคนพูดน้อย ด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ ก่อนจะหันกลับมายิ้มตอบ
"เข้าใจแล้วเพคะ"
ไม่รู้ด้วยสาเหตุใด แต่คำตอบของอวี้หลิงหรงกลับทำให้ฉินเฉินอวี้ถึงกับขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว เขาเข้าใจความหมายของรอยยิ้มนั้นเป็นอย่างดี ราวกับนางต้องการจะสื่อว่า ฉินเฉินอวี้คนนี้น่ะหรือที่พูดน้อย เพราะตลอดการเดินทางในวันนี้มีแต่เขาที่เป็นคนพูดอยู่ฝ่ายเดียว
ฉินเฉินอวี้มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เขาทำเพียงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบพร้อมกับสังเกตท่าทีของอวี้หลิงหรงอยู่เงียบ ๆ แม้บทสนทนาส่วนใหญ่ล้วนมาจากมารดาของเขา แต่อวี้หลิงหรงกลับพูดคุยและหัวเราะกับท่านได้อย่างเป็นธรรมชาติ
พระสนมสวี่ซิงเหยียน เป็นสนมคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ รวมถึงฉินเฉินอวี้ที่เกิดจากพระนางก็เป็นโอรสองค์โปรดด้วยเช่นกัน
เนื่องจากเขานั้นเกิดมาจากสตรีที่ฮ่องเต้โปรดปราน อีกทั้งยังเป็นพระโอรสที่ฉลาดหลักแหลมและมากความสามารถ เขาจึงเป็นหนึ่งในผู้ที่มีโอกาสรับตำแหน่งไท่จื่อ [2]
ทว่าเกมการเมืองนั้นมิได้เกี่ยวข้องกับความรัก ฮองเฮาเคียงบัลลังก์ขององค์ฮ่องเต้นั้นเป็นบุตรีจากตระกูลเจียง บิดาของฮองเฮานั้นคือจั๋วเฉิงเซี่ยงหรือเสนาบดีฝ่ายซ้าย ผู้มีอำนาจสูงสุดในฝ่ายพลเรือนมีหน้าที่ดูแลการปกครองรวมถึงการเงิน
ด้วยเหตุนี้ตระกูลเจียงจึงมีมีอิทธิพลในราชสำนักมาก มีหรือ.. ที่ฮองเฮาจะยอมให้ลูกของสนมคนอื่นได้ขึ้นเป็นรัชทายาท
ฉินเฉินอวี้รวมถึงอวี้หลิงหรงใช้เวลาพูดคุยอยู่กับพระสนมสวี่อยู่หลายชั่วยาม กระทั่งได้เวลาที่ต้องกลับจวน ขณะที่ทั้งสองกำลังจะทูลลาขอตัวกลับ พระสนมสวี่ซิงเหยียนก็เอ่ยเรียกลูกสะใภ้ของตนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าแววตากลับฉายแววจริงจัง
"หรงหรง.." น้ำเสียงของพระสนมเอ่ยชื่อของนางออกมาอย่างอ่อนโยน พระหัตถ์อันบอบบางลูบศีรษะลูกสะใภ้ด้วยความเห็นใจ
"ข้ารู้ว่าสถานการณ์ของเจ้านั้นยากลำบากเพียงใด ที่ผ่านมาเจ้าคงเหนื่อยมากเลยใช่หรือไม่"
อวี้หลิงหรงก้มหน้าลงเล็กน้อยแทนคำตอบ ตลอดช่วงชีวิตของนางที่ผ่านมามันสาหัสเสียจนคำว่าลำบากนั้นเทียบไม่ติด ทั้งที่นางแสดงออกอย่างร่าเริงตลอดเวลาที่เข้าเฝ้า แต่พระสนมสวี่กลับสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าจากดวงตาของนาง
พระสนมสวี่พระองค์เป็นคนจิตใจดี นางรู้สึกได้เช่นนั้น..
"หรงหรงเจ้าออกไปรอด้านนอกก่อน ข้ามีเรื่องอยากพูดกับอวี้เอ๋อร์สักหน่อย"
"เพคะ" อวี้หลิงหรงทูลลาพระสนมสวี่ก่อนจะออกมารอด้านนอก เพื่อให้เวลาแม่ลูกได้คุยกัน
เมื่ออวี้หลิงหรงเดินออกไปแล้ว พระสนมสวี่ก็หันมามองหน้าโอรสของตน พลางถอนหายใจออกมาด้วยความเห็นใจ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาอวี้เอ๋อร์มีใจให้ผู้ใด คนทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้ดี เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายเองก็เป็นขุนนางชั้นสูง บิดาของเว่ยลี่หลินเป็นถึงต้าจ่างจวิน แม่ทัพใหญ่ผู้ควบคุมกองกำลังหลักของแคว้น หากปล่อยให้เว่ยลี่หลินมาแต่งงานกับฉินเฉินอวี้เกรงว่าฮองเฮาจะถ่วงดุลอำนาจได้ลำบาก
"อวี้เอ๋อร์.."
"พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่"
"แม่รู้ว่าเจ้าเองคิดอย่างไรกับการแต่งงานครั้งนี้ และแม่เชื่อว่าชายาของเจ้าก็คงคิดเช่นเดียวกัน ทว่าเจ้ายังดีที่ได้อยู่บ้านเกิดเมืองนอน เจ้ายังมีข้า แต่หรงหรงนั้นนางไม่มีใคร.."
ฉินเฉินอวี้พยักหน้า เขาฟังคำมารดาอย่างตั้งใจ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เขารู้สึกเกลียดชังอวี้หลิงหรงตั้งแต่ยังไม่เคยพบหน้า ด้วยใจอคติว่าไม่อยากแต่งงานกับนาง คนที่เขาไม่ได้พึงใจ
ทว่าเขาลืมคิดไป..ว่านางก็มิได้เต็มใจแต่งงานมาเป็นเชลยเหมือนกัน
การแต่งงานของเขาในครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะประสงค์ของฮองเฮา ที่อยากแยกเขาจากเว่ยลี่หลินซึ่งเป็นถึงบุตรสาวของแม่ทัพเว่ย ผู้มีกำลังทหารในมือ
เขาทั้งผิดหวังและเสียใจที่ไม่สามารถแต่งงานกับสตรีที่เขารักได้ จึงทำได้เพียงโยนความเกลียดชังทั้งหมดไปให้อวี้หลิงหรง โดยที่นางไม่ได้ทำอะไรผิด
"หากไม่สามารถรักนางฉันสามีภรรยาได้ อย่างน้อยก็ดีกับนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งเถิด" พระสนมสวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ตัวนางเองก็อยู่มาจนอายุปูนนี้แล้ว เล่ห์เหลี่ยมในวังก็เห็นมาทั้งชีวิต นางไม่อยากให้เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่ไม่รู้เรื่องต้องมาทนทุกข์เพราะเกมการเมืองของผู้ใหญ่
"พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ ลูกเข้าใจแล้ว"
แสงอาทิตย์ยามบ่ายลอดผ่านผ้าม่านบางเฉียบ ทิ้งเงาเลือนรางลงบนใบหน้าคมของฉินเฉินอวี้ เงามืดที่ทอดผ่านดวงตาคมลึกของเขา ยิ่งขับให้แววตาดูว่างเปล่าและเลื่อนลอย
ตั้งแต่ออกจากพระตำหนักชิงเฟิง ฉินเฉินอวี้ก็มิได้เอ่ยถ้อยคำใดอีกเลย ใบหน้าของเขาเรียบเฉย หากแต่เงียบงันจนชวนให้อึดอัด เท่าที่อวี้หลิงหรงสังเกตได้ ดูเหมือนอาการเช่นนี้จะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เขาพบกับไท่จื่อและพระชายาเว่ยในวันนี้
อวี้หลิงหรงนั่งเงียบอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาสงบนิ่งของนางมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบือนสายตาไปทางอื่น นางไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายความคิดหรือความรู้สึกของเขา สิ่งที่อยู่ในหัวใจฉินเฉินอวี้ล้วนเป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อย
อวี้หลิงหรงคิดอย่างเย็นชา ดวงตาเรียบเฉยของนางทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเป็นเพียงพันธะที่ถูกมัดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง เรื่องความรักนั้นเป็นเพียงสิ่งเพ้อฝัน ซึ่งนางไม่คิดปรารถนาถึงอยู่แล้ว
หัวใจของนางถูกปิดตายด้วยบาดแผลในอดีต ไม่ใช่ว่านางไม่เคยสัมผัสถึงความรัก แต่เพราะสิ่งที่นางเคยเรียกว่า “รัก” กลับเป็นบ่วงที่พันธนาการนางเอาไว้ มันคือดาบสองคมที่ทิ่มแทงจนไม่มีวันลืม
ยิ่งคิดถึงภาพในอดีต หัวใจของนางก็ยิ่งแข็งกระด้างมากขึ้นทุกที สายสัมพันธ์ในครอบครัวที่ควรจะโอบอุ้มและคุ้มครองนาง กลับกลายเป็นโซ่ตรวนที่เหนี่ยวรั้งให้จมดิ่งลงในความสิ้นหวัง
ความรักที่ควรเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจ กลับกลายเป็นยาพิษที่ค่อย ๆ กัดกร่อนความรู้สึกจนไม่เหลือสิ่งใดให้เชื่อมั่นอีก
ข้าไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว
นางบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรักไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ หรือควรจะไขว่คว้า หากมันจะทำให้นางต้องเจ็บปวด นางเลือกจะอยู่โดยปราศจากมันเสียยังจะดีกว่า
^กุ้ยเฟย
^รัชทายาทผู้ที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้คนต่อไป
หลังเหตุการณ์กบฏสิ้นสุดลง ชะตาชีวิตของหลายคนก็พลิกผัน แต่ชื่อของเว่ยลี่หลินกลับไม่ปรากฏอยู่ในบัญชีโทษของผู้ใด ด้วยเพราะนางมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องราวทั้งสิ้น นางเป็นเพียงหญิงสาวที่ถูกดึงเข้าสู่กระดานหมากใหญ่แห่งราชสำนัก โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือเลือกหนทางให้ตนเองราชโองการให้หย่าขาดจากอดีตองค์รัชทายาทฉินจื่อหยวนผู้ล่วงลับ ถูกประกาศออกมาในวันที่ฟ้าครึ้มฝน แม้นางจะรู้ว่าเรื่องนี้คงถูกนำไปนินทาอย่างสนุกปากจากบรรดาบุตรสาวขุนนาง แต่ถึงกระนั้น นางก็ยอมรับมันโดยสงบ แม้จะต้องทิ้งนามพระชายาที่เคยเป็นทั้งเกียรติและพันธนาการ แต่ก็แลกมาด้วยอิสรภาพที่นางโหยหามานานเว่ยลี่หลินกลับไปใช้สกุลเดิม “เว่ย” ตามเดิม บรรดาผู้คนในวังต่างนินทาว่านางคงตกต่ำลงแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางรู้สึกเบาใจขึ้นเพียงใด เมื่อไม่ต้องฝืนยิ้ม ไม่ต้องสวมหน้ากากให้ใครมองอีกต่อไปหลังจากนั้นไม่นาน นางก็เลือกที่จะหันหลังให้กับเมืองหลวงและออกเดินทางไปทั่วแว่นแคว้น โดยไม่มีรถม้าหรูหรา มีเพียงบ่าวรับใช้เก่าแก่สองคนและหีบเสื้อผ้าใบเล็ก ๆ ที่บรรจุของใช้เท่าที่จำเป็นผู้คนถามว่าสตรีผู้เคยเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท จะไปที่ใด
หลังจากเหตุการณ์อันเลวร้ายและความสูญเสียผ่านพ้นไป ฤดูร้อนก็เวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมสายลมอบอุ่นและแสงแดดอ่อนที่ราวกับช่วยลบล้างความขมขื่นในหัวใจอวี้หลิงหรงในวัยครรภ์แก่ใกล้คลอดเต็มที ค่อย ๆ ก้าวลงจากรถม้าโดยมีมือของฉินเฉินอวี้คอยประคอง ดวงตานางทอดมองวังหลวงที่คุ้นเคยอย่างเงียบงัน ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนบางให้พระสวามีของตนวันนี้เป็นวันมงคลของแผ่นดิน..วันแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นมารดาแห่งแผ่นดินก็คือพระสนมสวี่ซิงเหยียน พระมารดาขององค์ชายหกภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูง องค์ชาย องค์หญิง และเหล่าผู้มีบรรดาศักดิ์ต่างร่วมงานด้วยสีหน้าปีติยินดี เสียงพิณบรรเลงแผ่วเบาประกอบท่วงท่าแห่งพิธีอันสง่างามเมื่อพิธีเสร็จสิ้นลง องค์ฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนและฮองเฮาสวี่ซิงเหยียนจึงทรงเรียกองค์ชายหกและพระชายาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว“อวี้เอ๋อร์... ข้ากับมารดาของเจ้าต่างเห็นพ้องกัน ว่าเจ้าคือผู้เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งองค์รัชทายาท” เสียงของฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนดังขึ้นอย่างราบเรียบ ทว่าหนักแน่นและเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นฉินเฉินอวี้นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะค้อมกายลงด้วยความเคารพ แล
เมื่อฉินจื่อหยวนตระหนักได้ว่าการดวลกับนางต่อไปมีแต่จะเสียเปรียบ เขาจึงหันสายตาไปยัง ฉินเฉินอวี้ที่ตอนนี้กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ในจังหวะที่กระบี่ของอวี้หลิงหรงฟาดสวนมาทางเขาอีกครั้ง ฉินจื่อหยวนก็เบี่ยงตัวหลบ แล้วเปลี่ยนทิศทางของดาบในมือ พุ่งออกไปทางฉินเฉินอวี้ แต่ก่อนที่ดาบนั้นจะเข้าถึงตัวของชายผู้ที่บาดเจ็บจนแทบยืนไม่ไหว สตรีในชุดดำก็รีบเร่งฝีเท้าพุ่งตัวเข้ามาขวางทางอย่างไม่ลังเล"ไม่!!!" อวี้หลิงหรงกรีดร้องสุดเสียง นางพุ่งตัวออกไปเบื้องหน้าโดยไม่คิดชีวิต เพื่อที่จะสกัดกั้นคมดาบนั้นให้ได้ นางรู้ดีว่าตนไม่มีทางปัดป้องได้ทันเวลา และในครรภ์ของนางก็ยังมีชีวิตน้อย ๆ อยู่อีกหนึ่งคน ในชั่วพริบตาแห่งการตัดสินใจ นางปล่อยกระบี่ในมือลงกับพื้น ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรับคมดาบด้วยตัวเอง!เสียงฉีกขาดของเนื้อดัง ฉัวะ! โลหิตสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นท่วมสองฝ่ามือ“กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องของอวี้หลิงหรงดังก้องสะท้อนทั่วลาน ฉินเฉินอวี้เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก สิ่งที่เห็นมีเพียงแผ่นหลังบาง ๆ ของนางที่ยืนขวางเขาเอาไว้ชั่วขณะนั้น..เวลาราวกับหยุดหมุนดวงตาคู่งามสั่นไหวด้วยความปวดร้าว มือทั้งสองที่เปื้
ค่ำคืนมืดครึ้มในวังหลวง ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆทมิฬ เสียงสายลมหวีดหวิวกรีดผ่านยอดหลังคาตำหนักฟังแล้วชวนขนหัวลุก หิมะยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องขณะที่แสงโคมไฟในวังริบหรี่ลงทุกขณะณ ตำหนักเฉียนชิงอันเป็นที่พำนักขององค์ฮ่องเต้ประตูไม้สลักลายมังกรปิดสนิท แผ่นหิมะเกาะขอบหลังคาเงียบงัน ใต้ผ้าห่มแพรแดงลายมังกรบนเตียงไม้แกะสลัก มีสองร่างนอนแนบชิดกันอย่างสงบนิ่ง ราวกับไม่รับรู้ถึงภัยเงาร้ายที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกขณะเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแทรกผ่านเสียงลม เงาร่างชุดดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตามเงาเสา เงียบเชียบราวกับเป็นเพียงเงาจันทร์สาดทาบพื้น พวกมันลอบเข้ามาจากทางระเบียงด้านข้าง ดาบในมือแต่ละเล่มยังเปื้อนเลือดสดจากทหารยามเฝ้าเวรหนึ่งในนั้นยกดาบขึ้นสูงเหนือร่างบนเตียง ก่อนจะแทงลงกลางอกด้วยแรงทั้งหมดโดยไร้ซึ่งความลังเลทว่าร่างที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นกับนิ่งเงียบไม่ไหวติง มือสังหารรีบกระชากผ้าห่มผืนใหญ่ออกอย่างรุนแรงภายใต้ผ้าห่ม ไม่ใช่ร่างของฮ่องเต้หรือพระสนมสวี่ แต่เป็นเพียงหมอนข้างที่ซ้อนกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มเท่านั้น“กับดัก..?” เสียงพร่าของมือสังหารเพิ่งหลุดออกจากริมฝีปาก ก่อนที่เขาจะได้หันไป
หลังจากการประชุมวานนี้ องค์ฮองเฮาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักอวี้ฮวา ตามพระราชโองการของฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่าต้องรอการพิสูจน์ความบริสุทธิ์นาง ในขณะเดียวกัน นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮากลับถูกลากตัวไปยังคุกหลวง ถูกทรมานเพื่อหาความจริง นางกรีดร้องปานวิญญาณหลุดจากร่าง เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในห้องขังแคบ ๆ ส่วนทางด้านพระสนมสวี่ แม้นางจะเป็นสตรีที่ฮ่องเต้รักยิ่ง แต่ในยามนี้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิกลับเย็นชาดุจน้ำแข็งหลายวันมาแล้วที่พระสนมสวี่กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจของนางเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ ยามคิดถึงบิดาที่กำลังถูกจองจำในคุกหลวง ด้วยใจระทมทุกข์ นางจึงรวบรวมความกล้าขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลขอพระราชทานอนุญาตให้ตนเข้าเยี่ยมบิดาแต่องค์จักรพรรดิก็หาได้เหลียวแลไม่ “ขอฝ่าบาทเมตตา..” พระนางคุกเข่าท่ามกลางลมหนาว หยดน้ำตาของพระสนมคล้ายหยาดพิรุณตกต้องใจใครบางคน แต่ก็ไม่อาจทะลุม่านเย็นชาของผู้เป็นกษัตริย์ได้หิมะค่อย ๆ โปรยปรายลงมา ท่ามกลางความเงียบงันของลานหน้าพระตำหนักเฉียนชิง สตรีผู้สูงศักดิ์ในชุดแพรบางสีครามยังคุกเข่าอยู่กับพื้น หยดน้ำตาไหลเงียบ ๆ ลงบนแก้มซีดเซียว“ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าน้อยมาทูลว่า
ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่า บรรยากาศตึงเครียดจนแทบสัมผัสได้ เสนาบดีเจียงยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ สีหน้าเคร่งขรึมแฝงไปด้วยความมั่นใจ เขากำลังกล่าวถ้อยคำฟังดูหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย“กระหม่อมเห็นว่า...การมีโรงกษาปณ์เถื่อนตั้งอยู่ในหมู่บ้านชิงหลินซึ่งอยู่ในเขตปกครองของสกุลสวี่ ย่อมบ่งชี้ถึงความพยายามในการสะสมกำลังและท้าทายราชอำนาจ เรื่องนี้ไม่อาจมองข้าม หากไม่สอบสวนให้ถึงที่สุด เกรงว่าความมั่นคงของแผ่นดินจะสั่นคลอนพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางหลายคนพากันพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่บางส่วนก็เหลือบมองกันไปมา ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างอำนาจของตระกูลสวี่และความแข็งแกร่งของกลุ่มเจียงระหว่างที่คำกล่าวหายังไม่สิ้นสุด เสียงฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งของขันทีคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น ฝ่าฝืนความเงียบที่กดดันเขาเข้าไปกระซิบอย่างเร่งร้อนกับกงกงคนสนิทขององค์ฮ่องเต้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมากระซิบรายงานเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงตื่นตัว“ฝ่าบาท..พระชายาขององค์ชายหก เสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ ทรงกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับหมู่บ้านชิงหลิน ที่ต้องทูลต่อหน้าพระพักตร์และเหล่าขุนนางทั้งหลาย”องค์ฮ่องเต้ชะงักเพียงเล็กน้อ







